เวินทิงอวิ๋นแย้มมุมปาก ไม่เห็นซูจิ่งสิงอยู่ในสายตาสักเท่าใด ในสายตาของเขา อีกฝ่ายเป็นเพียงแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น จะเก่งกาจสักแค่ไหนกันเชียว?...กู้หว่านเยว่รอฟังข่าวจากเฉิงเซวียน ขณะเดียวกันก็กำลังยุ่งอยู่กับธุระของร้านดอกท้อและในวันนี้เองซูจิ่นเอ๋อร์ก็วิ่งเข้ามาหาอย่างรีบร้อน “พี่สะใภ้ใหญ่ มีเรื่องที่ต้องให้พี่ช่วยอีกเจ้าค่ะ”“อะไรหรือ?”นังหนูคนนี้นับตั้งแต่เปิดร้านอาหารมา ก็แทบจะไม่เคยแสดงท่าทีจนปัญญาเช่นนี้เลย“ใต้เท้าฟู่ อาการป่วยของเขาหนักขึ้น เขากลับมาเมื่อวาน ปรากฏว่าอาเจียนเป็นเลือด”ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องไห้ออกมาทันที“เขาซ่อนผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดไว้ แต่สุดท้ายก็ถูกข้าพบเข้าพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งท่านเคยบอกข้าว่า เขาป่วยด้วยโรคติดต่อสองครั้งเป็นอันตรายอย่างรุนแรง จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงสามถึงห้าปีเท่านั้นแต่เพราะเหตุใด เพิ่งผ่านมาเพียงปีเดียวก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว?”หลังจากนางพบผ้าเช็ดหน้าก็ไม่กล้าบอกฟู่หลานเหิง เป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะทำใจรับไม่ได้ แต่ก็ทนไม่ไหวจริง ๆ จึงรีบไปหากู้หว่านเยว่“ฟู่หลานเหิงอาเจียนเป็นเลือดหรือ?”เรื่องนี้กู้หว่านเยว่ก็คาดไม่ถึง
กู้หว่านเยว่หยิบยาเม็ดขวดหนึ่งออกมาก่อน แล้วไปหาซูจิ้ง ผู้อาวุโสทั้งสองกำลังอุ้มจ้านจ้านเล่นอยู่ตั้งแต่จ้านจ้านเกือบจะถูกคนชุดดำลักพาตัวไปเมื่อคราวก่อน สองวันมานี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้อาวุโสทั้งสองมีเวลา ก็จะไปที่เรือนของจ้านจ้าน“อุแว้!”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามาใกล้ เด็กน้อยก็โบกไม้โบกมือทั้งสอง“เด็กดี”กู้หว่านเยว่หอมแก้มของเขา ก่อนจะส่งยาให้ซูจิ้ง“ท่านพ่อ นี่คือยาเม็ดที่ข้าคิดค้นขึ้นมา สามารถช่วยฟื้นฟูกล่องเสียงของท่านได้”ซูจิ้งค่อนข้างแปลกใจ แต่นางหยางกลับตอบสนองทันที รีบรับขวดยาไป พร้อมกับถามด้วยความตื่นเต้น“กินยานี้แล้ว พ่อตาของเจ้าก็จะพูดได้เป็นปกติแล้วใช่ไหม?”“ถ้าฟื้นฟูได้ดี ก็จะพูดได้อีกครั้งแน่นอน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางหยางดีใจจนน้ำตาไหล กอดซูจิ้งไว้“ดีจังเลยท่านพี่ ข้ารู้ว่าหว่านเยว่ต้องมีวิธีช่วยให้ท่านฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้”ความจริงที่ซูจิ้งกลับมาได้ นางก็มีความสุขมากแล้วแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดไม่ได้ นางก็รู้สึกปวดใจอยู่เสมอ“อา ๆ” ซูจิ้งตื่นเต้นจนลืมใช้กระดาษกับพู่กัน“ยานี้ต้องใช้เป็นประจำ วันละหนึ่งครั้งห้ามขาด”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางกำชับว่า คว
ดวงตาทั้งสองของลั่วยางเป็นประกาย“แมงกะพรุนฝันสู่สวรรค์ นี่คือสมุนไพรที่ทำมาจากแมงกะพรุนฝันสู่สวรรค์จริง ๆ!”ลั่วยางอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ไหว ตอนนี้นางได้ทุ่มเทให้กับการศึกษาวิชาแพทย์ มีเพียงสมุนไพรเท่านั้นที่จะทำให้ดวงตาทั้งสองของนางเปล่งประกายได้“ของสิ่งนี้หายากมากหรือ?” เกาเจี้ยนประหลาดใจ“ไม่ใช่แค่หายาก แต่พานพบได้ด้วยวาสนาเท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของข้าที่มีชีวิตอยู่เกือบร้อยปีแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน ข้าก็เคยเห็นจากในหนังสือเท่านั้น”ลั่วยางมีสีหน้าอิจฉา พี่หญิงหว่านเยว่นี่สวรรค์คัดสรรจริง ๆ โชคดีเหลือเกินที่มีอยู่ในมือ ลำพังสมุนไพรหายากก็มากมายแล้ว“ของสิ่งนี้ล้ำค่าขนาดนี้เชียวหรือ?”เกาเจี้ยนชักมือกลับในทันใด พลางส่ายหน้า“ของที่ล้ำค่าเช่นนี้ เจ้าเก็บไว้กับตัวเองดีกว่า ตาข้างนี้ของข้าก็บอดมาหลายปีแล้ว ข้าเคยชินแล้ว”“โห มองไม่ออกเลยว่าคนอย่างท่านนั้นยิ่งใหญ่มาก” ลั่วยางเลิกคิ้วขึ้นเกาเจี้ยนเคยชินกับปากของนางแล้วอย่างจำใจ เลือกที่จะไม่พูดอะไร แต่เป็นกู้หว่านเยว่เองที่ยัดยาใส่มือเขา“รับไปเถอะ ไม่งั้นข้ากับท่านอ๋องจะสบายใจไม่ได้”นางกล่าวเสริมอี
หลังจากทั้งสองเข้ามาในห้องหนังสือ ก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือด้วยกันพร้อมกับกางแผนที่ออกแผนที่นี้ไม่ได้ใหญ่มากเมื่อดูสัญลักษณ์บนแผนที่ กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“ได้แผนที่มาแล้ว แต่พวกเราสองคนกลับไม่เข้าใจสัญลักษณ์บนแผนที่”ซูจิ่งสิงหยิบมาศึกษาดูสักครู่ แล้วก็ต้องพยักหน้ายอมรับ เขาเองก็ไม่เข้าใจแผนที่ฉบับนี้เช่นกัน“เรียกเฉิงเซวียนเข้ามา บางทีเขาอาจจะอ่านเข้าใจก็ได้”หลังจากทั้งสองหารือกันแล้ว ก็โทรเรียกเฉิงเซวียนเข้ามาหลังจากรับแผนที่มาแล้ว เฉิงเซวียนมองปราดเดียวก็พยักหน้า “ใช่แล้ว แผนที่ฉบับนี้ท่านตาของข้าวาดเองกับมือ ลองดูสิตรงกลางแผนที่นี้ก็คือตลาดมืดอินซาน”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว “แผนที่ฉบับนี้พวกข้าสองคนอ่านไม่เข้าใจเลย”เฉิงเซวียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “มีแผนที่ปกติไหม ข้าจะได้วาดเส้นทางของตลาดมืดอินซานลงบนแผนที่ได้”“มี”กู้หว่านเยว่รีบหยิบแผนที่ปกติออกมาวางไว้ตรงหน้าเฉิงเซวียน เขาวาดเส้นทางลงบนแผนที่นั้นแบบนี้กู้หว่านเยว่ก็เข้าใจได้แล้ว“ท่านเคยไปสถานที่แห่งนี้ไหม?” กู้หว่านเยว่เอ่ยถามซูจิ่งสิงซูจิ่งสิงส่ายหัว“แม้ว่าที่นี่จะเป็นพรม
มีข้านำทางไป ก็สะดวกกว่าเช่นกัน”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว “ขาท่านบาดเจ็บคงไม่สะดวกหรอกนะ...”“ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นเราจะนั่งรถม้าไป”“ความจริงแล้วเขาไม่อยากไป แต่เมื่อเห็นญาติผู้น้องอยากไปขนาดนี้ จึงทำได้เพียงตามนางไปยิ่งไปกว่านั้นก่อนตายท่านตาเป็นห่วงเรื่องความขัดแย้งกับตลาดมืดอินซานมาโดยตลอด บางทีเขาควรไปสักครั้ง ดูว่าตอนนั้นท่านตาต้องพบเจออะไรบ้างในตลาดมืดอินซานหลังจากเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว สายตาของเฉิงเซวียนก็เด็ดเดี่ยวเป็นพิเศษ“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ทักษะการต่อสู้ แต่ข้าก็รู้จักเขาอินซานดีกว่าพวกท่าน จะไม่เป็นตัวถ่วงของพวกท่านแน่”กู้หว่านเยว่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดถ้านางและสามีไปก็ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไป ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าขี่ม้าไปเมื่อไหร่จะถึง แต่พวกเขาทั้งสองได้ตัดสินใจที่จะยึดครองสาขาก่อน หมายความว่ายังพอมีเวลาก่อนจะไปที่สำนักงานใหญ่ เพียงพอสำหรับพวกเฉิงเซวียนที่จะเร่งเดินทาง“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราแยกเป็นสองทาง”กู้หว่านเยว่เสนอความคิดขึ้น“เจ้ากับชิงหลาน พวกเจ้าสองคนออกเดินทางจากเมืองอวี้ก่อน มุ่งหน้าไปยังตลาดมืดอินซาน ไปรอพวกเราอยู่ที่เมืองเกอปี้นอกเขาอินซาน”“พวก
“เจ้าค่ะ”ชิงเหลียนเผยสีหน้ายินดีปรีดา หงเจารีบถามขึ้น “แล้วบ่าวล่ะเจ้าคะ”“เจ้าอยู่เฝ้าเมืองอวี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินศักดินา ร้านค้า รวมถึงซุนมู่เจี้ยง ก็ต้องให้เจ้าจับตาดูไว้”กู้หว่านเยว่มอบหมายหน้าที่ แม้ว่าหงเจาอยากจะไปกับนางมากก็ตามแต่นางก็รู้ว่าการอยู่ที่นี่จะเป็นประโยชน์ต่อกู้หว่านเยว่มากกว่าดังนั้นจึงเชื่อฟังแต่โดยดี “ฮูหยินวางใจได้ บ่าวจะคอยดูให้ดี”“รบกวนเจ้าแล้ว”“พวกบ่าวจะไปช่วยท่านเก็บสัมภาระนะเจ้าคะ”ทั้งสองเข้าไปในห้องอย่างฉับไว จัดของใช้ประจำวันที่จำเป็นให้กู้หว่านเยว่นำไปด้วย หลังจากจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่งสิงก็จัดการทุกอย่าง แล้วกลับไปที่จวนทั้งสองไปหาจ้านจ้านก่อน จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นขี่ม้าโดยไม่รอช้า ตะบึงออกจากเมืองเมื่อมาถึงพื้นที่โล่ง กู้หว่านเยว่ก็เก็บสัมภาระที่บรรจุของใช้ประจำวันเข้าไปในมิติก่อน จากนั้นก็เรียกเฮลิคอปเตอร์ออกมา“รวมทั้งหมดมีแปดสาขา เราไปที่เปี้ยนโจวที่ไกลที่สุดก่อน”นางหยิบปากกามาร์คเกอร์ออกมา วาดวงกลมเล็ก ๆ ลงบนแผนที่“หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ กวาดต้อนไปตามเส้นทางสู่เขาอินซาน”“ตกลง”ซูจิ่งสิงนั่งที่เบาะคนขับ ทั้งสองบุกตะลุยไปยัง
เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด กู้หว่านเยว่เปิดเผยความลับด้วยเสียงแผ่วเบา พบชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังตรวจนับห้องเก็บของพร้อมกับเด็กรับใช้สองคนพอจะมองออกว่า น่าจะเป็นหนึ่งในสี่พ่อบ้านใหญ่ของตลาดมืดอินซานทั้งสองสบตากัน ซูจิ่งสิงยกมือขึ้นยิงก้อนหินออกไปสองสามก้อนทันใดนั้น พ่อบ้านและเด็กรับใช้สองคนก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกัน“ไป”ซูจิ่งสิงดึงตัวกู้หว่านเยว่กระโจนเข้าไป ทั้งสองตรวจสอบข้างกายชายวัยกลางคนผู้นั้นทันที“ผู้นี้แซ่ฉิน”กู้หว่านเยว่หยิบป้ายบนหน้าอกของเขาขึ้นมา พ่อบ้านฉินผู้นี้เป็นเพียงลูกสมุนตัวเล็กตัวน้อย นางขี้เกียจจะจัดการกับเขาพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องเก็บของรอบ ๆ ล้วนเป็นตู้ใบใหญ่สูงตระหง่าน แทบทุกตารางนิ้วมีกล่องผ้าไหมวางไว้เต็มกู้หว่านเยว่ถือโอกาสเปิดกล่องใบหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ออกดู “โสมร้อยปี!”“ปะการังหนานไห่!”ไม่ได้ล้ำค่าเท่ากับในงานประมูล แต่ก็ยังมีมูลค่าสูงมากด้วยความกระชั้นชิดของเวลา กู้หว่านเยว่จึงไม่ทันได้ตรวจสอบทีละรายการ โบกมือโดยพลัน รวบรวมสิ่งของทั้งหมดในห้องเก็บของรวมถึงตู้ต่าง ๆ เข้าไปในมิติโดยตรง“พวกเรารีบไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่เอ่ยประโยคหนึ่ง คนเหล่าน
กู้หว่านเยว่มองดูผู้ที่เข้ามาหาอย่างบอกไม่ถูก “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น”“ใครจะรู้ว่าเจ้ามีเจตนาอันใด ทหาร จับพวกเขาสองคนไว้ที!”หลงเส้าเทียนโบกมือ องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็เข้ามารายล้อมทั้งสองไว้“ดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”กู้หว่านเยว่จับมือของซูจิ่งสิงที่กำลังจะชักดาบไว้ คนผู้นี้ดูเหมือนองครักษ์คนสนิทของจวนหลงฉวน ไม่สร้างความขัดแย้งใด ๆ เป็นดีที่สุด“พวกข้าสองคน ความจริงแล้วเป็นเพื่อนของเส้าฮูหยิน”กู้หว่านเยว่เปิดฉากอธิบาย ตั้งใจจะพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยเหตุผล แต่ไม่คาดคิดว่าหลงเส้าเทียนจะกลอกตาใส่ทันที“เจ้าพูด แล้วข้าต้องเชื่องั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไร?”เขาดูไม่น่าสุงสิงด้วย “ทหาร พาตัวพวกเขาสองคนกลับไป”กู้หว่านเยว่...“ได้โปรด พวกข้ารู้จักเหยาฮุ่ยซินจริง ๆ”“พี่สาว...ชื่อของเส้าฮูหยิน เจ้าสามารถเรียกตรง ๆ ได้งั้นหรือ?”หลงเส้าเทียนถลึงตาใส่นาง สายตานั้นเหี้ยมโหด วินาทีต่อมา ข้อมือก็ถูกคนจับไว้จนแทบหัก“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บ ๆ ๆ รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”“คุณชายรอง ท่านไม่เป็นไรนะ?” องครักษ์ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างร้อนใจ คนที่อยู่ข้างหลังก็อยู่ในสถานะเฝ้าระวังกู
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้