“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่
“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ
“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม
“จริงๆ แล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหละที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า
“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขออภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก
“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันหนึ่งข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ และรวมถึงสิ่งพวกนี้ภายในห้องที่พวกท่านเห็น ก็คือสิ่งที่เหล่าอาจารย์มอบให้ข้าและสอนข้ามาตลอด ข้าเหมือนอยู่ในภพฝันแห่งความเงียบงันอย่างแท้จริงอย่างแท้จริง ข้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นเพียงมุนษย์ที่ไม่มีพลังจักรา แต่ข้าช่างโชคดีสามารถฝึกฝนจนใช้พลังได้ไม่ต่างจากเทพจากภพสวรรค์ และ พลังจักรามากมายจากภพฝัน และที่สำคัญอีกอย่างในฐานะปปรมาจารย์ที่จะมาสอนศิษย์ทุกคน ข้าเข้าใจหลัก และ ธรรมชาติของภพฝันแห่งความเงียบงันได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่น” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่าแบบภูมิใจในความสามารถของตนและนับถือผู้เป็นจารย์
“ที่ท่านมีพลังจักราก็เพราะภพต้นกำเนิดท่านคือภพสววรค์และภพฝันแห่งความเงียบงัน ไม่ใช่ภพมนุษย์ และ อาจารย์ของท่านสองคนที่ว่าเป็นเทพเซียนจริงแล้ว....” เจ้าวั่งซูกล่าว
“เอ๊ะ! อะไรนะ ทำไมถึงกล่าวว่าข้าไม่ใช่มนุษย์ และ พวกท่านรู้จักอาจารย์ของข้าหรอ ข้าเคยเห็นแต่หน้า แต่ว่าแต่ละครั้งที่มาหน้าก็สลับสับเปลี่ยนไปไม่เคยซ้ำกัน และ พอข้าตื่นมาหน้านั้นก็ลืมหายไป พวกท่านรู้หรอว่าอาจารย์ทั้งสองของข้าคือใคร พวกท่านเป็นใครมาจากไหน ได้โปรดบอกข้าด้วย” หลี่เหลี่ยงเฟิ่งร้อนใจพูดแทรก
“อาจารย์ของท่านคือเจ้าภพฝันแห่งความเงียบงัน ยักษ์ถูหลันและเทพธิดาเม่งเซี๊ยะในตำนาน แต่พวกเค้ามีตัวตนอยู่จริง และพวกข้าก็พึ่งได้มีโอกาสพบพวกเค้า และ ได้รับการไหว้วานให้นำสาส์นมาให้ท่านโดยการพาท่านไปพบ พวกเค้ารอท่านอยู่ท่านอยากจะไปไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม
“จริงหรอเนี๊ยะ! ข้าอธิษฐานทุกวันให้ได้พบพวกท่านแต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ ไม่น่าเชื่อเลย แท้จริงแล้วท่านอาจารย์ไม่ใช่เซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหนแต่กลับเป็นเจ้าแห่งภพฝันนี่เอง และ ข้าต้องไปที่ใด ทำไมพวกท่านถึงสื่อผ่านท่าน และ ให้นำมาบอกข้า ทำไมไม่พบข้าเอง แล้วพวกท่านอยากพบข้าด้วยเรื่องอะไร” หลี่เหลี่ยงเฟิ่งเล่าและถามอย่างตื่นเต้นและอยากรู้ไปหมด
“ใจเย็นก่อนท่าน เรื่องรายละเอียดเหล่านี้ เดี๋ยวท่านเจอหน้าพวกเค้าก็ควรไตร่ถามเอง แต่เรื่องสำคัญที่พวกข้าต้องถามความสมัครใจท่านก่อนคือ” เจ้าวั่งซู่หยุด เหลี่ยงเฟิ่งมองตั้งใจรอฟัง บรรยากาศเงียบตึงเครียด
“แท้จริงแล้ว ยักษ์ถูหลันและเทพธิดาเม่งเซี๊ยะนอกจากจะเป็นอาจารย์แล้ว พวกท่านยังเป็นบิดามารดาผู้ให้กำเนิดท่าน นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมภพกำเนิดที่แท้จริงของท่านไม่ใช่ภพมนุษย์ ท่านพ่อท่านแม่ท่านอยากพบท่านมาก ส่วนในรายละเอียดเมื่อไปถึงแล้วก็ขอให้คุยกันเอง ท่านจะว่าอย่างไร” ฮวาเฟยฟาเอ่ยสงบ
“อะไรนะ! ไม่จริงหน่ะ! ท่านอาจารย์คือเจ้าแห่งภพฝัน และ แท้จริง คือท่านพ่อท่านแม่ของข้า ข้าคิดมาตลอดว่าพวกเค้าทอดทิ้งข้าไปเพราะข้ามันไร้ความสามารถ จนมาเจออาจารย์ที่เมตตาและสอนข้าทุกอย่างจนข้าได้ก้าวมาเป็นปรมาจารย์” เหลี่ยงเฟิงพูดน้ำตาไหลพราก
“ไม่ใช่แค่ไม่ได้ทอดทิ้ง แต่ยังอยู่กับท่านทุกช่วงชีวิต สอนท่านให้กล้าแกร่งมาตลอด หลายร้อยปีนี้ไม่เคยห่างไปไหนเลย” เจ้าวั่งซูพูดพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
หลี่เหลี่ยงเฟิ่งร้องไห้โฮด้วยความอัดอั้นและปิติ “ได้โปรด ท่านทั้งสองได้โปรดพาไปพบท่านพ่อท่านแม่ของข้าด้วยเถิด” หลี่เหลี่ยงเฟิ่งคุกเข่าคำนับ
“เดี่ยวใจเย็น พาไปสิ พาไปแน่ถึงได้มาหามาถาม ท่านไม่ต้องทำแบบนี้” เจ้าวังซูกล่าวพร้อมประคองเหลี่ยงเฟิงยืนขึ้น และ คิดในใจว่า “นี่ข้าจะอายุสั้นอีกไม๊เนี๊ยะ วันหนึ่งๆ คนคำนับหลายสิบ เห้อ”
“ตอนนี้ภพฝันปรากฏทับซ้อนกับภพมนุษย์ บริเวณปาเขาหลังสำนักลึกเข้าไป ที่สำนักมีการร่ายอาคมป้องกันมากมาย ข้าเชื่อว่าสิ่งแปลกปลอมไม่ย่างกรายมา ไปเถอะ พวกเราไปพบท่านพ่อท่านแม่ของท่านที่นั่น พวกเค้ารอท่านอยู่” ฮวาเฟยฟากล่าวสงบ
พูดจบทั้งสามคนก็ได้พากันออกไป ลงเขาและลัดเลาะเข้าป่าหลังสำนักและตรงไปยังปากถ้ำทางเข้าสู่ภพฝัน พอใกล้ปากทางก็มีพวกจิตภูติเปล่งลำแสงรอต้อนรับตรงปากทางเข้ากิ่งเถาวัลย์เริ่มเปิดออกให้เห็นปากทางเข้าถ้ำพร้อมเหล่าจิตภูติเปล่งประกายแสงระยิบระยับนำทาง หลี่เหลี่ยงเฟิ่งมองตาค้างถึงความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงนั้น
เจ้าวั่งซูทำหน้าแบบเข้าใจ และคิดว่า “ก็ไม่ต่างจากข้าที่มาครั้งแรก” ละนึกขำในใจ
เมื่อเข้าไปถึงด้านในทั้งสามก็บินตรงตามแสงของเหล่าจิตภูติที่นำทาง ไม่นานมากจนไปก็ถึงยังจุดหมาย บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
“นี่แหล่ะคือจุดเชื่อมระหว่างภพฝันแห่งความเงียบงัน และ ภพมนุษย์ ข้าคิดว่าบ่อน้ำนี้อีกหนึ่งทางเชื่อสู่ทุกภพ เป็นทางที่ต้องถูกปิด” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
หลี่เหลี่ยงเฟิ่ง น้ำตารื้น ชันเข่าลงก้มคำนับบริเวณปากบ่อ “นี่หรอ คือที่ที่ท่านพ่อท่านแม่ข้าอยู่ ข้ามันลูกอกตตัญญู ทั้งๆ ที่พวกท่านอยู่ใกล้ข้าขนาดนี้และยังคอยสั่งสอนปกป้องข้ามาตลอด แต่ข้ากลับไม่เคยรู้และเอาแต่คิดว่าพวกท่านทอดทิ้งข้า ไม่ไยดีข้า ข้ามันลูกอกตัญญู”
ปากบ่อสว่างขึ้น ระยิบระยับห้อมล้อมด้วยกลุ่มภูติรวมตัวกระพือปีกเปล่งแสง บรรยากาศขมุกขมัวด้วยกลุ่มผงทรายแกะเงินแกะทอง พร้อมการปรากฏขึ้นของสองร่างท่ามกลางหมอกทราย เจ้าแห่งภพฝันทั้งสอง ถูหลันกับเม่งเซี๊ยะตื้นตันได้พบหน้าลูกโผเข้ากอดกันสามคน
“แม่ขอโทษลูก แม่จำเป็นต้องส่งลูกมาที่ภพมนุษย์และทำลายพลังเทพทั้งหมดของลูก เพื่อซ่อนตัวตน” เม่งเซี๊ยะกอดเหลี่ยงเฟิงน้ำตาอาบหน้าแก้มอิ่มสวยพร้อมเล่าความจำเป็น
“พ่อกับแม่ไม่กล้าข้ามภพมาเพื่อพบเจอลูกตัวเป็นๆ ดังนั้นจึงต้องจำแลงกายบิดเบือนฝัน เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่เราจะได้เห็นและอยู่กับลูก แม้ว่าจะเป็นแค่ในความฝันก็ตาม” ถูหลันกล่าว
“ไม่เป็นไรเลยท่านพ่อท่านแม่ ข้าเองต่างหากที่เอาแต่คิดน้อยใจว่าพวกท่านทอดทิ้งข้า โดยหาเคยรับรู้ไม่ว่าท่านอยู่กับข้าและเฝ้ามองข้ามาตลอด และถึงแม้ข้าจะไม่มีพลังวิเศษเหมือนผู้ฝึกตนอื่นๆ แต่ด้วยวิธีและมนต์ที่ท่านสอนข้า มอบให้ข้า ก็สามารถทำให้ข้าได้กลายมาเป็น 1 ในปรมาจารย์ที่ยื่งใหญ่ของสำนักเก้าจักยุตกรา” เหลี่ยงเฟิ่งเล่าน้ำตาคลอ
ทันใดนั้นแสงสว่างก็แผ่ออกห่อหุ้มร่างกายของคนทั้งสามไว้สว่างโร่
“แสงรูปกลีบดอกบัวนี่มัน “คำสาปสะกดร่าง” แต่กลีบที่ห่อหุ้มนี่มีรอยปลิแยกออก หรือว่าการที่เค้าทั้งสามเจอกันมันคือการคลายคำสาปทั้งหมด” เจ้าวั่งซูกล่าว
“คำสาปสะกดร่างจะหายสมบูรณ์แบบก็ต่อเมื่อคนลงคำสาปเป็นคนถอนมันด้วยตัวเองเท่านั้น” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
“เจ้าหมายถึงเทพบนสวรรค์สักองค์ที่สาปพวกเค้าหรอ ข้าว่าน่าจะมาไม่ทันนะ กลีบดอกบัวกำลังจะปิดสนิท คำสาปจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์” เจ้าวั่งซูเอ่ยหวั่นใจ
“มียังพอมีทาง ด้วยลูกแก้วมังกรที่อยู่ในตัวชิงหลง มันสามารถล้างคำสาปได้ ไป่ชิงหลง” เฟยฟาเรียกสัตว์ภูติคู่ใจ ไป่ชิงหลงปรากฏตัวขึ้นพร้อมคลายแก้วมังกร สีฟ้าสว่างวาบออกจากปาก วางลงบนมือของฮวาเฟยฟา ฮวาเฟยฟาท่องมนต์ ส่งไข่มุกไปยังกลีบดอกบัว และ ร่ายมนตร์ “มนต์แก้วมังกรแห่งข้า จงปลดคำสาปร้ายที่พันธนาการพวกเค้าทั้งสาม จงอันตรธาน!” กลีบดอกบัวเริ่มคลายออกเผยให้เห็นคนทั้งสามที่ยังหมดสติในท่ากอดกันกลม กลีบดอกบัวเมื่อโดนไอจากแก้วมังกรชะล้าง คำสาปเริ่มจาง กลีบบานจนเปิดหมด คนทั้งสามได้ฟื้นคืนสติ และมองรอบๆ “นี่เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา” หลี่เหลี่ยงเฟิงกล่าว
ดวงตาคู่งามของเม่งเซี๊ยะลืมขึ้นเผยให้เห็นดวงตาดำขลับเงาวงตากวาง นางช่างเป็นนคนที่งดงามนัก “วั่งซูคิดในใจ”
“ฮะ! นี่ข้า! นี่ข้าสามารถมองเห็นท่านแล้ว ถูหลัน ข้าข้า เห็น........” เม่งเซี๊ยะยังกล่าวไม่จบก็ต้องตกใจกับหน้าถูหลัน
“นี่ข้า! สามารถหันหน้ามาหาเจ้าได้ ยอดรักของข้า” ถูหลันดีใจที่ได้เห็นหน้าคนที่เค้ารักอีกครั้ง
“ท่านหน้าท่าน!” เม่งเซี๊ยะตะลึงหน้าชายคนรัก
“หน้าข้าทำไม หรอ” ถูหลันถาม พร้อมเอามือคลำใบหน้า
“ฮะ รูปกายมนุษย์ของข้าคืนมา คำสาปทั้งหมดคลายแล้ว” ถูหลันตะโกนเสียงดัง
“ถ้างั้นพลังของเจ้า ลูกเฟิง” เม่งเซี๊ยะเอ่ยหันไปทางลูกชาย หลี่เหลี่ยงเฟิงกำหนดจิตเร่งพลังจักรา ก้รู้สึกได้ถึงปราณเทพที่ไหล ในร่างกาย “ฮะ! จริงด้วยท่านพ่อท่านแม่ข้ามีพลังในร่างกายแล้วจริง” เหลี่ยงเฟิงเอ่ยประหลาดปนดีใจ
“ใช่พลังเทพที่ถูกสะกดไว้ก็กลับคืน พร้อมการจางหายของคำสาป” ถูหลันตอบลูกชาย
“นั่น! แสงข้างบนนั่นคือ “แก้วมังกร” ทั้งสามคนพูดพร้อมกัน “แก้วมังกรที่พันปีมีลูกเดียว และ ตกทอดสู่คุณชายตระกูลฮวา” ทั้งสามหันมาทาง ฮวาเฟยฟา และ เจ้าวั่งซู
“เป็นท่านองค์ชายมังกร ที่ช่วยพวกเรา ช่างเป็นบุญคุณใหญ่หลวงยิ่งนัก” ทั้งสามก้มคำนับ
“นั่นไงอีกละ” เจ้าวั่งซูหันมามองฮวาเฟยฟาและอมยิ้ม
“ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่พวกท่านพ่อแม่ลูกได้พบกันพร้อมหน้า จริงๆ แล้วคำสาปที่ติดตัวมาแต่ละคนไม่อาจหายไปได้นอกจากผู้ลงคำสาปเป็นคนถอน แต่มุกมังกรแห่งข้ามีหนึ่งในคุณสมบัติคือชะล้างคำสาป ถือเป็นวาสนาที่พวกเราได้พบ และช่วยเหลือกัน หลังจากนี้ขอท่านได้ผนึกภพฝันเข้ากระจกฝัน และ อย่าลืมปฏิบัติตามกฏและหน้าที่ที่พวกท่านได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดอย่าให้กระเทือนถึงส่วนรวม ก็คงพอ ส่วนเรื่องเกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องดี” ฮวาเฟยฟาเอ่ยยาว
“พวกข้าทั้งสามขอจดจำเป็นบุญคุณ หากวันหน้ามีเรื่องอะไรที่พวกข้าช่วยได้ยินดีตอบแทนพวกท่านอย่างเต็มใจ” ทั้งสามคารวะ
“เออ จริงด้วย ท่านหลี่เหลี่ยเฟิง ที่พวกข้าคุยกันคือ ให้เปลี่ยนภพฝันของจริงที่ท่านพ่อท่านแม่ท่านอยู่มาไว้ในกระจกแห่งฝันซะ เช่นนั้น พวกท่านก็จะไปหาสู่กันได้ผ่านกระจกฝัน โดยไม่ต้องละเมิดข้อห้ามในการเปิดปรตูสู่ภพ และ กระจกฝันเองก็ยังสามารถทำหน้าที่เป็นแบบเรียนให้กับสิ่งที่ท่านสอนศิษย์ได้ไม่ติดขัด” เจ้าวั่งซูกล่าว
“เป็นวิธี ที่วิเศษมาก เช่นนั้น ข้ากับท่านพ่อท่านแม่ พวกเราสามคนจะได้อยู่ร่วมกันไปตลอด” หลี่เหลี่ยงเฟิงกล่าวยิ้มกว้างด้วยความยินดี หันไป คุยกับพ่อแม่และเตรียมดำเนินการ
“ถ้างั้นพวกข้าไม่รบกวนพวกท่านพ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาร่วมกัน และ จัดการเรื่องที่ต้องทำให้เสร็จ พวกข้าขอลา” เจ้าวั่งซูเอ่ยพร้อมยกมือลา ฮวาเฟยฟายกมือลาตาม
“ข้าทั้งสามจะปฏิบัติตามที่ท่านทั้งสองชี้แนะอย่างเคร่งครัด ไม่ให้เกิดเหตุการณ์อะไรที่เป็นการผิดกฎธรรมชาติ พวกท่านโปรดอย่ากังวล” หลี่เหลียงเฟิงเอ่ยพร้อมคำนับ
“งั้นพวกเราขอส่งท่านตรงนี้ เดินทางปลอดภัย ” ถูหลันและเม่งเซี๊ยะกล่าวยิ้มน้ำตารื้นซึ้งในสิ่งที่ เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาทำให้
ภาพและเรื่องราวตะกี้มันคืออะไร “นี่เราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” เจ้าวั่งซูเหมือนฟื้นจากภวังค์ และ มองที่ฮวาเฟยฟา แม้ภาพจำจะเลือนราง ยังไม่ชัด ความทรงจำที่วิ่งเข้ามายังไม่อาจปะติดปะต่อ บรรยากาศรอบตัวดั่งใบไม้ร่วง และ ดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าที่สะกดใจตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เค้าก็มั่นใจว่าคนนี้คือคนสำคัญในชีวิตเค้า“ใช่ไม๊! เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊ โปรดบอกข้าที” เจ้าวั่งซู เอ่ยถามซ้ำฮวาเฟยฟาหลับตาก้มหน้ายิ้มมุมปาก “ใช่สิเจ้าก็ต้องเห็นและรู้สึกเหมือนที่ข้ารู้สึกสินะ”“เรื่องราวในความทรงจำเมื่อกี้มันคืออะไร มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับข้าเคยผ่านมันมาเอง ไม่ใช่สิเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นที่ข้าไปเป็นและรู้สึกแทนเค้า เค้าคนนั้นคือใคร? ทำไม? และทำไมถึงมีท่านในนั้น?” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามวกวนสงสัย“เจ้าคิดว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม“ใช่! ข้ามั่นใจว่ามีท่านในความทรงจำที่ผ่านเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครและข้าคือใคร” เจ้าวั่งซูตอบยืนยัน“ข้าก็คิ
แสงตะเกียงเริ่มถูกจุดขึ้นทั่วหมู่บ้านชุนเทียน ลามต่อมาตามเส้นทางสู่หุบเขา แต่ละวิญญาณเริ่มแยกออกจากร่าง และ ทุกคนกลับคืนรูปเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมสุข บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต บรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความปิติ เสียงหัวเราะ ความยินดี และเปี่ยมสุข เสียงสรวลเฮาฮาของผู้คนทั้งจากภพมนุษย์ ภูติ อมนุษย์ เดรัจฉาน วิญญาณ และอื่นๆ ที่ถูกคำสาปให้ติดอยู่ที่หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ เริ่มดังก้องเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความยินดีนี้แสงสว่างและเสียงโห่ร้องสะกิดให้ เจ้าวั่งซูหยุดเป่าซวินดำสิบสองซุ่น และหันมาทาง ฮวาเฟยฟา “เฟยเฟย ที่หมู่บ้านเริ่มสว่างหมดแล้ว ข้าได้ยินเสียงงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ข้าอยากไปเห็นผู้คนที่นั่น พวกเราไปกันเถอะ” เจ้าวั่งซูเอ่ยชวนเร่งรีบฮวาเฟยฟาหยุดนิ้วเรียวสวยและเงยหน้ามองเจ้าวั่งซู ยิ้มอ่อนโยน “สิ่งที่เจ้าอยากไปชมที่สุดคงเป็นสุราดอกซ่างฮัวหลัวสินะ”“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าช่างรู้ใจข้า แม้สุราที่ดีที่สุดของข้าต้องเป็นสุราจาก ดอกมฤตยูดำ ที่เรือนสกุลเจ้าของข้าปลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสุราที่ทำจากดอกซ่างฮัวหลัวที่กำเนิดในหมู่บ้านของพวกเร
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆ แล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหละที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขออภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันหนึ่งข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆแล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหล่ะที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขอภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันนึงข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ แล
ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้นภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือยักษ์ถูหลัน!ใบหน้าคือมังกรและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็นวงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ยักษ์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมาบรรจบกันปีละครั้งและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดความรักของเราสองคน”แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็นเพียงภพชั่วคราวของการผ่านของวิญญาณ ร่างที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”“ข้ามีเรื่องอยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสอง
ทั้งสองเดินต่อเข้าไปจนถึงใจกลางถ้ำก็ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ (บ่อน้ำแห่งจินตนาการ) แสงสว่างเจิดจ้าจากปากบ่อดั่งผงเกล็ดมุกเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายมีมนต์เรียกหาล่อลวงให้ผู้พบเห็นเดินเข้าไป แสงวิบวับสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวตกใจของเหล่าศีรษะที่ถูกตรึงอยู่ปากเพดานรอบๆ คล้ายว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังแยกเขี้ยวร้องโหยหวนเตรียมตะครุบบริเวณรอบๆ เหล่าจิตภูตบินอยู่บนปากบ่อมากมาย เมื่อเจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้าไปใกล้ ก็พึ่งเห็นแสงสว่าง ฉายเข้ากับหน้าจิตภูติ ตาโตดำ หูตั้งชันสูง ไม่มีจมูก เขี้ยวแหลมเต็มปาก“นี่มันภูติผีรึเปล่าเนี๊ยะ!” เจ้าวั่งซูคิด แต่ก็เพราะหน้าตาเหยเกปนน่ารักน่าชังของเจ้าจิตภูตินี้ ทำให้สติของวั่งซูไขว้เขวถูกดึงกลับมาชั่วครู่“นี่มันมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา” เจ้าวั่งซูสะบัดพัดดำในมือร่ายเวทย์ “มนต์สะกดลวงตา จงหายไป!” และโบกสะบัด แสงสีพวยพุ่งตามแฉกกรีบพัด พัดพาเหล่าจิตภูติร้องกระเจิงแตกวง ไอหมอกไอควันวิบวับจากปากบ่อบางตาลงเหลือเพียงไอหมอกใสใส มองผ่านไอหมอกไปอีกด้านขอบบ่อ ฮวาเฟยฟากำลังหมดสติและล้มลงปากบ่อ เจ้าวั่งซูกระโจนเข้าโอบรับและดึงร่างทั้งสองออกห่างปากบ่อ ตอนนี้ฮวาเฟยฟาหมดสติอ