“โมโหมากจริงๆ”สาวใช้พยักหน้าเบา ๆ“คุณชายเฉิงชอบท่าน จึงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนแทงกลางอกเพราะคำพูดเหล่านั้นของคุณหนู”“พูดเกินจริงไปแล้วกระมัง?”เนี่ยชิงหลานบ่นงึมงำ ใบหน้ารูปไข่กลับแดงเรื่อ อาจเป็นเพราะคำว่าชอบนั้นกระมัง“ช่างเถอะๆ ไก่ย่างนี้ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก ข้าจะไปหาเขาแล้วกินด้วยกัน”เนี่ยชิงหลานปากแข็งใจอ่อน ไล่ตามออกไปทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่ไปที่ห้องหนังสือ เล่าเรื่องนี้ให้ซูจิ่งสิงฟัง“ข้าคิดว่าจะสืบเรื่องคนในตระกูลโจวสักหน่อย”กู้หว่านเยว่ใคร่ครวญพลางพูด แม้ว่าจะต้องใช้วิธีการที่อาจจะดูใหญ่โตเกินไปบ้าง แต่ซ่งเสวี่ยเป็นสหายที่ดีของนาง นางกู้หว่านเยว่เป็นคนที่ดีต่อสหายมาก นางไม่อาจทนเห็นสหายของนางทุกข์ทรมาน แต่กลับไม่ทำอะไรเลย“ตระกูลโจว ครั้งก่อนข้าสืบได้เรื่องบางอย่างจากโจวเซ่อมาแล้ว”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้วเบาๆ หากไม่ใช่เพราะวันนี้กู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาคงจะลืมไปแล้ว“ท่านสืบพบอะไรหรือ?”“ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ถึงร้อยส่วน รอจนกว่าจะมั่นใจแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”ครั้งก่อนหลังสืบได้ว่าโจวเซ่อเป็นคนซื่อตรง ก็หยุดไว้ก่อน แต่ครั้งนี้สามาร
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่หญิงกู้”ลั่วยางรู้สึกซาบซึ้งใจภายในใจตั้งแต่ไม่ใช่ศัตรูกับกู้หว่านเยว่ เป็นมิตรกับนาง พบว่านางเป็นคนพูดคุยง่ายมากเหลือเกินทั้งสองคนเดินมาถึงห้องรับแขก ปรากฏว่าเข้าประตูไปแล้วก็ได้เห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนอยู่บนเตียง กู้หว่านเยว่ตกตะลึงอึ้งงันอยู่กับที่“เจ้าไปพาคนผู้นี้มาจากที่ใด?”“ข้าพบเขาที่ประตูเมือง ตอนนั้นเขาชนกระแทกเข้ากับรถม้าของข้า ข้ายังนึกว่าข้าชนเขาจนได้รับบาดเจ็บเสียอีก สรุปว่าลงไปดูก็พบว่าเขาถูกแทงที่อก”ลั่วยางอธิบายต่อ “เห็นว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่สามารถเห็นคนลำบากแล้วไม่ช่วยได้ จึงพาเขากลับมา”สังเกตเห็นสีหน้าของกู้หว่านเยว่ผิดปกติ ลั่วยางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ“พี่หญิงกู้ ฐานะของคนผู้นี้...ใช่หรือไม่ว่าข้าทำให้ท่านเดือดร้อน?”นางกังวลว่าตนเองอาจจะช่วยคนที่ไม่สมควรช่วย สรุปคือกู้หว่านเยว่กลับยิ้มพลางส่ายหน้า“มิได้ทำให้ข้าเดือดร้อน ข้าควรจะขอบคุณเจ้าต่างหาก!คนผู้นี้เป็นสหายของข้า พวกเราตามหาเขามาหลายวันแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะช่วยเขากลับมา”นี่บังเอิญเกินไปแล้วกระมัง?“ชิงเหลียน เจ้าไปแจ้งท่านอ๋อง ก็บอกว่าพบขุนพลเกาแล้ว”กู้หว่า
“สิ่งนี้ใช้ภายนอก หากเขามีไข้อีกครั้ง สามารถใช้ผ้าขนหนูชุบแอลกอฮอล์ที่อยู่ภายในนี้แล้วทาที่หน้าผากของเขาได้ เพื่อช่วยให้ไข้ลดลงทีละน้อย”“เจ้าค่ะ”ลั่วยางรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของดี รีบยื่นมือสองข้างไปรับ ถือไว้ในมือแล้วศึกษาอย่างละเอียดในเวลาเดียวกัน ซูจิ่งสิงวิ่งเข้ามาจากภายนอกอย่างว่องไวปานเหินบิน“หว่านเยว่ เกาเจี้ยนเล่า?”เขาหันหน้า ถึงมองเห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนบนเตียง มีผ้าพันแผลหนาๆ อยู่ที่อก สีหน้าเผือดซีด หลับตาสนิททั้งสองข้าง ทันใดนั้นกำมือแน่นซวนลู่ ถึงขั้นลงมือหนักมากเช่นนี้ ทันใดนั้นเขานึกได้ว่าเมื่อคืนยามสอบสวนเขามีเมตตาเกินไปแล้ว“เขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ยามใด?”“น่าจะอีกราวหนึ่งถึงสองชั่วยาม” กู้หว่านเยว่รู้ว่าเขากังวลมาก จึงรีบพูดปลอบใจ“บาดแผลของเขาได้รับการรักษาแล้ว ลั่วยางรักษาเขาได้ทันท่วงที ดังนั้นเขาไม่มีอันตรายถึงชีวิต ท่านวางใจเถอะ”“ขอบคุณมาก”ซูจิ่งสิงมองไปที่ลั่วยางแวบหนึ่ง ลั่วยางรู้สึกตกตะลึงเพราะได้รับความโปรดปราน ไม่กล้าพูดอะไร รีบถอยออกไปเนื่องจากเกาเจี้ยนยังไม่ฟื้นขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น ทั้งสองคนรออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ จึงสั่งให้บ่าวอยู่เฝ
เกาเจี้ยนบอกไม่ได้ว่าในใจนั้นโล่งใจหรือยังขมขื่นอยู่ “เพื่อเจ้า นางไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับชาวทูเจวี๋ยเลยสักนิด”“เกาเจี้ยน เจ้าไปรักษาอาการคลั่งรักของเจ้าให้หายดีก่อนเถอะ”ซูจิ้งไม่สบอารมณ์ “ประเด็นหลักคือเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”ประเด็นหลักคือเรื่องที่ซวนลู่เป็นถึงท่านแม่ทัพหญิง แต่นางสมรู้ร่วมคิดกับชาวทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงต่างหาก!“ข้ารู้ว่าประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ข้ารู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย”นัยน์ตาของเกาเจี้ยนแดงก่ำ บุรุษร่างกายกำยำมีน้ำตาไหลอาบแก้ม สองสามีภรรยาถึงกันทนมองไม่ได้แต่พอมาครุ่นคิดดูแล้วก็ใช่ เกาเจี้ยนมีความลึกซึ้งต่อซวนลู่ ทั้งสองคนเข้าพิธีหมั้นกันแล้วเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้นซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเบา “เจ้าดูคำพูดเหล่านี้ให้ดี ๆ จะได้ไม่โง่เขลาเบาปัญญา ยื่นมือไปช่วยนางโดยพลการอีก”เข้ามาพัวพันกับชาวทูเจวี๋ย นี่ไม่ใช่เรื่องความรักทั่วไปแล้วนะ“ข้าเข้าใจ”เกาเจี้ยนเสียใจมาก แต่เขารู้จักแยกแยะ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางพาซวนลู่กลับมาหลังจากที่ได้รู้ความจริงหรอก“เจ้าดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ”ใบหน้าของซูจิ่งสิงเย็นยะเยือก จากนั้นก็เดินมาหาลั่วยางที่ประตู
“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วย?”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว นางไม่เคยมีความรู้สึกอะไรต่อสกุลกู้ ตั้งแต่ตัดความสัมพันธ์ไปนางไม่เคยเสียใจเลย บัดนี้ครั้นได้เห็นความไร้ยางอายของท่านโหวกู้ จึงไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดนางกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าไม่ได้คาดหวังสกุลกู้มานานมาแล้ว ไม่มีทางโกรธแน่นอน”“เรามีบ้านของเราเอง”ซูจิ่งสิงเป็นห่วงนางมาก กู้หว่านเยว่กลับอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ“สกุลกู้....ท่านพ่อของข้าไร้ยางอายจริง ๆ ทำมาเป็นพูดว่าเขายกเงินกับเราแล้ว เพียงแต่ถูกสนมยักยอกไปเสียก่อน”กู้หว่านเยว่ดูหมิ่นเขา กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ โยนความผิดให้สตรี เป็นบุรุษประสาอะไร“จดหมายฉบับนี้ เจ้าตั้งใจจะจัดการอย่างไร”“ไม่จัดการ”กู้หว่านเยว่โยนจดหมายทิ้งลงในถังเตาถ่าน นางเดาว่าหลังจากที่นางขนสิ่งของในจวนกู้โหวไปจนเกลี้ยงแล้ว กิจการที่ค้าขายได้ไม่ดีเหล่านั้นก็ยากจะประคับประคองให้อยู่รอดต่อได้ บัดนี้เสบียงได้หมดเกลี้ยงแล้ว“ในเมื่อตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็ต้องหาเหตุผลกระชับมิตรใหม่”ท่านกู้โหวได้ยินว่าซูจิ่งสิงได้รับตำแหน่งคืนแล้ว ทั้งยังคอยควบคุมข่าวลือในเจดีย์หนิงกู่อีก จึงได้เขียน
กู้หว่านเยว่ดีใจกับพวกเขา กว่าทั้งสองคนจะเดินมาถึงวันนี้มันไม่ง่ายเลย“ถึงตอนนั้นค่อยให้ซองแดงกับพวกเจ้าก็แล้วกัน”“ขอบคุณ พระชายาเจ้าค่ะ”เฉินจื่อหวังและเจียงอวิ๋นจิ่นอดยิ้มไม่ได้ ทั้งสองคนไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จึงขอตัวไปดูร้านขายชาดกับหงเจาหลังจากที่ทั้งสองคนจากไป กู้หว่านเยว่ได้เจียดเวลาไปเยี่ยมซ่งเสวี่ยที่บ้านสกุลโจว อาการป่วยของนางดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่นางยังไม่ค่อยร่าเริงนักกู้หว่านเยว่ก็ไม่กล่าวสิ่งใด ได้เพียงแค่ปลอบใจนาง“ได้ยินว่ามีอารามเต๋าแห่งหนึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าอยากไปผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย”“อารามอะไรหรือ?” เหตุใดกู้หว่านเยว่ไม่เคยได้ยินมาก่อนซ่งเสวี่ยกล่าว “ดูเหมือนจะเป็นอารามไว้ขอบุตร วันนั้นข้าได้ยินคนในตลาดบอกว่าขอได้จริง ข้าจะไปขอเครื่องรางแคล้วคลาดให้นานนาน”กู้หว่านเยว่เป็นห่วงว่านางจะเกิดเรื่อง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ข้าไปกับท่านด้วย ข้าเองก็อยากซื้อให้จ้านจ้านเช่นกัน”เรื่องของโจวเซิง ยังไม่ได้ผลในเวลานี้กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้จะเอ่ยเรื่องนี้อย่างไร วันที่สองทั้งสองคนนั่งรถม้าไปกราบไหว้อารามเต๋านอกเมือง เน
“ฮูหยินคงจะมีบุตรยาก สือจีเหนียงเหนียงของเราศักดิ์สิทธิ์มากนะ”“ไม่จำเป็น”กู้หว่านเยว่มีเสี่ยวจ้านจ้านแล้ว ครั้นหมุนตัวไปก็พบกับสายตาที่ไม่ชอบมาพากลของนักพรตเต๋าผู้นั้น นางหรี่ตามอง แล้วรีบหาข้ออ้าง“หากข้าอยากมาของบุตร จะต้องทำอย่างไร?”นักพรตเต๋ารีบกล่าวทันที “สามีของฮูหยินมาด้วยกันหรือไม่ หากสามีของท่านอยู่ที่นี่ ท่านทั้งสองจะต้องจ่ายค่าห้องหนึ่งคืน พวกเจ้าจะได้อยู่ในห้องถัดไปจากห้องโถงใหญ่ เพื่อขอบุตรต่อหน้ารูปปั้นสือจีเหนียงเหนียง ความปรารถนาจะเป็นจริง แต่จงจำไว้ ต้องมีใจศรัทธาเท่านั้น หากไม่เชื่อ สือจีเหนียงเหนียงไม่มีวันคุ้มครองอย่างแน่นอน”“พี่หญิงกู้ ท่านจะขอบุตรหรือ ไม่ใช่ว่าท่านมี...”เนี่ยชิงหลานโพล่งออกไป แต่ถูกกู้หว่านเยว่ตัดบทเสียก่อน“สามีของข้าไม่อยู่ ออกราชการไม่ได้หยุดหย่อน ข้าอยู่เพียงลำพังได้หรือไม่?”“นี่...” นักพรตเต๋าลังเลครู่หนึ่ง “โดยทั่วไปแล้วจะต้องมาพร้อมกับสามี หากท่านขอบุตรกับสือจีเหนียงเหนียงเพียงผู้เดียวแรงปรารถนาคงจะไม่มากพอ อีกอย่างท่านอยู่ขอบุตรเพียงผู้เดียว หากเกิดอะไรขึ้นมา อารามเต๋าของเราไม่รับผิดชอบนะ”ครั้นเห็นนักพรตเต๋าจริงจัง กู้หว่านเย
“อื้อ”เนี่ยชิงหลานพยักหน้า ใบหน้าเปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้น “พี่หญิงกู้ ข้าไปหาท่านพี่แล้วนะ”“ไปเถอะ”กู้หว่านเยว่กลับไปอาบน้ำ แล้วเข้าไปฝึกฝนเพลงควบคุมสัตว์ร้ายในห้วงมิติต่อ หลังจากที่ซูจิ่งสิงกลับมา ก็เล่าเรื่องอารามเต๋าเมื่อตอนกลางวันให้เขาฟัง“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิทธิพลของคุณหนูใหญ่สกุลหลัวหรืออย่างไร ข้าเห็นคนกลุ่มนั้นไม่ชอบมาพากล ท่านจะให้ส่งคนไปตรวจหรือไม่?”ซูจิ่งสิงพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน และส่งคนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว”สองวันมานี้เขากำลังเตรียมตัวเรื่องที่ต้องเดินทางไปชายแดน“พระชายา!”จู่ ๆ ก็มีเสียงร้อนใจของเฉิงเซวียนดังขยายมาจากด้านนอก กู้หว่านเยว่จึงให้คนเรียกเขาเข้ามาทันทีที่เฉิงเซวียนเข้ามาก็กล่าวถามว่า “เห็นชิงหลานหรือไม่?”“นางไม่ได้ไปหาเจ้าหรอกหรือ?”กู้หว่านเยว่เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นในใจ เฉิงเซวียนเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ“ไม่ได้ไปหาข้าขอรับ สาวใช้ที่ดูแลนางบอกว่าหลังจากที่นางกลับไปก็หยิบกระบี่หนึ่งเล่มออกมา ทั้งยังเกล้าผมสูงและควบม้าออกไปทันที”“เด็กคนนี้ชักจะบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว”จู่ ๆ กู้หว่านเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่านางจะไปไห
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้