พระราชพิธีพระศพของไทเฮาผ่านพ้นไปแล้วจนสิ้น
หากแต่ลี่เหยาถิงยังคงเศร้าสลดไม่เจือจาง นางยังคงโหยหาท่านยายทุกวัน ครั้นนึกขึ้นได้ว่าชีวิตมิได้มีเพียงเท่านี้ นางจึงพาร่างของตนเองมายืนทอดอารมณ์คิดคำนึงถึงบุคคลสำคัญในชีวิตยังเชิงเขาชายป่านอกเมือง ที่ซึ่งนางมักจะแอบหนีมาเล่นซน จนท่านยายทนไม่ไหวต้องลอบเสด็จตามมาเที่ยวด้วยกัน
หลายปีมาแล้วที่เชิงเขาแห่งนี้ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือตัวบุคคลที่โรยราตามวัย
ส่วนตัวนางที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อย ก็เติบใหญ่เป็นสาวงามสะพรั่ง
ประโยคนี้ล้วนเป็นท่านยายที่พูดให้นางฟัง
ท่านยายบอกว่า ยามที่นางยังเป็นเด็ก นางมีส่วนคล้ายท่านพ่อ แต่เมื่อโตขึ้นจนอายุสิบห้านางกลับเหมือนท่านแม่
ความงดงามที่ล้ำเลิศนี้ ทำบุรุษมากหน้าต่างหมายปอง แต่ทว่าด้วยใจที่ยึดติดไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด จึงทำให้นางเฝ้ารอเหอหย่งหมิงมาโดยตลอด
ลี่เหยาถิงไม่เคยคิดว่าตนเองทำผิด ที่นางปักใจรักใคร่ชายผู้นี้
ตั้งแต่นางจำความได้และรับรู้เรื่องราวของลุงเหอผ่านท่านยายที่เล่าให้ฟัง นางก็ฝังใจมาโดยตลอดว่าเหอหย่งหมิงย่อมเหมือนกับลุงเหอผู้เป็นบิดาของเขา
แม้จะยังไม่เคยพบหน้าแต่ทว่านางก็ยังรอคอยที่จะได้มีโอกาสพบเจอเขาอย่างมีความหวัง
และยิ่งได้พบหน้ากันครานั้น นางก็มั่นใจแล้วหลายส่วนว่าต้องเป็นเขา
ทว่าหลายปีผันผ่าน เขาเติบใหญ่เป็นชายกล้ากลางสนามรบ นางเติบโตเป็นหญิงงามในห้องหอ
มีเพียงนางที่จำเขาได้ฝ่ายเดียว ในขณะที่เขาไม่เคยเหลียวหลังมามองนางเลยสักครา
กระทั่งเวลานี้ ที่เราสองได้แต่งงานกันแล้ว
ย้อนคิดกลับไปเมื่อยามที่พระราชพิธีเคลื่อนขบวนพระศพของไทเฮาจากวังหลวงไปยังสุสานหลวง เหอหย่งหมิงได้กลับมาจากค่ายทหารเพื่อยืนเคียงข้างนางในตำแหน่งสามี
แต่ทว่าความเฉยชาบนใบหน้าหล่อเหลาที่นางได้เห็น ช่างตอกย้ำชัดเจนเหลือเกินถึงความห่างเหินที่มีให้กัน
ทั้งๆ ที่นางชอบเขาถึงเพียงนี้
ชอบมานานปีตั้งแต่จำความได้
ลี่เหยาถิงยังคงยืนเดียวดายเงียบงันที่เชิงเขาแห่งนี้เนิ่นนาน สองสายตาเรียวสวยดั่งหงส์ ทอดมองไปยังทิวทัศน์งดงามสุดลูกหูลูกตา ทว่ากลับตกอยู่ในภวังค์มืดมน
ชั่วจังหวะที่ลี่เหยาถิงกำลังจมดิ่งในห้วงคำนึงแห่งตน จู่ๆ นางก็รู้สึกเสียดหน้าท้องขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
หลายวันมาแล้วที่นางรู้สึกเจ็บท้องเช่นนี้ แต่ทว่าด้วยจิตใจที่ยังหมกมุ่นเกี่ยวกับท่านยาย นางจึงลืมว่าตนเองไม่สบาย
เรียวคิ้วโก่งดั่งใบหลิวพลันขมวดกันแน่นอีกครา เมื่อรู้สึกได้ว่าท้องน้อยของตนกำลังเจ็บยิ่งกว่าเดิม
ลี่เหยาถิงเพียงหลับตา รอเวลาที่จะรับรู้ได้ว่าความเจ็บนี้ค่อยๆ เจือจางไป
เป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะความเครียดสะสมที่มีมาอย่างต่อเนื่องช่วงหลายวันมานี้ นางกินอะไรก็ไม่รู้รสด้วยซ้ำจึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะเจ็บท้อง
ชั่วจังหวะที่หญิงสาวกำลังจัดการกับความรู้สึกของตนเอง เสียงอ่อนหวานคุ้นหูพลันดังขึ้นทางด้านหลัง
“คิดเอาไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องมาที่นี่”
สิ้นเสียงนั้น ลี่เหยาถิงก็หาได้นำพาอันใด ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองผู้พูดเสียด้วยซ้ำ ทว่าผู้มาเยือนก็ยังคงพร่ำไม่หยุด
“มีความสุขหรือไม่? ที่ได้แต่งงานกับชายที่รัก แล้วมีความสุขหรือไม่ ที่มายืนอยู่ตรงนี้อย่างเดียวดาย”
ดวงเนตรงามล้ำพลันหรี่เล็กลง ความเศร้าซึมและความเจ็บปวดบนหน้ามลายหายไปจนสิ้น คงเหลือเพียงความเกลียดชังที่เข้ามาแทนที่ ไม่บอกก็รู้ว่า บุคคลที่เดินเข้ามาพร้อมประโยคเช่นนี้เป็นใคร
ลี่เหยาถิงหันหน้าไปแล้วยกมือสะบัดขึ้นตบหน้าผู้พูดพร่ำฉาดใหญ่
เพี๊ยะ
เสียงฝ่ามือกระทบผิวแก้มดังเสียจนสาวใช้ของลี่เหยาถิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลจำต้องถอยล่นไปอีกหลายก้าว
ผู้ถูกตบถึงกับถลึงตาจ้องมองอย่างเดือดดาล ยกฝ่ามือขึ้นกุมแก้มนวลที่แดงก่ำเป็นรูปฝ่ามืออย่างแค้นเคือง
ทั้งสองยืนนิ่งจ้องหน้ากันเนิ่นนาน
ชั่วครู่ต่อมา ผู้ถูกตบเพียงลูบแก้มตนเบาๆ ก่อนจะแสยะยิ้มตรงมุมปาก แล้วเอ่ยเสียงหวานอีกครา
“หย่งหมิงไม่กลับไปหาที่จวนก็เลยมาพาลเอากับคนรักของเขาหรือไร?”
ลี่เหยาถิงแค่นเสียงเย็นชาต่อปากว่า “คนรักจอมปลอมเช่นเจ้า เขาก็มิได้ติดต่อเจ้ามิใช่หรือไร?”
ประโยคนั้นทำดวงตากลมใสของเพ่ยจีพลันไหวระริกราวกับมีเพลิงโหมรุนแรงขึ้นมาวูบหนึ่ง
ทว่าเพียงพริบตาก็กลับมาเป็นปกติ นางสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดียิ่งกว่ามากนัก
เพราะนางรู้ดีถึงนิสัยใจร้อนของอีกฝ่าย นอกจากจะดื้อรั้นเอาแต่ใจแล้วยังอารมณ์ร้อนคิดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร
อย่างนี้ล่ะ! สนุกยิ่ง!
เพ่ยจีปรับสีหน้าให้อ่อนหวานเช่นเดิม กิริยาอ่อนโยนเช่นเดิม แล้วโปรยยิ้มงดงามส่งให้ลี่เหยาถิง ก่อนเอ่ยอีกครั้งอย่างตั้งใจยั่วโทสะ
“ในเมื่อเจ้ารักหย่งหมิงถึงเพียงนี้ ลงทุนใช้ตัวเองปกป้องเขาถึงเพียงนี้...คนยึดติดในรักเช่นเจ้า ข้าจะแกล้งอันใดให้สาสมกับความโง่งมดี อืม...” หญิงสาวทำท่าคิดหนักยามเอ่ยด้วยถ้อยวาจานุ่มละมุนน่าฟัง
ลี่เหยาถิงพลันหรี่ตา นางรู้ดีถึงบุคลิกน่ารักน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ซึ่งสวนทางกับประโยคที่เอื้อนเอ่ยโดยสิ้นเชิง หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ดวงตาลุกโชนด้วยไฟแห่งโทสะ
“ใช่! ข้ารักเขา และข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าใช้เขาเป็นสะพานในการแก้แค้น เพื่อสนองต่อความพ่ายแพ้ของตัวเจ้าเอง”
เพ่ยจีได้ฟังก็แค่นยิ้มเย้ยหยันใส่หน้าลี่เหยาถิง
“อ้อ...เช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดเขาถึงไม่เชื่อเจ้าเล่า!”
คำพูดนี้ทำลี่เหยาถิงพลันชะงักนิ่งไป
เป็นความจริงที่ว่า นางเคยบอกกล่าวแก่เหอหย่งหมิงแล้ว ว่าเพ่ยจีร้ายกาจปานใด เป็นนางปีศาจที่ชั่วช้าแค่ไหน
แต่ทว่า นอกจากเหอหย่งหมิงไม่เชื่อนางแล้ว ยังคิดว่านางทำไปด้วยหลงใหลในตัวเขาจนเห็นผิดเป็นชอบจึงทำทุกทางอย่างเอาแต่ใจเหมือนคุณหนูคนอื่นๆ ที่พยายามเข้าหาเขา
ให้ตายเถิด! เป็นชายแกร่งรูปงามแล้วอย่างไร ไยไม่ฟังคนงามเช่นนางบ้างเลย…
สตรีทั้งสองจึงยืนจ้องหน้ากันอีกครา
เนิ่นนานยิ่งกว่าเดิม…
เพ่ยจีสร้างสถานการณ์ทำทีบังเอิญเจอกับเหอหย่งหมิงบ่อยๆ ใช้ความอ่อนโยนอ่อนหวานกิริยางดงามเข้ามัดใจ แม้แต่ความอ่อนแอเพื่อให้บุรุษปกป้อง นางก็นำมาใช้ชายชาตินักรบที่มีนิสัยหยาบกระด้างเติบโตมากับค่ายทหารจนอายุยี่สิบปี ไม่เคยได้สัมผัสมารยาแห่งสตรีวังหลังอย่างเหอหย่งหมิงจึงหลงกลโดยง่ายกระทั่งไม้ตายที่จักทำให้เขากลายเป็นคนรักนางก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นเพ่ยจีทำตัวเองให้บาดเจ็บและอยู่ในภาวะอ่อนแอเพื่อให้เหอหย่งหมิงเข้าช่วยเหลือโดยบังเอิญ ก่อเกิดสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าคนคุ้นเคยกัน เนื่องจากบังเอิญเจอกันบ่อยเหลือเกินต่อมาหญิงสาวยังว่าจ้างอันธพาลที่เห็นแก่เงินให้ติดต่อกับโจรป่าเข้ามาทำร้ายเหอหย่งหมิง ยามที่นางกับเขาได้เจอกันตรงเชิงเขาอันมีทิวทัศน์งดงามในแผนนั้นนางแสร้งทำเป็นตัวถ่วงให้เขา ด้วยการกระโดดกอดขาเขา กอดแขนเขา ยามที่เขากำลังต่อสู้จนกระทั่งเขาพลาดท่าแล้วบาดเจ็บ นางก็ดูแลเขาอย่างดี ไม่ทิ้งกันไปที่ใดจนเขาซาบซึ้งใจ นางจึงบอกรักเขาและขอคบหาเพื่อดูใจอย่างเปิดเผยเรื่องนี้หากไม่บอกต่อก็ไม่สนุก!เพ่ยจีจึงได้บอกกล่าวกับลี่เหยาถิงทุกเรื่องราวหลังจากที่ได้คบหากับเหอหย่งหมิงแล้วเป็นที่เรียบร้อยเป
บนเชิงเขาที่กำลังมีหญิงสาวสองคนยืนจ้องหน้ากันด้วยสายตาดุเดือดปะทะกันกลางอากาศหนึ่งคือสตรีรูปโฉมงดงามมั่นใจในตนเอง ท่าทางสูงส่งไม่เคยลงให้ใคร กับอีกหนึ่งเป็นเพียงสตรีรูปร่างธรรมดาแต่ท่าทางอ่อนหวานแลดูอ่อนโยนจริงใจทั้งสองยืนมองกันด้วยประกายตาคล้ายมีขุมพายุโหมกระหน่ำที่บ่งบอกได้ว่าเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนานเหตุที่เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากทั้งสองเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กในพระตำหนักของไทเฮา และยิ่งสนิทสนมเมื่ออยู่นอกเขตพระราชฐาน ยามดำเนินมายังวังข้างนอกเพื่อไหว้พระและเชิงเขาแห่งนี้ พวกนางก็เคยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเพ่ยจีเป็นบุตรสาวของนางกำนัลคนสนิทของไทเฮาที่พระนางทรงรักดั่งน้องสาว พระนางจึงมอบพระเมตตาให้มารดาของเพ่ยจีแต่งงานกับชายคนรักได้อย่างใจกว้างเมื่อถึงวัยเพียงยี่สิบปีซึ่งเดิมทีตามกฎแล้วนางกำนัลจักได้ออกไปแต่งงานได้นั้น ต้องอายุยี่สิบห้าปีแต่กระนั้นชีวิตคู่กลับไม่ราบรื่น มารดาของเพ่ยจีถูกชายคนรักนอกใจทิ้งกันไปหลงใหลเพียงภรรยาใหม่ หลายวันที่หายหน้าเขากลับมาพร้อมหญิงแพศยา ทั้งๆ ที่สามารถรับเป็นอนุหรือภรรยารอง หากแต่นังนั่นกลับไม่พอใจ ต่อมาสามียังรวมหัวกับภรรยาใหม่คิดไม่ซื่อต
พระราชพิธีพระศพของไทเฮาผ่านพ้นไปแล้วจนสิ้นหากแต่ลี่เหยาถิงยังคงเศร้าสลดไม่เจือจาง นางยังคงโหยหาท่านยายทุกวัน ครั้นนึกขึ้นได้ว่าชีวิตมิได้มีเพียงเท่านี้ นางจึงพาร่างของตนเองมายืนทอดอารมณ์คิดคำนึงถึงบุคคลสำคัญในชีวิตยังเชิงเขาชายป่านอกเมือง ที่ซึ่งนางมักจะแอบหนีมาเล่นซน จนท่านยายทนไม่ไหวต้องลอบเสด็จตามมาเที่ยวด้วยกันหลายปีมาแล้วที่เชิงเขาแห่งนี้ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือตัวบุคคลที่โรยราตามวัยส่วนตัวนางที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อย ก็เติบใหญ่เป็นสาวงามสะพรั่งประโยคนี้ล้วนเป็นท่านยายที่พูดให้นางฟังท่านยายบอกว่า ยามที่นางยังเป็นเด็ก นางมีส่วนคล้ายท่านพ่อ แต่เมื่อโตขึ้นจนอายุสิบห้านางกลับเหมือนท่านแม่ความงดงามที่ล้ำเลิศนี้ ทำบุรุษมากหน้าต่างหมายปอง แต่ทว่าด้วยใจที่ยึดติดไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด จึงทำให้นางเฝ้ารอเหอหย่งหมิงมาโดยตลอดลี่เหยาถิงไม่เคยคิดว่าตนเองทำผิด ที่นางปักใจรักใคร่ชายผู้นี้ตั้งแต่นางจำความได้และรับรู้เรื่องราวของลุงเหอผ่านท่านยายที่เล่าให้ฟัง นางก็ฝังใจมาโดยตลอดว่าเหอหย่งหมิงย่อมเหมือนกับลุงเหอผู้เป็นบิดาของเขาแม้จะยังไม่เคยพบหน้าแต่ทว่านางก็ยังรอคอยที่จะไ
เหอหย่งหมิงอาศัยอยู่กับมารดาอีกเมืองหนึ่ง ส่วนลุงเหอ พ่อของเขาเป็นทหารประจำกองทัพให้กับหุบเขาเชื่อมใจกระทั่งมารดาของเขาตาย บิดาของเขาจึงพาเข้าเมืองหลวง และเลี้ยงดูในค่ายทหาร กระทั่งบิดาของเขาตายในสนามรบเพื่อปกป้ององค์เหนือหัว คงเหลือเขาที่แสดงฝีมือแทนบิดาสืบมาจนได้เป็นแม่ทัพและได้นางเป็นรางวัลนี่ล่ะนางยังจำได้ว่าครั้งแรกที่นางเจอเหอหย่งหมิง ยามนั้นนางในวัยเด็กแปดหนาว เขาอายุสิบสามนางได้เจอเขาที่ไปร่วมงานในพระราชวังกับบิดาของเขา นางวิ่งเล่นลับตาบ่าวรับใช้จนข้อเท้าแพลงเดินไม่ได้ เขาเห็นเข้าก็เลยช่วยนางไว้เขาให้นางขี่หลังจนกลับมาถึงตำหนักไทเฮา จากนั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่ได้เจอเขาอีกทว่าข่าวคราวของเขาก็มาถึงนางโดยตลอด เป็นนางที่ขอให้ท่านยายส่งคนไปสืบมา ไม่ว่าเขาจักไปประจำยังชายแดนฝั่งใดของแว่นแคว้น ล้วนไม่เกินสายลับของท่านยายเรียกได้ว่า นางแอบหลงรักเขาเพราะบิดาของเขานั่นล่ะแต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ทุกข่าวของเขาและการกระทำที่กล้าหาญต่างๆ ของเขา ยิ่งทำให้นางมีรักปักใจนี่คือนิสัยของลี่เหยาถิง ซึ่งไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาและบิดาเลยสักนิดนอกจากดื้อรั้นเอาแต่ใจ นางยังเป็นสตรีที่เที่ยงตรงและเ
หนึ่งเดือนต่อมา...สตรีร่างระหงของสาวสะพรั่งวัยสิบหกหนาวในอาภรณ์หรูหราสมฐานะฮูหยินหนึ่งเดียวแห่งจวนแม่ทัพเหอ นางยังคงนั่งจิบชาอยู่ริมหน้าต่างในห้องส่วนตัวด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่สร่างซา ใบหน้างดงามราวเทพธิดาบึ้งตึงตลอดเวลา ประกายในดวงตาราวดวงดาราบนฟากฟ้าก็เผยเพียงความแค้นเคืองไร้ที่สิ้นสุดฝ่ามือเรียวเล็กปัดกาน้ำชาบนโต๊ะทิ้งอย่างแรง ยังผลน้ำชาอุ่นหกกระเซ็นไปทั่วบ่าวไพร่ที่ยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้องได้ยินเสียงแตกของกระเบื้องเคลือบดังลั่นเช่นนั้น ก็ได้แต่ยืนตัวสั่น ไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งเรียกหา พวกนางย่อมไม่กล้าเปิดประตูเสนอหน้าทั้งนั้นลี่เหยาถิงกำมือแน่นทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรงหมายระบายโทสะที่มันแน่นจนคับอกนางโกรธเหอหย่งหมิงจนพูดไม่ออก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรนางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงชอบแต่เพ่ยจี สตรีนางนั้นมีดีที่ใด และยิ่งไม่เข้าใจยิ่งกว่า ก็คือเขาทิ้งนางไปหลังจากแต่งงานกันนับตั้งแต่คืนเข้าหอจนกระทั่งถึงวันนี้ เขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในค่ายทหารถึงแม้ไม่กี่วันหลังจากแต่งงาน เขาจะกลับมารับตัวนางไปยกน้ำชาตามประเพณี ทว่านางกลับมองไม่เห็นอะไรเลยในสายตาคมดำของเขานอกจาก
แสงตะวันเบิกฟ้าเสียดแทงหมู่เมฆาลงมาจนเบื้องล่างนภาสว่างจ้าไปทั่ว เหล่าสกุณาขับขานร้องรับกันดังไกลเป็นทอดๆบนเตียงนอนกว้างใหญ่ภายในห้องหอที่เกิดเหตุการณ์ร้อนแรงเมื่อยามค่ำคืน บัดนี้คงเหลือเพียงความยับเยินให้ได้เห็นเหอหย่งหมิงลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายที่ยังคงนอนหลับใหลในสภาพเปลือยเปล่าร่างสง่าที่ไร้อาภรณ์เช่นกันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเพื่อดึงสติของตนเองให้กลับมาสายตาคมปลาบเหลือบไปมองคนข้างกายกัน เห็นนางยังคงหลับตาพริ้มไร้วี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเนื้อตัวขาวผ่องนวลเนียนของนางบัดนี้มีแต่ริ้วรอยเป็นจ้ำเต็มไปหมด เนื้อนุ่มอิ่มน้ำหลายจุดมีรอยฟันขบกัดไม่ไกลกันมีร่องรอยของผ้าปูเตียงที่ยับย่น อันเกิดจากการพัวพันระหว่างเขากับนาง ทั้งยังมีคราบเลือดสีแดงฉานเป็นด่างเป็นดวงปะปนกับคราบน้ำขาวขุ่นไปทั่ว กลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั้งห้องชายหนุ่มจำได้ดี ว่าเขาเข้าหอกับนางได้ร้อนเร่าปานใด และร้อนแรงแค่ไหนเดิมทีเขามิใช่บุรุษหยาบช้าหรือเป็นชายกักขฬะ ที่ทำการร่วมรักกับสตรีรุนแรงเช่นนี้และยิ่งไม่เคยเสียการควบคุมตัวตนเลยสักคราแต่ทว่าเมื่อคืน เขากลับเกิดอาการกระสันจนเกินยับยั้ง ทั้งยังหลุดการควบคุมอารมณ์กำหนัดข