LOGINเหอหย่งหมิงอาศัยอยู่กับมารดาอีกเมืองหนึ่ง ส่วนลุงเหอ พ่อของเขาเป็นทหารประจำกองทัพให้กับหุบเขาเชื่อมใจ
กระทั่งมารดาของเขาตาย บิดาของเขาจึงพาเข้าเมืองหลวง และเลี้ยงดูในค่ายทหาร กระทั่งบิดาของเขาตายในสนามรบเพื่อปกป้ององค์เหนือหัว คงเหลือเขาที่แสดงฝีมือแทนบิดาสืบมาจนได้เป็นแม่ทัพและได้นางเป็นรางวัลนี่ล่ะ
นางยังจำได้ว่าครั้งแรกที่นางเจอเหอหย่งหมิง ยามนั้นนางในวัยเด็กแปดหนาว เขาอายุสิบสาม
นางได้เจอเขาที่ไปร่วมงานในพระราชวังกับบิดาของเขา นางวิ่งเล่นลับตาบ่าวรับใช้จนข้อเท้าแพลงเดินไม่ได้ เขาเห็นเข้าก็เลยช่วยนางไว้
เขาให้นางขี่หลังจนกลับมาถึงตำหนักไทเฮา จากนั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่ได้เจอเขาอีก
ทว่าข่าวคราวของเขาก็มาถึงนางโดยตลอด เป็นนางที่ขอให้ท่านยายส่งคนไปสืบมา ไม่ว่าเขาจักไปประจำยังชายแดนฝั่งใดของแว่นแคว้น ล้วนไม่เกินสายลับของท่านยาย
เรียกได้ว่า นางแอบหลงรักเขาเพราะบิดาของเขานั่นล่ะ
แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ทุกข่าวของเขาและการกระทำที่กล้าหาญต่างๆ ของเขา ยิ่งทำให้นางมีรักปักใจ
นี่คือนิสัยของลี่เหยาถิง ซึ่งไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาและบิดาเลยสักนิด
นอกจากดื้อรั้นเอาแต่ใจ นางยังเป็นสตรีที่เที่ยงตรงและเด็ดเดี่ยวในเรื่องความรัก กระทั่งไทเฮายังต้องยอมนาง
ล่วงเข้าถึงเดือนที่สองแล้ว หลังจากแต่งงานกัน
ลี่เหยาถิงก็ยังได้รับเพียงข่าวคราวของเหอหย่งหมิง เหมือนที่ผ่านมา หญิงสาวถอนหายใจหนักหน่วง รู้สึกขัดเคืองขึ้นมาอีกครา
มิใช่ว่านางไม่ชินที่เรื่องราวระหว่างนางกับเขาเป็นเช่นนี้
หากแต่นางได้แต่งงานกับเขาแล้วมิใช่หรือไรกันเล่า?
สองเราควรมีความสัมพันธ์ที่ดีกว่านี้มิใช่หรือไร!
หญิงสาวเริ่มหงุดหงิด จนลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องส่วนตัวอย่างไม่สบอารมณ์ต่อสิ่งใด กระทั่งเดินออกมาชมสวนสวยกลางจวน ก็ยังไม่ดีขึ้น
ในขณะที่ลี่เหยาถิงตัดสินใจที่จะลงมือตกแต่งต้นไม้จัดสวนริมสระบัวด้วยตนเอง หมายให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวดีขึ้น บ่าวรับใช้ก็เข้ามาบอกถึงเรื่องราวบางประการ ที่เรียกได้ว่า พลิกแผ่นฟ้าของนางในชั่วพริบตา
ข่าวนั้นคือไทเฮาทรงพระประชวรอย่างหนัก ถูกนำตัวออกจากวัดฉือหนิงกลับวังหลวงกะทันหัน
หญิงสาวได้ยินก็รู้สึกวูบโหวงในโพรงอก ตกใจจนหน้ามืดฉับพลัน ดียิ่งนักที่สาวใช้รับร่างของนางเอาไว้ ก่อนที่จะล้มลงไปจนหัวกระแทกกับพื้นดิน
เมื่อตื่นขึ้นมาจากการสะเทือนใจจนเป็นลม ลี่เหยาถิงก็รีบรุดเข้าวังหลวงเพื่อไปเยี่ยมไทเฮาในทันที
เมื่อเข้ามายังพระตำหนักชั้นใน ก็ได้เห็นความวุ่นวายของเหล่านางกำนัลกระทั่งหมอหลวงวิ่งวุ่นกันไปหมด
ลี่เหยาถิงยืนนิ่งแข็งค้างมองประตูกว้างหน้าห้องบรรทมขององค์ไทเฮา ก็ได้เจอกับฮ่องเต้ ซึ่งก็คือน้าชายของนาง
พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ให้นางได้เข้าไปหาท่านยาย บ่าวรับใช้รีบเปิดทางโดยพลัน
ทันทีที่ประตูลวดลายประณีตวิจิตรถูกเปิดออก หัวใจของลี่เหยาถิงพลันดิ่งวูบลงหลุมดำไร้ก้นบึ้งในทันที
ปลายเท้าน้อยๆ ค่อยๆ ย่างเดินเข้าไปใกล้เตียงนอนหลังใหญ่ บนนั้นมีร่างวัยชราซึ่งเปรียบดั่งแผ่นฟ้าของนาง
“ท่านยาย...”
หญิงสาวพยายามทำเสียงให้กังวานสดใสเช่นวันวาน มิให้สั่นเครือแม้แต่น้อย
ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ท่านยายของนางคล้ายกับแก่ชราลงไปมากมายนัก หรือว่าก่อนหน้านี้ท่านยายปิดบังอาการเจ็บป่วยเอาไว้มิให้นางได้รับรู้
‘หลานมีสิ่งใดประสงค์จะขอยายหรือไม่ ยายให้ขอได้หนึ่งอย่าง มีข้อแม้ว่าต้องสำคัญต่อหลานเป็นอย่างมาก คิดให้ดีแล้วมาบอกยาย’
ประโยคนั้นของไทเฮาเคยเอ่ยกับลี่เหยาถิงเมื่อสองเดือนก่อน และนางก็ขอสมรสพระราชทานกับเหอหย่งหมิง
เป็นความจริงที่ว่า เรื่องนี้สำคัญต่อนางจริงๆ
ร่างระหงค่อยๆ นั่งลงที่ข้างเตียงนอนอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงจะเป็นการกระทบกระเทือนร่างอ่อนแรงที่กำลังพยายามปรือตามองนาง
“มาแล้วหรือถิงเอ๋อร์ของยาย” เสียงแหบแห้งของไทเฮาตรัสขึ้นกับหลานรักหนึ่งเดียว ที่มีสิทธิ์เรียกพระนางว่าท่านยาย
“ถิงเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ ท่านยาย” หญิงสาวเอื้อมมือของตนจับกุมมือเหี่ยวย่นของผู้เป็นยายเอาไว้อย่างทะนุถนอม ประคองเอาไว้จนแนบแก้มนางอย่างรักใคร่
“หลานรักของยายได้แต่งงานกับชายในดวงใจแล้ว” หญิงชราบนเตียงนุ่มเอ่ยเย้าเหมือนที่เคยกระทำ
“ท่านยาย” ลี่เหยาถิงรู้สึกจุดอยู่กลางอก ถ้อยวาจานับหมื่นพันมิอาจเอื้อนเอ่ย “ท่านยาย...”
ไทเฮาทรงยิ้มบาง “หลานยายคงมีความสุขแล้ว...”
หญิงสาวรีบพยักหน้ายอมรับ “แน่นอน หลานมีความสุข”
“เห็นหลานมีความสุข ยายก็ได้หมดห่วงเสียที มิต้องทนทรมานกับอาการป่วยมานานปีเช่นนี้อีกต่อไป อวยพรให้ยายได้เดินทางไกลด้วยนะหลานรัก”
สิ้นเสียงแหบแห้ง นัยน์ตาที่หรี่ปรือเหลือเกินก็ค่อยๆ หลับลงอย่างสงบ โดยที่บนใบหน้ายังเจือไปด้วยรอยยิ้มละมุน
เห็นได้ชัดว่า ท่านยายกำลังรอนางอยู่จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
“ไม่! ท่านยาย...”
นัยน์ตาของลี่เหยาถิงถึงกับร้อนผ่าว น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอีกต่อไป
ฮ่องเต้ทรงเยื้องพระบาทเข้ามาใกล้ กลิ่นอายทรงอำนาจแผ่ปกคลุมไปทั่ว ทว่านางกลับสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดจนสุดที่จะพรรณนา
การสูญเสียญาติผู้ใหญ่ที่รักยิ่ง...ไม่ดีเลยจริงๆ
หลังจากผ่านค่ำคืนร่ำลาด้วยสุราหลายไหยามเช้าย่ำรุ่งผ่านเข้ามาจึงถึงเวลาเอ่ยคำลาที่แท้จริงท่านหมอซุนยังคงเอ่ยสำทับอีก หากว่ามาเยี่ยมเยือนกันคราวหน้า ให้มีลูกเล็กมาด้วยจึงจะดีลี่เหยาถิงได้ฟังก็หน้าแดงหูแดงก้มหน้ารับคำพึมพำ ในขณะที่เหอหย่งหมิงสบประสานสายตากับท่านหมอแน่วนิ่งด้วยความหมายที่รู้กันเฉพาะพวกเขาว่าท่านหมอบำรุงนางอยู่สองปีเพื่อการนี้…เนื่องจากลี่เหยาถิงเคยตกเลือดจนอวัยวะภายในช้ำหนัก การมีลูกอีกคราเกรงว่าจะยากนัก ท่านหมอจึงปรุงยาบำรุงให้นางมาโดยตลอด และยังมอบให้เหอหย่งหมิงทั้งหมด จากนี้ความสามารถเรื่องทายาทก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นสามีแล้วเหอหย่งหมิงพาลี่เหยาถิงเดินทางออกมาจากหมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวงมาถึงเมืองหลวงในหลายวันถัดมาชายหนุ่มตัดสินใจพาหญิงสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซึ่งนับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงแปลกพระทัยเป็นอย่างมาก ที่เหอหย่งหมิงยังไม่ตายยิ่งกว่านั้น หลานสาวของพระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่สวรรค์!แล้วศพเหล่านั้นคืออันใด?ดวงพระเนตรหรี่มองตลอดเวลาอย่างไม่อยากเชื่อถือว่าจะเป็นไปได้ “โชคดีเหลือเกินที่เรายังมิได้เรียกคืนจวนแม่ทัพแล้วส่งต่อ
ผ่านไปอีกสองวันสองคืน ในที่สุดการแข่งขันก็รู้ผลผู้ชนะสูงสุดของการประลองคือเหอหย่งหมิงที่สามารถกำชัยคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักเหอเสียงคนใหม่เอาไว้ได้ตามประสงค์หลังงานเลี้ยงแต่งตั้งเจ้าสำนักจบลง เหอหย่งหมิงที่ใช้นามว่าฉางยวนก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในการจัดการสำนักให้อยู่ในที่ในทางเหอหย่งหมิงที่เป็นถึงแม่ทัพดูแลทหารในอาณัติแห่งราชสำนักนับสิบหมื่น จึงมิใช่เรื่องยากหากฉางยวนจะดูแลสมุนในอาณัติของเหอเสียง เปลี่ยนรูปแบบของเหอเสียงแห่งโจรป่าเป็นสำนักคุ้มภัยในใต้หล้าเรื่องนี้ชายหนุ่มได้รับวาจาเห็นชอบจากเจ้าแห่งยุทธภพที่ควบคุมเหนือพิภพด้วยตนเอง จึงง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือยามบ่ายฟ้าใสไร้เมฆบดบังแสงตะวันพาให้สายลมอุ่นร้อนโชยผ่านผืนป่าเขียวขจีระลอกแล้วระลอกเล่าจากเดือนหนึ่งล่วงเลยไปอีกเดือนหนึ่งเดือนแล้วเดือนเล่า ในที่สุดท่านหมอเทวดาก็เดินทางกลับมาจากหาสมุนไพรในป่าใหญ่เหนือหุบเขายอดเมฆาท่านหมอผู้นี้มีนามว่า ซุนผินเขาเป็นชายวัยกลางคน รักสันโดษแต่ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยวิชาแพทย์ที่มีเหนือสามัญหากเปรียบเป็นนักพรต เขาย่อมเป็นนักพรตที่ตบะสูง หากเปรียบเป็นชาวยุทธ์ คงไม่แคล้วเป็นรองเพียงเจ้ายุทธภพ
ท้องฟ้าแจ่มใสหมู่เมฆเคลื่อนหายเหล่านกกาบินขับขาน ยามใดที่มีเทศกาลในหมู่บ้าน ทั้งสี่คนก็มักจะจับจูงมือกันเป็นคู่ๆ ไปเที่ยวชมงานวันนี้ก็เช่นกัน หมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวง กำลังมีงานครื้นเครงเป็นอย่างมาก เนื่องจากสำนักเหอเสียงแห่งยุทธภพกำลังขาดผู้นำสูงสุด เพราะเจ้าสำนักคนเก่าหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าสำนักคนใหม่นามว่าเฉิงอู่ก็ครองตำแหน่งได้เพียงสามวันพลันจบชีวิตลงอย่างปริศนา อีกทั้งสำนักเหอเสียงแห่งเดิมก็โดนถล่มจนพินาศย่อยยับไม่เหลือซาก ต่อมาเจ้ายุทธภพที่ควบคุมทุกสำนักในใต้หล้าจึงได้ก่อตั้งสำนักเหอเสียงขึ้นมาใหม่ให้อยู่ในอาณาเขตหมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อเป็นเกียรติอดีตจอมกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นและจัดงานประชันผู้กล้าขึ้นมา เพื่อคัดเลือกนายเหนือหัวแห่งเหอเสียงคนใหม่ เพื่อเป็นหลักให้ลูกสมุนที่ไร้หัวเหลือแต่หางงานนี้เซียนเซียนจึงส่งเหวินเต๋อร์เข้าประลอง เผื่อว่าจะได้นั่งในตำแหน่งนายหญิงของเจ้าสำนักเหอเสียงแต่ทว่า...หญิงสาวได้หลงลืมไป ว่าสามีตนมิใช่ยอดฝีมือ งานนี้จึงได้เห็นสามีพ่ายแพ้ยับเยิน เซียนเซียนจึงได้แต่ปลอบใจ ว่าไม่เป็นไร ที่บ้านใกล้หมอและมียา หากเหวินเต๋อร์ตายไปก็จะหาสามีใหม่เ
นางกล่าวเสียงเข้มแม้พวงแก้มจะแดงก่ำไปทั่วถึงลำคอเหอหย่งหมิงได้แต่เหม่อมองริมฝีปากนาง ด้วยดวงตาทอประกายร้อนแรงแห่งเพลิงปรารถนากระทั่งถูกฝ่ามือเล็กเอื้อมมาปิดตานั่นล่ะ เขาถึงได้สติกลับมาจากการถูกปีศาจราคะครอบงำ เห็นคนงามส่งค้อนวงใหญ่ใบหน้างอง้ำ จึงตีท่าทางเคร่งขรึมนั่งนิ่งให้นางทายากว่าจะได้กินข้าว ก็หยอกเย้ากันในห้องครัวจนไฟแทบลุกเผาไหม้เครื่องเรือนอยู่เป็นนานหลังมื้ออาหารตามด้วยดื่มยาจนหมดเทียบตามคำสั่งเฉียบขาดของภรรยา เหอหย่งหมิงจึงได้เอ่ยคำอีกครั้ง“เราควรกลับบ้านกันได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ลี่เหยาถิงพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะกลับไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางมีสามีพากลับบ้าน ย่อมแตกต่างจากการที่นางรอนแรมกลับไปเพียงลำพัง“รอท่านหมอกลับมาจากหาสมุนไพรก่อนเถิด แล้วเราค่อยลาท่านจากไปพร้อมกัน”หญิงสาวกล่าวเสียงนุ่ม ชายหนุ่มยกยิ้มตอบรับ“ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านหมอเป็นผู้มีพระคุณต่อเราสอง ท่านช่วยชีวิตเจ้าและข้าเอาไว้”เหอหย่งหมิงพอจะจำได้เลือนราง ว่ายามที่เขาตกหน้าผาลงมา มีท่านหมอวัยกลางคนผู้หนึ่งช่วยต่อลมหายใจให้เขาย่างเข้าเดือนสี่ อากาศร้อนกำลังดีเซียนเ
เสียงหายใจหอบกระชั้นสั่นระรัวดังผสานกรุ่นกลิ่นอายวสันต์ เร่าร้อนตลบอบอวลกายแนบกาย ใจชิดใกล้ไม่คิดห่างหายแม้เสี้ยวเวลาเดียว…ถึงแม้เหอหย่งหมิงยังคงนึกหวาดหวั่นว่านางจะจำได้ขึ้นมา ว่าเขาได้ทำพลาดมากมายปานใดแต่ทว่า...ขอเพียงแค่ได้นางคืนมา ได้ยื้อเวลาเพื่อให้นางไม่จากไปไหน จะให้เขาทำอะไร เขายอมทั้งนั้นหวังเพียงอยากเป็นอยู่อย่างนี้ ที่มีนางให้รักต่อไป ยืดเวลาให้เขาได้พิสูจน์หัวใจต่อนางได้อีกครา ก่อนที่วันหนึ่งความทรงจำนางจักกลับมา แล้วเกลียดเขาวันนั้นอาจจะเป็นวันที่สองเราเชื่อมกายใจผูกพันลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ยากถอนคืนเขาหวังแค่เท่านั้น มีนางเป็นดวงใจตลอดกาล...ยามรุ่งเช้าเข้าวันใหม่ แสงแดดสาดส่องทอประกายไปทั่วใต้นภาในครัวหลังน้อยมีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยวนไปทั่วในอากาศผสมผสานกลิ่นยาขมฝาดแสบจมูก ที่ตั่งตรงโต๊ะในครัวมีสามีภรรยาดูแลเอาใจใส่กันและกันไม่ห่าง“สามีข้า นอกจากงามสง่า ยังกร้าวแกร่งยิ่งนัก”เสียงกังวานของลี่เหยาถิงที่ดังออกมาแฝงไปด้วยแววหยอกเย้าและติติงประชดประชัน ยามนั่งดูบาดแผลให้ชายผู้เป็นสามีที่บัดนี้ปริแตกไปทั่วเนื้อตัว จนนางต้องจัดยาสมุนไพรห้ามเลือดและสมานแผลมาพันให้“เป็
ย่ำรุ่งที่เท่าไหร่มิอาจนับยามต้องนั่งเหม่อมองอย่างไร้ตัวตน ย่ำพลบค่ำที่เท่าไหร่แล้วที่เดียวดายหลั่งน้ำตาถามตนเองซ้ำๆ ว่านางเป็นใครในห้องหับอันโดดเดี่ยวอ้างว้าง นางเฝ้าครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อย เฝ้ารอคอยใครบางคนด้วยความทุกข์ระทมไร้ขอบเขตไร้เหตุผลนานเท่าไหร่แล้วที่คาดหวังว่าใครบางคนจักมองมากี่คราแล้วที่หัวใจดวงนี้เพรียกหาเพียงเขาให้เห็นนางด้วยหัวใจอย่างแท้จริงเหอหย่งหมิง...นั่นคือถ้อยประโยควาจาที่ดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในห้วงนิทราลี่เหยาถิงสะดุ้งตื่นอย่างตกใจจนร่างอรชรสั่นเทามิอาจควบคุม“เป็นอะไร?”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามทันใดเมื่อสัมผัสได้ถึงร่างระหงในอ้อมกอดที่สั่นไหว นางคล้ายกับตกใจในบางสิ่งหญิงสาวกะพริบตาปริบๆ จ้องมองฝ่าความมืดสลัวในห้องนอน ที่ยามนี้เปลี่ยนจากทิวาเป็นราตรีมานานแล้ว“หย่งหมิง” ลี่เหยาถิงตะเบ็งเรียกนามเจ้าของอ้อมแขน พร้อมผงกศีรษะขึ้นมาแล้วเอื้อมมือกุมสันกรามเขา“อันใด?” ชายหนุ่มนึกฉงนระคนหวาดหวั่นพลันระแวง“เป็นท่าน” หญิงสาวกล่าวเสียงดังเหอหย่งหมิงตั้งใจฟังด้วยอาการตัวเกร็ง“อะไร? จำอะไรได้หรือไร?” เกรงกลัวเหลือเกินว่านางจะจำเรื่องราวเลวร้ายได้ แล้วเกลียดเขาเสียงแหล







