ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอก“มาแล้ว”กู้หว่านเยว่วางขลุ่ยลง แล้วออกมาจากมิติปรากฏว่าเห็นเนี่ยชิงหลานยืนอยู่ข้างนอก น้ำตาไหลอาบแก้ม “พี่หญิงกู้ ท่านช่วยไปดูอาการพี่ชายของข้าได้หรือไม่ ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัสมาก”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว “ที่แท้ชายผู้นั้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเจ้าหรอกหรือ”เนี่ยชิงหลานหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นพยักหน้าเบา ๆ “อืม เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ชื่อเฉิงเซวียน พวกเราหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ถือว่าเป็นคู่หมั้นของข้า”กู้หว่านเยว่เข้าใจทันที ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสองคนถึงได้ดึงกันไปดึงกันมาที่หน้าจวนกู้ และเฉิงเซวียนยังทำท่าทางหวงแหนเนี่ยชิงหลานมากเช่นนั้น“พี่หญิงกู้ ขอร้องล่ะ ท่านช่วยไปดูเขาหน่อยได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้เขาพูดจาไม่ดีใส่ท่าน ข้าขอโทษแทนเขาด้วย”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย นางลืมคำพูดนั้นไปตั้งนานแล้ว“รอเดี๋ยว ข้าจะกลับไปเอาหีบยา”ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสัย นางให้ชิงเหลียนไปตามหมอแล้วมิใช่หรือ? ปกติแล้ว ถึงแม้ซี่โครงจะหัก หมอก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บเช่นนี้ได้เมื่อเห็นเนี่ยชิงหลานร้อง
ตอนที่นางฝึกวรยุทธ์ บาดแผลที่ได้รับนั้นสาหัสกว่านี้มาก ก็ไม่เคยร้องโอดครวญเช่นนี้มาก่อน“ดามเสร็จแล้ว เลิกร้องโวยวายได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ลงมืออย่างรวดเร็ว พยายามทำให้อีกฝ่ายเจ็บน้อยที่สุดเฉิงเซวียนทั้งกลัวทั้งเจ็บ พอได้ยินคำพูดของกู้หว่านเยว่ ก็พบว่าไม้ดามกระดูกถูกดามไว้เรียบร้อยแล้ว ซี่โครงก็มีที่พยุง ไม่เจ็บเหมือนเมื่อก่อนแล้ว“อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่หนักมาก ลงจากเตียงเดินได้ตามปกติ แต่ห้ามออกกำลังกายหักโหม และห้ามยกของหนัก หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”กู้หว่านเยว่กำชับ หมอหลินยกนิ้วโป้งให้“พระชายา ท่านมีทางออกจริง ๆ เช่นนั้นข้าไปจัดยาก่อน”“ไปเถิด“ขอบคุณ”หลังจากหายเจ็บแล้ว สติของเฉิงเซวียนก็กลับคืนมาไม่น้อย เขานึกถึงท่าทางของตัวเองเมื่อครู่นี้ ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย หน้าแดงก่ำ“ไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้เรื่องการแพทย์จริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้าพูดผิดไป”คนผู้นี้ยังรู้จักขอโทษ แสดงว่าไม่ได้เลวร้ายจนเกินเยียวยากู้หว่านเยว่มอบหีบยาให้ชิงเหลียน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ “ผู้ชายที่คิดว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชายอย่างเจ้ามีเยอะแยะ ข้าไม่ใส่ใจหรอก”เพียงประโยคเดียว ก็ทำใ
“จริงสิ พี่หญิงกู้ พรุ่งนี้งานเลี้ยงของสกุลหลัว ข้าไปด้วยได้หรือไม่?”เนี่ยชิงหลานเปลี่ยนอารมณ์เร็ว นางทำหน้าอยากรู้อยากเห็นแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาว่า คุณหนูใหญ่ของสกุลหลัวอายุเกือบสามสิบปีแล้ว แต่ใช้วิธีลับ ทำให้ยังคงสวยเหมือนหญิงสาววัยสิบแปด ข้าอยากไปดู”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว แม้แต่เนี่ยชิงหลานยังรู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองแล้วหากเหล่าขุนนางชนชั้นสูงเริ่มทำตามคุณหนูใหญ่หลัว กินหนูและสัตว์เป็น ๆ ละก็ ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแน่ ๆ “ได้ พรุ่งนี้เจ้าไปกับข้า”กู้หว่านเยว่พยักหน้าเห็นด้วย ในใจก็เกิดความสงสัยคุณหนูใหญ่หลัวขึ้นมาสองส่วนวันรุ่งขึ้น ซูจิ่งสิงตั้งใจไม่ไปที่ศาลาว่าการ เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงกับกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ใหญ่ เขาเป็นใครหรือ?”ซูจื่อชิงมองเฉิงเซวียนที่พันผ้าพันแผลอยู่ด้วยสีหน้างุนงง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ในบ้านมีผู้ชายเพิ่มมาอีกคน เหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่อง?“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า” เนี่ยชิงหลานรีบอธิบาย เฉิงเซวียนพยักหน้า แนะนำตัวเอง “สวัสดีทุกคน ข้าชื่อเฉิงเซวียน”“อ้อ ข้าชื่อซูจื่อชิง นี่คือเมี่ยชิงหว่าน คู่หมั้นของข้า”ซูจื
ในตอนนี้ หลัวจือฉิงยังไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของทั้งสองคน เพียงแต่รู้สึกว่าโลกกลม พบเจอคนที่ไม่อยากจะพบ“ดีเลย ข้ากำลังจะไปหาพวกเจ้าอยู่พอดี ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะมาหาข้าถึงที่”นางจ้องมองซูจิ่งสิงตาเป็นมัน“วันนี้ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ”ซูจื่อชิงแสดงสีหน้างุนงง “พี่ใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกัน นางเป็นใคร”หลัวจือฉิงมองไปยังซูจื่อชิง จากนั้นก็ละสายตาไป “พี่ชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น เหตุใดน้องชายถึงได้ขี้เหร่เช่นนี้”ซูจื่อชิง ...เกินไปแล้วนะ!หลัวจือฉิงยิ้มพลางเดินไปข้างหน้าทั้งสองคน สายตาจ้องมองซูจิ่งสิงไม่วางตา “หนุ่มน้อย คราวนี้เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว”ที่นี่คือจวนหลัวของนาง นางรีบเรียกบ่าวรับใช้ให้มาจับตัวซูจิ่งสิงแล้วมัดไว้ความเคลื่อนไหวนี้ ทำให้ทุกคนหันมามอง“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”“หว่านเยว่ คุณหนูหลัวนี่เป็นอะไรไป?”ซ่งเสวี่ยก็แสดงสีหน้างุนงงเช่นกัน กู้หว่านเยว่อธิบายเบา ๆ “นางไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา”บ่าวรับใช้ถูกหลัวจือฉิงเรียกมา เมื่อเห็นซูจิ่งสิงก็ยังงุนงงเล็กน้อย “พวกเจ้ามัวยืนงงอยู่ทำไม รีบเข้าไปจับผู้ชายคนนี้มัดให้ข้าเร็วเข้า!”“คุณหนู เขาคือ
“สุดท้ายก็ลักพาตัวคุณหนูหลัวไปในพริบตา พระชายา ท่านนี่สุดยอดจริง ๆ ”ซูจิ่งสิงมองด้วยสายตาอาฆาต “เจ้ามีปัญหาหรือ?”“ไม่ใช่ ๆ ข้าไม่มีปัญหา” เฉิงเซวียนรีบอธิบาย “ข้าหมายถึงคนปกติคงไม่กล้าทำแบบพระชายา แต่ว่าวิธีของพระชายานี่ก็สะใจดี”นั่นมันก็จริงคนทั่วไปเห็นว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงของสกุลหลัว ส่วนใหญ่ก็คงเลือกที่จะไม่เอาเรื่องขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนขึ้นมา “คุณหนูใหญ่สกุลหลัวมาแล้ว”ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนก็หันไปมอง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่คุณหนูใหญ่สกุลหลัวที่เดินออกมาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงในทันทีเป็นไปตามที่เมี่ยชิงหว่านพูดไว้ คุณหนูใหญ่สกุลหลัวผู้นี้ดูเหมือนหญิงสาวอายุสิบแปดปีจริง ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ ไม่เหมือนหญิงวัยสามสิบเลยสักนิด“นึกถึงตอนนั้น ข้าเคยเจอคุณหนูใหญ่สกุลหลัวด้วยนะ ก่อนที่นางจะไปรักษาตัวที่เรือนพักตากอากาศ ข้าก็เล่นกับนางสนิทกันดี ไม่คิดเลยว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ ตอนนี้ข้าเป็นแม่คนไปแล้ว แต่คุณหนูใหญ่หลัวยังดูอ่อนเยาว์เช่นนี้ แถมยังงดงามกว่าเมื่อก่อนอีก”มีเสียงบ่นพึมพำดังมาจากข้าง ๆ กู้หว่านเยว่หันไปต
น้ำเสียงของนางอ่อนหวานนุ่มนวล ท่าทางบอบบาง ทั้งคนดูน่าสงสาร ยิ่งตอนที่นางโค้งคำนับเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอที่ขาวผ่องบอบบาง ยิ่งมองก็ยิ่งน่าทะนุถนอมซูจิ่งสิงไม่สนใจนางอย่างสิ้นเชิงปล่อยให้นางย่อตัวอยู่อย่างนั้น“ท่านอ๋อง?” คุณหนูใหญ่หลัวร้องเรียกด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ร่างกายสั่นเล็กน้อย ดูเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ชายคนหนึ่งรีบก้าวออกมา ประคองมือของนางไว้ “ไฉ่เอ๋อร์ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง รีบไปพักข้าง ๆ เถิด”“พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องสนใจข้า น้องสาวข้าทำผิด ข้าต้องขอโทษแทนนาง”หลัวไฉ่กล่าวอย่างน่าสงสาร ดวงตาจับจ้องไปที่ซูจิ่งสิงกู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างคลุมเครือ นางผู้นี้คิดจะยั่วยวนสามีของตน“ไฉ่เอ๋อร์ พอเจ้ากลับมา น้องสาวก็รังแกเจ้า แต่เจ้ายังพูดแทนนางอีก เจ้าใจดีเกินไปแล้ว”หลัวเฉิงมองนางด้วยสายตารักใคร่ สีหน้าเช่นนั้นทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกขัดใจขอร้องล่ะ สองคนนี้คงไม่ใช่...“พี่ใหญ่ ท่านดีกับข้าจริง ๆ ” หลัวไฉ่เช็ดน้ำตาพลางถือโอกาสเดินไปนั่งข้าง ๆ เขาเหล่าคุณหญิงคุณนายรีบเข้ามารุมล้อมหลัวไฉ่ “คุณหนูใหญ่หลัว ก่อนหน้านี้ท่านป่วยหนักมิใช่หรือ โรคนี้หายได้อย่างไร?”มีคนหนึ่งถามขึ้
เขาแสดงท่าทางเข้าอกเข้าใจเหมือนกับพี่ชาย ทำให้เนี่ยชิงหลานพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะเหยียบเท้าเขาอย่างแรง“ท่านจะมายุ่งทำไม เหตุใดต้องมาคอยควบคุมข้าด้วย?”เฉิงเซวียนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย เจ็บมาก ๆ เจ้าเหยียบเท้าข้าจนจะหักแล้ว”ตั้งแต่เด็กเขาก็มีความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงกว่าคนทั่วไป เนี่ยชิงหลานตกใจ รีบเอ่ยขึ้น“เจ็บขนาดนั้นเลยหรือ? ข้าก็ไม่ได้ออกแรงมากนะ”“เจ็บ เจ็บมากจริง ๆ รีบพยุงข้านั่งลงที”เนี่ยชิงหลานรีบพยุงเขาไปนั่งบนม้านั่งหินที่อยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ“เจ็บขนาดนี้ควรทำอย่างไร? ไม่เช่นนั้นท่านถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก แล้วให้ข้าช่วยดูว่าเป็นอะไรดีหรือไม่”“ไม่ต้อง ช่วยเทน้ำชาให้ข้าสักถ้วย ข้าพักสักครู่ก็ดีขึ้นเอง”“ได้ ข้าจะเทน้ำชาให้ท่านเดี๋ยวนี้”เนี่ยชิงหลานคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหยียบเท้าเขาจนเจ็บก่อน ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว จึงทำตามที่เฉิงเซวียนบอก รีบไปเทน้ำชาให้เขาเมื่อนางหันหลังกลับ เฉิงเซวียนก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเมื่อครู่เขาพูดมากมายขนาดนั้น น้องหญิงก็ไม่ฟัง มีแต่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้น้องหญิงเชื่อฟังแล้วไม่เข้าไปยุ่งครั้งนี้ ไม่ใ
“น้องหญิง มีจดหมายลับฉบับหนึ่ง” ซูจิ่งสิงเอ่ยขึ้น“ให้ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่รีบเดินเข้ามา ปรากฏว่าพอเปิดซองจดหมายออกมา ข้างในมีเพียงกระดาษเปล่า“เหตุใดจึงไม่มีตัวอักษรเลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว ลางสังหรณ์บอกนางว่า สิ่งของที่ซ่อนอยู่ในที่ลับตาแบบนี้ ต้องเป็นของสำคัญแน่ ๆ “น้องหญิง มีน้ำชาหรือไม่”ซูจิ่งสิงมองออกว่ากระดาษแผ่นนี้มีบางอย่างผิดปกติ“มี ท่านรอข้าสักครู่”กู้หว่านเยว่ส่งจิตเข้าไปในมิติ จัดการชงชาถ้วยหนึ่ง จากนั้นพอลืมตา น้ำชาหนึ่งถ้วยก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือนาง “ท่านจะทำอะไร?” กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เห็นเพียงซูจิ่งสิงจุ่มจดหมายทั้งแผ่นลงในน้ำชา“มีตัวอักษร!”กู้หว่านเยว่มองตัวอักษรสีน้ำเงินเข้มที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนกระดาษสีขาวด้วยความดีใจ “ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าทำเช่นนี้แล้วตัวอักษรจะปรากฏขึ้นมา”“ในกองทัพมักใช้วิธีนี้ในการส่งข่าวสาร โดยนำตะปูเหล็กขึ้นสนิมใส่ลงไปในน้ำส้มสายชู จากนั้นก็ใช้พู่กันจุ่มน้ำยาที่เขียนตัวอักษรลงบนกระดาษขาว เมื่อแห้งแล้วตัวอักษรจะหายไป และถ้าอยากให้ตัวอักษรกลับมาปรากฏอีกครั้ง ก็เพียงแค่จุ่มจดหมายลงในน้ำชา”ซูจิ่งสิงเห็นว่าตัว
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป