สิ่งที่เขาคิดก็คือ หากพวกเขาไม่เห็นซวนลู่ เขาคงต้องออกไปตามหาทั้งคืนถึงอย่างไรซวนลู่ก็เป็นหญิงสาวตัวคนเดียว เดินทางมาที่เจดีย์หนิงกู่ที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนเลย หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร?“เห็นแล้ว”ซูจิ่งสิงเอ่ยเสียงขรึม“แต่ตอนนี้นางยังพบเจ้าไม่ได้ เจ้าไปพักผ่อนก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”“ทำไมถึงพบข้าไม่ได้?”เกาเจี้ยนค่อนข้างสับสน“เกิดอะไรขึ้นกับอาลู่หรือ?”เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ซูจิ่งสิงก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป พลางส่ายหัวพูดว่า “เปล่า นางปลอดภัยดี”“ปลอดภัยก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในใจกลับสงสัยอยู่บ้าง แต่เขารู้จักจิ่งสิงดี หากเขาไม่ยอมพูดอะไรจะซักไซ้ไปก็ไม่มีประโยชน์หลังจากเกาเจี้ยนตามหงเจาออกไป ซูจิ่งสิงก็เอ่ยเสียงขรึม“พรุ่งนี้จับคนทูเจวี๋ยนั่นได้เมื่อไหร่ ค่อยบอกความจริงกับเขา”ดูจากความรู้สึกของเกาเจี้ยนที่มีต่อซวนลู่ หากไม่เอาหลักฐานวางลงตรงหน้าเขา ก็คงจะไม่เชื่อ“หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรขึ้นมา”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปหาปรมาจารย์แพทย์ ทั้งสองเคยหารือกันไว้ว่า พรุ่งนี้กู้หว่านเยว่จะปลอมตัวเป็นซวนลู่ ไปพบกั
เวลานี้ ซูจิ่งสิงกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงในห้องเพื่อไม่ให้คนทูเจวี๋ยเกิดความสงสัย พรุ่งนี้เขาจะไม่ออกไปข้างนอกตลอดทั้งวัน จะแสร้งทำเป็นว่าถูกพิษดอกฉิงฮวาเข้าแล้วเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นถามว่า “เจ้าได้หน้ากากหนังมนุษย์มาแล้วหรือ?”“ได้มาแล้ว ข้าจะไปปลูกสมุนไพรในมิติ”สมุนไพรที่กวาดต้อนมาจากในถ้ำยังไม่ได้เพาะปลูก กู้หว่านเยว่กำลังนึกถึงสมุนไพรเหล่านั้น หลังจากเห็นซูจิ่งสิงพยักหน้า นางก็รีบเข้าไปในมิติก่อนอื่นให้เตรียมสมุนไพรและผลต้นเกล็ดหิมะที่ปรมาจารย์แพทย์ต้องการ จากนั้นจึงใช้ระบบควบคุมส่วนกลาง ทำการเพาะปลูกสมุนไพรทั้งหมดลงในทุ่งสมุนไพรสุดท้ายหลังจากฝึกเพลงควบคุมสัตว์ร้ายเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว ก็ออกจากมิติ แล้วปีนขึ้นไปนอนบนเตียงวันรุ่งขึ้น นางหยางและคนอื่น ๆ ได้รู้ข่าวการมาถึงของเกาเจี้ยนและรู้ด้วยว่าที่แท้สกุลเกาและสกุลซวนทั้งสองครอบครัวได้กำหนดการแต่งงานระหว่างซวนลู่กับเกาเจี้ยนไว้แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความจริงถูกเปิดเผย กู้หว่านเยว่จึงบอกพวกเขาไว้ล่วงหน้า ขอให้พวกเขาอย่าเพิ่งพูดเรื่องซวนลู่ต่อหน้าเกาเจี้ยนหลายคนรู้จักลำดับความสำคัญ
เพื่อลูกแล้ว นางหลิวก้มศีรษะอันหยิ่งยโสลง นางหยางถอนหายใจเบา ๆ ไม่อยากทำให้นางลำบากใจแล้ว“เจ้าทิ้งเด็กไว้เถอะ ในเมื่อเรารับเด็กคนนี้ไว้แล้ว ต่อไปก็จะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี จะไม่เอาบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนมาใส่ตัวนาง”“ขอบคุณ”นางหลิวผู้นี้ ปากเสีย แต่จิตใจไม่ได้มืดบอด นางรู้ว่าบ้านสามมีนิสัยใจคออย่างไร พวกเขาจะไม่โหดร้ายกับตัวตัว ไม่เช่นนั้นนางคงไม่กล้ายกลูกให้“เจ้าบอกลาลูกซะ” นางหยางหันหลังกลับ ทนเห็นฉากนี้ไม่ได้นางหลิวได้ยินดังนั้นก็ร่ำไห้ ตัวตัวก็ร่ำไห้เช่นกัน แต่นางอดกลั้นไว้ เด็กน้อยวัยห้าขวบเข้าใจอะไรแล้ว ก่อนออกเดินทาง นางหลิวได้จับมือของนางไว้และพูดหลักการอันยิ่งใหญ่ให้นางฟัง นางเข้าใจทุกอย่าง“เด็กดี ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังครอบครัวของนายท่านในจวนกู้แห่งนี้ให้มาก ๆ พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าต้องจำไว้ว่า พวกเขาคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้า เจ้าต้องปรนนิบัติพวกเขาเป็นอย่างดี ตอบแทนพวกเขาในอนาคต อย่าตำหนิผู้ใด ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อแม่เอง พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ได้ แม่ แม่ต้องขอโทษเจ้าด้วย”นางหลิวพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว เสียงของนางขาดห้วงไปหมด
เกาเจี้ยนเอ่ยคำยกยอก่อน จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว“เมื่อวานข้าถามพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าว่า พี่หญิงซวนของเจ้าอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าพวกเขาไม่ยอมบอกข้า วันนี้ที่โต๊ะอาหาร ข้าเห็นพวกเจ้าแต่ละคนมีท่าทีที่แตกต่างกันไป ราวกับว่ากำลังปิดบังบางอย่างจากข้านังหนูจิ่น เจ้าพูดกับข้าตามตรง เกิดอะไรขึ้นกับอาลู่หรือเปล่า?”ซูจิ่นเอ๋อร์หัวชาทันที สีหน้าลำบากใจ “มี มีที่ไหนกันเล่า พี่หญิงซวนสบายดี”“ในเมื่อสบายดี แล้วทำไมถึงพบหน้าไม่ได้?”เกาเจี้ยนขมวดคิ้ว “พวกเจ้าอย่าคิดว่าข้าโง่ นางบาดเจ็บหรือเปล่า หรือว่านางป่วย อย่าปิดบังข้าเลย!”“พี่ใหญ่เกา”ใบหน้าของเกาเจี้ยนแดงก่ำ ซูจิ่นเอ๋อร์เห็นเขาเป็นกังวลมากเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจมากนางถอนหายใจ “ข้าหมายความว่า สมมติว่า ถ้าพี่หญิงซวนทำอะไรไม่ดี”“อะไรที่ว่าไม่ดี?” เกาเจี้ยนยิ่งงุนงงกว่าเดิม ราวกับว่ามีมดนับหมื่นตัวกำลังกัดแทะจิตใจ จนทำให้เขาอยู่ไม่สุขเป็นอย่างมาก“บอกข้าเถอะ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารับได้ทุกเรื่อง พวกเจ้าปิดบังไว้แบบนี้ต่างหากที่ทำให้ข้าร้อนใจ”ซูจิ่นเอ๋อร์หวั่นไหวไปกับคำพูดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเกาเจี้ยนก็เป็นกังวลมากจริง ๆ
หน้ากากหนังมนุษย์ดูสมจริงมาก คนชุดดำไม่รู้สึกสงสัยอะไรเลย กู้หว่านเยว่เอ่ยอย่างลำพองใจ“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ากับท่านอ๋องมีมิตรภาพจากการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน เขาไว้ใจข้ามาก”ภายในมิติ ซูจิ่งสิงได้ยินคำพูดของกู้หว่านเยว่ พลางแสยะมุมปากขึ้น พรสวรรค์ในการเลียนแบบของน้องหญิงมีสูงมากจริง ๆ ถ้าเขาไม่รู้ว่าคนข้างนอกคือน้องหญิงที่ปลอมตัวมา ก็เกือบจะนึกว่าซวนลู่มาจริง ๆ“ของล่ะ เอามาให้ข้าอีก”กู้หว่านเยว่ยื่นมือออกมา คนชุดดำกำลังบีบบังคับนาง“ของน่ะให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องไม่ลืมความร่วมมือของเรา ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังข้าและทำงานให้ข้า”“ข้าไม่ลืม” กู้หว่านเยว่ค่อนข้างใจร้อน มองไปที่คนชุดดำที่ไม่ค่อยอยากคุยด้วยมากนัก เลียนแบบท่าทางของซวนลู่จนเหมือนเปี๊ยบคนชุดดำก็ไม่นึกสงสัยอะไรเลย พลางหยิบขวดยาดอกฉิงฮวาออกมาจากอกของสิ่งนี้มันเสพติดได้ ยิ่งกินยิ่งติด หนีไปไหนไม่ได้เขาต้องการให้ซวนลู่ค่อย ๆ ให้ซูจิ่งสิงกินก่อน รอจนกว่าซูจิ่งสิงจะขาดมันไม่ได้โดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเวลาที่เขาได้ลงมือคนชุดดำส่งขวดยาให้กู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่เอื้อมมือออกไป แต่กลับไม่ได้คว้ายานั่นไว้ กลายเป็นคว้าข้อมือของ
“เจ้าบอกว่าเกาเจี้ยนพานางไปหรือ?”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ต่างก็ตกใจ ที่ทั้งสองไม่ได้บอกความจริงกับเกาเจี้ยนเมื่อวาน ก็เพราะกลัวว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นหลังจากวางแผนจับตัวคนทูเจวี๋ย รวบรวมคำให้การและหลักฐาน ให้ซวนลู่ไม่มีทางปฏิเสธได้ แล้วจึงค่อยบอกเกาเจี้ยน“ข้าน้อยไร้ความสามารถ”ฉู่เฟิงถอนหายใจ รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่หน้าอก“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งสิงไม่ตำหนิชู่เฟิง เขารู้ทักษะการต่อสู้ของเกาเจี้ยนดี พละกำลังไม่มีวันหมด สามารถฆ่าหมีตัวหนึ่งได้ด้วยมือเปล่า องครักษ์เงาจันทร์ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ มันเป็นเรื่องปกติ“พาคนทูเจวี๋ยผู้นี้ลงไปไต่สวนก่อน” ซูจิ่งสิงส่งคนชุดดำให้ฉู่เฟิงแล้วถามว่า “เกาเจี้ยนไปทางไหน?”“ไปทางประตูเมืองขอรับ” ฉู่เฟิงพูดพลางคว้าคนชุดดำไว้“น้องหญิง เราไปตามเขากันเถอะ” ซูจิ่งสิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ซวนลู่เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด เกาเจี้ยนเป็นคนดื้อดึง กลัวว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในกำมือนาง“ตกลง” กู้หว่านเยว่พยักหน้า ก่อนจะมองไปทางซูจิ่นเอ๋อร์ “เจ้าไม่ต้องร้องไห้ กลับไปรอฟังข่าวที่จวนก่อน”เมื่อครู่ซูจิ่นเอ๋อร์รู้สึกผิดมากเหลือเกิน บวกกับฟ้ามืด จึงมองไม่ค่อยเห็นผ
ซวนลู่ขบกรามแน่น มองดูเกาเจี้ยนที่ล้มลงไป แล้วเดินไปยังสถานที่ซื้อขายม้าเดินโดยไม่เหลียวหลังนางไปยังสถานที่ซื้อขายม้าและซื้อม้าเร็วมาตัวหนึ่ง ขณะที่นางกำลังจะขึ้นม้า เกาเจี้ยนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย“ท่าน?” ซวนลู่ตกใจ “ท่านเพิ่งหมดสติไปมิใช่หรือ?”เกาเจี้ยนยิ้มเจื่อน ๆ มองดูซวนลู่เหมือนไม่เคยรู้จักนางมาก่อน“ขณะที่สาดผงยาเข้ามาข้าก็กลั้นหายใจ เจ้าเห็นสกุลเกาของเราเป็นอะไร เรื่องการป้องกันตัวแบบนี้จะไม่มีเลยหรือ”บรรพบุรุษสกุลเกาของพวกเขา เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนอกกรอบในยุทธภพเหล่านี้“อาลู่ เจ้ากลับไปกับข้า” เกาเจี้ยนกล่าวเสียงหนักแน่น“ข้าจะไม่ตามหาพยานบุคคลอะไรนั่นแล้ว ข้าไม่อยากอยู่ที่เจดีย์หนิงกู่ ข้าอยากตรงกลับบ้านเลย”“ไม่ได้” เกาเจี้ยนก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้านางไว้ “อาลู่ เจ้าต้องกลับไปกับข้าแล้วคุยกันให้ชัดเจน”ที่แท้หลังจากเกาเจี้ยนรู้ความจริงจากปากซูจิ่นเอ๋อร์แล้ว ก็ออกตามหาสถานที่ที่ซวนลู่ถูกคุมขังไว้ เขามีความสามารถในการสืบสวนที่ดีเยี่ยม ค้นหาไม่นานก็พบที่อยู่ของซวนลู่จริง ๆ“อาลู่ เจ้าเป็นคนบอกข้าเองว่า เจ้าไม่ได้วางยาจิ่งสิง เป็นจิ่งสิงเองที่ควบคุ
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตนเองยังมิได้ทำความรู้จักกับสตรีตรงหน้าดีๆ เลยสักครั้ง“ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้”เกาเจี้ยนได้สติขึ้นมา ตัดสินใจแล้ว“หากเจ้าไปแล้ว เรื่องก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก บัดนี้เจ้าจงกลับไปโขกศีรษะยอมรับผิดต่อพวกเขาพร้อมข้า เรื่องนี้ยังพอมีโอกาสย้อนคืนกลับมาได้”เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หัวใจคล้ายค่อยๆ เย็นชาลง “ส่วนเรื่องการแต่งงานของพวกเรา...”เขายิ้มขมปร่าออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจจะแต่งงานกับข้า หลังจากกลับไปข้าจะบอกท่านพ่อและท่านลุงเอง พูดว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้าถอนหมั้นกับเจ้า เพื่อให้เจ้าได้ไปตามหาความสุขของตน”เขาไล่ตามซวนลู่มาเนิ่นนาน ถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยมือการรักใครสักคน ไม่จำเป็นต้องครอบครองนางเสมอไป“พี่ใหญ่เกา ท่านพูดจริงหรือ?” ซวนลู่รู้สึกทรมานภายในใจขึ้นมาในทันใด คล้ายกับว่าได้สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป“จริง” เกาเจี้ยนยิ้มขมปร่า “ขอเพียงเจ้ากลับไปยอมรับผิดกับข้าก็พอ”“ข้า...” ซวนลู่หลุบตาลง เสียงแผ่วเบาราวกับยอมรับผิดแล้ว “แต่ข้ากลัว”เกาเจี้ยนปวดแปลบภายในใจ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”“อืม พี่ใหญ่เกา ท่านดึงข้าลงจากม้า พาข้ากลับไปเถอะ”ดวงตา
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้