ด้วยความเหนื่อยล้าหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลู่เหยียนซินนอนหลับไปตื่นหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นกลับพบว่าตนมาอยู่ในยุคโบราณ เสื้อผ้าหน้าผมเหมือนหญิงสาวในซีรีส์จีนย้อนยุคไม่มีผิดอย่างไงอย่างงั้น นี่มันอะไรกันเนี่ยยย!! ใครกันที่ทำแบบนี้ ส่งนางมาทำอะไรที่นี่กัน!!! ..... สตรีผู้ร้ายกาจที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากความงามที่ล่มเมืองนี้กำลังจ้องมองสวามีผู้ที่ไม่เคยรักใคร่นางเลยสักนิด "ท่านอ๋อง ข้าจะหย่ากับท่าน!!" "สมรสพระราชทานเจ้าคิดจะหย่าก็หย่าง่ายๆ เช่นนั้นหรือ!" "แล้วท่านจะเอาอย่างไร! ทำเป็นรังเกียจที่ข้าเข้าใกล้ให้หย่าก็ไม่หย่า!!" "เช่นนั้นท่านก็คอยดูเถอะว่าข้าจะทำเช่นไร ข้าจะคอยตามรังควาน เอ้ย! ตอแย ไม่ใช่อีกล่ะ... ข้าจะตามติดท่านไม่ให้ห่างเลย ดูสิว่าท่านยังจะลีลาที่จะหย่ากับข้าอยู่อีกหรือไม่!" - - - - - - - - - - - - - - - - - -
View More-เรือนซินหยาง จวนอ๋องฉิน-
"พระชายาเพคะ พระชายา"
เสียงเรียกจากสตรีนางหนึ่งลอยเข้ามาในโสตประสาทการรับฟังใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนเปลือกตาบางค่อยๆ แย้มกระพริบขึ้น
นางหายใจเข้าเฮือกใหญ่ร่างเพรียวบางพยายามยันตัวลุกขึ้นโดยมีสาวใช้คนสนิทประคองตัวช่วยอีกแรง
ลู่เหยียนซินหันมองไปรอบๆ ห้องนางเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้น ดวงตาเล็กเรียวทอดมองมายังหญิงสาวตรงหน้าใบหน้าไร้เดียงสาที่ยังมีหยาดน้ำตานองเต็มดวงตาอยู่นั้นกำลังนั่งมองนางด้วยความดีใจอย่างที่สุด
"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าพระชายางั้นหรือ"
"เพคะพระชายา ท่านคงไม่ใช่ว่าได้รับการกระทบกระเทือนจนจำอะไรไม่ได้หรอกนะเพคะ"
สาวใช้คนสนิทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำคล้ายผ่านการร้องไห้มานานนับหลายวันและมีทีท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งหลังได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อครู่
ลู่เหยียนซินพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่นางจะตื่นขึ้นมานั้นในช่วงเวลาหนึ่งที่คล้ายกับอยู่ในห้วงแห่งความฝันลู่เหยียนซินเห็นตนเองอยู่ในห้องผ่าตัด นางกำลังผ่าตัดช่วยชีวิตหญิงท้องแก่ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรงและส่งผลต่อเด็กในครรภ์โดยตรง การผ่าตัดใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆทุกวินาทีนั้นมีค่าหากพลาดแม้แต่นิดเดียวเท่ากับพรากชีวิตผู้เป็นแม่และเด็กน้อยไปตลอดกาล
ในที่สุดผลของความพยายามและแรงกดดันที่มีก็สิ้นสุดลงการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี นางกลับไปยังห้องพักแพทย์ด้วยความเหนื่อยล้าแล้วโน้มตัวลงพักได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองมาอยู่ที่นี่เสียแล้วและมาอยู่ในร่างของลู่เหยียนซินคนที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับนางอีก
ขณะที่นางนั่งคิดเงียบๆ เพียงลำพังความทรงจำบางอย่างในที่ที่ไม่ได้เป็นของนางก็ค่อยๆ ไหลทะลักเข้ามาอย่างช้าๆ
ลู่เหยียนซินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากฮูหยินเอกของอัครมหาเสนาบดีลู่ขุนนางฝ่ายบุ๊นของราชสำนัก นางมีจิตพิศมัยรักใคร่อ๋องฉินตั้งแต่ยังเยาว์วัยเหตุเพราะเขาเคยช่วยนางออกจากป่าทึบทำให้นางประทับใจและหลงรักเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเติบโตขึ้นจนถึงวัยปิ่นปักก็ได้บังคับให้บิดาขอพระราชทานสมรสให้นางแต่งเป็นพระชายาเอกของอ๋องฉิน เยว่เหวินหมิง
ลู่เหยียนซินแต่งงานเข้ามาในจวนแห่งนี้จนเวลาล่วงเลยมาครึ่งปีแล้วแต่อ๋องฉินกลับไม่เคยแตะต้องตัวนางเลยสักครั้ง เหตุเพราะบุรุษผู้นี้มีใจรักใคร่ต่อหยางซูฉินบุตรสาวคนเล็กของตระกูลแม่ทัพหยางและความตั้งใจเดิมของเขาคือแต่งหยางซูฉินมาเป็นชายาเอกแต่กลับได้ลู่เหยียนซินมาแทน
ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาในจวนอ๋องก็เอาแต่ทะเลาะตบตีบ่าวไพร่ไม่เว้นวันเป็นเหตุให้อ๋องฉินเกลียดชังนางมากขึ้นกว่าเดิม แต่ลู่เหยียนซินกลับคิดว่าเป็นเพราะหยางซูฉินยังมีชีวิตอยู่อ๋องฉินจึงไม่รักนาง ถึงกลับกล้าวางแผนส่งคนไปลอบทำร้ายหยางซูฉินระหว่างที่นางเดินทางมาที่จวนอ๋องแห่งนี้
หยางซูฉินได้รับความช่วยเหลือจากอ๋องฉินไว้ได้ทันเวลาและเมื่อเขาส่งคนไปสืบสาวราวเรื่องแล้วพบว่าเป็นลู่เหยียนซินที่เป็นคนบงการจึงสั่งโบยนางไปห้าสิบไม้ และกักขังนางเอาไว้ในเรือนซินหยางทั้งยังสั่งไม่ให้นางย่างกรายออกมาจากตัวเรือนนั้นอีกจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเขานั่นเอง
ขณะนั้นลู่เหยียนซินตระหนักแล้วว่าอ๋องฉินนั้นเกลียดชังนางมากเพียงใด นางยิ้มอย่างขมขื่นกับโชคชะตาที่นางเลือกพร้อมกับหลับตาลง 'ข้าจะตายแล้วสินะ...' นางปิดตาลงพร้อมกับความเสียใจอย่างสุดแสนจะบรรยายออกมา
ลู่เหยียนซินค่อยๆ หลับตาลง หูของนางได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ทั้งตะโกนขอความช่วยเหลือพลันสติของนางก็ค่อยๆ ดับวูบไปทีละนิด
‘อาจจะเพราะเหตุการณ์นี้หรือไม่ที่ทำให้นางได้เข้ามาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างเดิมผู้นี้’
‘เฮ้อ...ข้ามมิติมาทั้งทีเหตุใดไม่ให้เข้าไปอยู่ในร่างของคนธรรมดากันเล่า ทำไมต้องมาอยู่ในร่างของสตรีผู้ที่สร้างปัญหาใหญ่โตเอาไว้ให้นางตามแก้ไขกัน!'
ลู่เหยียนซินนอนพักอยู่บนเตียงงามหลังใหญ่ไม่นานนักก็ได้ยินว่าหยางซูฉินมาขอเข้าพบ ครั้นจะปฎิเสธไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการแล้วเพราะสตรีผู้นั้นได้เดินเข้ามาถึงในห้องนอนของนางด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมกับสาวใช้ประจำตัวที่ถือถาดน้ำชามาด้วย
"พระชายาหม่อมฉันมาเยี่ยมเพคะ"
"เยี่ยมข้างั้นหรือ? ไม่จำเป็นหรอก"
"พูดอะไรเช่นนั้นอีกไม่นานท่านอ๋องก็จะไปสู่ขอข้าเป็นชายารองแล้ว ข้าจึงต้องมาทำความคุ้นเคยกับท่านเอาไว้" นางพูดพลางยิ้มเยาะให้ลู่เหยียนซิน ใบหน้าของหยางซูฉินนั้นหวานละมุนมากเครื่องหน้าของนางงดงามสมส่วนไปหมดหากไม่ใช่เพราะปากคอที่ดูจะเราะร้ายเช่นนั้นลู่เหยียนซินเองก็คงอดที่จะชื่นชมออกมาไม่ได้
"อีกอย่างเรื่องที่ท่านส่งคนไปลอบทำร้ายข้าๆ จะถือเสียว่าเรื่องนี้เป็นความดีความชอบของท่าน ข้าจะยกโทษให้ท่านก็แล้วกันนะเพคะ"
"อะไรนะ"
"ฟังไม่เข้าใจงั้นหรือ? ข้าต้องมาเจ็บตัวเพราะเจ้าเป็นต้นเหตุท่านอ๋องถึงได้ดูแลข้าไม่ห่างอีกทั้งยังให้ข้าพักที่จวนแห่งนี้ได้ข้านั้นดีใจที่สุดเลยละ"
"เจ้ารู้หรือไม่ข้านั้นนึกอุตส่าห์หาทางเข้าใกล้ท่านอ๋องทุกวิถีทางแต่จนสุดท้ายก็เป็นเจ้าที่เปิดทางทำให้ข้าได้ใกล้ชิดกับท่านอ๋องเสียเอง ไม่ให้ข้าขอบคุณเจ้าก็คงจะแล้งน้ำใจเกินไป" นางเหยียดยิ้มปนเย้ยหยันมาให้ลู่เหยียนซิน
หยางซูฉินคิดว่าลู่เหยียนซินคงจะระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นแน่แต่นางคิดผิด! ลู่เหยียนซินเพียงแค่ปรายตามองนางด้วยแววตานิ่งเฉยพร้อมกับเอ่ยปากออกมาว่า
"เป็นเช่นนั้นเองหรือ หากว่าเจ้าได้ตามที่ปรารถนาแล้วก็ออกไปจากเรือนของข้าได้แล้วข้าต้องการพักผ่อน"
"เฮอะ! ลู่เหยียนซินข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบหย่ากับท่านอ๋องโดยเร็วจะดีกว่า เจ้าไม่เห็นแววตาของท่านอ๋องที่เกลียดชังเจ้ามากหรืออย่างไรกัน"
"หากอยากให้ข้าหย่าเจ้าก็ไปรบเร้าท่านอ๋องเองสิอย่ามารบกวนข้า ออกไปได้แล้ว!" ลู่เหยียนซินออกปากไล่เพราะนึกรำคานนางเต็มทน
"นี่เจ้า! เจ้าคิดว่าตนเองมีดีพอที่จะเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องเช่นนั้นหรือ หากไม่ใช่เพราะบิดาของเจ้าใช้อำนาจของตนเองขอพระราชทานสมรสกับฮ่องเต้แล้วล่ะก็มีหรือเจ้าจะได้อยู่ตำแหน่งนี้ง่ายๆ กัน!"
"แล้วเจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองเหมาะสมกับตำแหน่งนี้เช่นนั้นหรือ"
"ข้าเป็นคนรักของท่านอ๋องอีกทั้งยังเป็นบุตรสาวของแม่ทัพหยางและหลานสาวของพระสนมหยางกุ้ยเฟยสถานะของข้าไม่เหมาะสมตรงไหนกัน อย่างไรแล้วสักวันท่านอ๋องต้องยกให้ข้าเป็นชายาเอกแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว"
"เช่นนั้นเจ้าก็ไปบอกท่านอ๋องเสียเองสิ"
"ข้าไม่จำเป็นต้องรบเร้าท่านอ๋องหรอกเจ้าคอยดูเถอะว่าข้าจะใช้วิธีไหนที่ทำให้ท่านอ๋องเขี่ยเจ้าออกจากตำแหน่งชายาเอกอย่างเร็วที่สุด"
หยางซูฉินหยิบถ้วยชาในมือสาวใช้ของนางแล้วยกขึ้นพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ลู่เหยียนซินมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งนางเริ่มรำคานหยางซูฉินผู้นี้ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
เพล้ง !
-อารามชิงเหยียน-“ท่านอาจารย์อยากพบท่านแม่เจ้าค่ะ”“อยากพบข้างั้นหรือ”เยว่เหวินหลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวอารามเพื่อไปเล่นฟันดาบกับผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดและฮั่วเฟิงอวี้ลู่เหยียนซินเดินเข้าไปในอารามชิงเหยียนอารามเก่าแก่ที่ผู้อาวุโสมาพำนักในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าหกปีมาแล้ว“หลิงเอ๋อบอกว่าท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”“ไม่ผิด ที่ข้าเรียกท่านมานั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านหญิงเลยแม้เพียงนิดอย่ากังวลใจไปเลย”“แล้วท่านมีอะไรจะสนทนากับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”“ข้าคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรจะต้องบอกท่านแล้ว”“หืม”“พระชายาหลายปีมานี้เพราะใจของท่านนั้นปล่อยวางไปจนหมดสิ้นจึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของท่านเลยสินะ”“ท่านหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”“ยังจำแหวนหยกสองวงที่ข้ามอบให้ท่านได้อยู่หรือไม่”“เจ้าค่ะ”“ยังเก็บเอาไว้อยู่สินะ”“อยู่ที่สามีของข้าเอง”“ครั้งที่ท่านเดินทางมาที่จี้โจวครั้งแรกสิ่งที่ท่านเคยถามข้าว่าจะได้กลับบ้านหรือไม่ ท่านคงได้คำตอบนั้นแล้วสินะ”ลู่เหยียนซินไม่ได้ตอบเขาไปนางกำลังครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการจะสื่อสารสิ่งใดกับนางอยู่กันแน่“ไม่เสียดายเลยหรือ”
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ฟังไม่ผิดแล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ แทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามากเพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆ ติดมือมาให้นางด้วยทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆ ของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนวิชาจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ใกล้เคียงกัน สถานศึกษาแห่งนี้มีอาจารย
“เสด็จพ่อ!”เป็นฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่หมอหลวงรายงานการตรวจครรภ์ของลู่เหยียนซินพอดี“พวกเจ้าต้องวางแผนการทำคลอดครั้งนี้ให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะส่งหมอหลวงไปประจำที่จวนอ๋องฉินจงจำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังทำให้ดีที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เอาล่ะเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะชายาฉิน ท้องของเจ้าใหญ่เกินไปน่าจะเดินเหินไม่สะดวกนักจากนี้ไปก็จงอยู่แต่ในจวนจนกว่าจะคลอดไม่ต้องเข้าวังมาถวายพระพรแล้ว”“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันทูลลาเพคะเสด็จปู่”“อืม ไปเถอะ”- - - - - - - - - - -เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางก็เข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนางเมื่อก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น‘ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!’“ลี่ถิงมาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยความรวดเร็วเกือบสะดุดขอบพักประตูไปแล้ว“พระชายาเกิดอะไรขึ
Comments