เย็นนั้นรังสิมันต์ทานอาหารเย็นที่บ้านตามคำเชิญของเจ้าของบ้าน โดยจันทริกาถูกศศิประภาสั่งห้ามไม่ให้ออกไปร่วมโต๊ะ เธอจึงได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้อง พยายามจะไม่คิดมาก พร้อมกับบอกตัวเองว่าชินเสียแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ตัวเองถูกกีดกันอย่างคนไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใดๆ และพ่อก็ยอมให้เธอถูกกระทำเช่นเคย
เป็นอีกครั้งที่จันทริกาคิดถึงแม่เหลือเกิน แม่ตั้งชื่อให้เธอว่าจันทริกา ซึ่งมีความหมายว่า...แสงจันทร์ แม่คงอยากให้ชีวิตของเธอมีแต่ความงดงามประดุจดวงจันทร์ที่ประดับอยู่บนท้องฟ้า แต่แสงของพระจันทร์ดวงนี้ช่างริบหรี่เหลือเกิน ไม่เหมือนกับแสงของตะวันซึ่งทอรัศมีเจิดจ้าเฉิดฉาย ที่แม้แต่พระจันทร์อับแสงเช่นเธอ ความอบอุ่นนั้นก็ยังแผ่ซ่านมาถึง
มือเล็กเอื้อมไปหยิบกล่องขนมซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า มองมันด้วยความซาบซึ้งใจอีกครั้ง ก่อนจะเปิดฝาออกเพื่อกินประทังความหิว ในระหว่างรอให้คนที่ซื้อมันมากลับบ้านไป
แครกเกอร์ธัญพืชชิ้นขนาดเท่าเหรียญสิบบาท ถูกหยิบออกมาจากกล่องพลาสติกรูปทรงสวยงามเป็นชิ้นแรก จันทริกาตั้งใจว่าหลังจากขนมในกล่องนี้หมด เธอก็จะเก็บกล่องสวยๆ นี้ไว้อย่างดี เพื่อระลึกถึงความใจดีของพี่ตะวันที่มีให้กับเธอตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้ส่งขนมชิ้นแรกนั้นเข้าปาก ประตูห้องก็ถูกศศิประภาผลักเข้ามาโดยไม่ได้เคาะตามมารยาทอันควร พอจันทริกาหันไปมองก็ถูกอีกฝ่ายตวาดใส่เสียงดัง
“นั่นแกจะทำอะไรนังจันทร์”
“จันทร์กำลังจะกินขนมค่ะ”
“เอามานี่!”
ไม่พูดเปล่า แต่ศศิประภายังปราดมาแย่งกล่องขนมไปจากมือของจันทริกา ทำให้จันทริกามองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมศศิประภาจะต้องไม่พอใจ
“พี่ศศิ!”
“คุณตะวันเป็นของฉัน ของทุกอย่างของเขาก็เป็นสิทธิ์ของฉัน แกอย่าสะเออะ” ศศิประภาประกาศลั่น ทำให้จันทริการู้ทันทีว่ารังสิมันต์คงกลับไปแล้ว ศศิประภาถึงได้กล้าแผดเสียงแว้ดๆ เช่นนี้ใส่เธอ
“จันทร์ไม่ได้สะเออะ แต่ขนมนี่พี่ตะวันซื้อมาฝากจันทร์ คืนให้จันทร์เถอะนะคะ”
“อยากได้นักใช่ไหม ได้...ฉันจะคืนให้”
จันทริกากำลังจะยิ้มที่ได้ขนมกล่องนั้นคืน แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีต่อมาตาคู่สวยก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นศศิประภาเทขนมในกล่องทั้งหมดลงพื้น แล้วใช้เท้าเหยียบย่ำ จนแครกเกอร์พวกนั้นแตกละเอียดเช่นเดียวกับความรู้สึกของจันทริกา
“พี่ศศิ!”
“อยากได้ก็เก็บเอาเองก็แล้วกัน” ศศิประภายักไหล่และเบ้ปากอย่างสะใจ ก่อนจะทิ้งกล่องที่จันทริกาตั้งใจว่าจะเก็บรักษาไว้อย่างดีลงพื้น แล้วเดินสะบัดตูดออกจากห้องไป โดยไม่คิดจะสนใจว่าจันทริกาจะเสียใจมากแค่ไหน
ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้น ค่อยๆ กวาดเศษแครกเกอร์นั้นมากองรวมกันด้วยความอาดูร เธอไม่ได้ชิมด้วยซ้ำว่ารสชาติของขนมที่รังสิมันต์ซื้อมาฝากเป็นอย่างไร ขนมซึ่งถูกเหยียบย่ำจนแหลกละเอียดแล้วพวกนี้ มันคงกลายเป็นอาหารของมดตัวเล็กๆ แทน ทว่าอย่างน้อยก็ยังโชคดีที่ศศิประภายังทิ้งกล่องขนมนี้ไว้ให้ มือบางเอื้อมไปหยิบกล่องนั้นมาแนบอก พลางรำพึงขึ้นเบาๆ ด้วยเสียงสั่นเครือเมื่อนึกถึงน้ำใจของคนที่อุตส่าห์เอามาฝาก หากเธอกลับไม่สามารถจะรักษาน้ำใจของเขาเอาไว้ได้
“จันทร์ขอโทษนะคะพี่ตะวัน...”
เด็กสาววัยสิบแปดกำลังปั่นจักรยานมุ่งหน้ากลับบ้านในเวลาโพล้เพล้ ตะกร้าหน้ารถเต็มไปด้วยถุงผักและของสดต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการปรุงอาหารเย็น ซึ่งนี่เป็นงานประจำที่จันทริกาต้องทำทุกวันมิให้ขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว หากวันไหนที่เธอละเลยหรือบกพร่องนั่นต่างหาก ถึงจะเกิดเรื่องใหญ่เรื่องโตตามมา เพราะเธอต้องถูกสิริมาและศศิประภาเล่นงานอย่างหนัก โดยที่เธอไม่เคยคิดจะบอกเรื่องนี้ให้พ่อรับรู้ ด้วยรู้ดีว่าพูดไปพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้
กริ๊ง…กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขาห้าส่วนดังขึ้น สองมือจึงกำเบรกที่แฮนด์จักรยาน ก่อนจะควานหาเอาโทรศัพท์เครื่องละไม่ถึงสามพันออกมา คิ้วเรียวมุ่นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทร.มาเป็นเบอร์ของศศิประภา ไม่บ่อยนักหรอกที่ศศิประภาจะโทร.หาเธอ และถ้าเดาไม่ผิดที่ศศิประภาโทร.มาก็คงไม่แคล้วจะใช้เธอซื้อของกลับไปให้ด้วยอีกตามเคย
“ค่ะพี่ศศิ”
“แกอยู่ไหนนังจันทร์”
เสียงที่ถามนั้นยังคงแข็งกระด้างและจิกหัวเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ศศิประภาคุยกับเธอ แต่ที่ทำให้จันทริกาค่อนข้างแปลกใจนั่นก็เพราะเสียงของศศิประภาในตอนนี้กลับฟังดูอู้อี้คล้ายคนกำลังร้องไห้เจือมาด้วย
“กำลังจะกลับบ้าน พี่ศศิจะเอาอะไร”
“ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น แกรีบมาที่โรงพยาบาลตอนนี้เลย”
คำสั่งของศศิประภาที่ดังมาเช่นนั้นบวกกับน้ำเสียงที่สั่นเครือ ทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มหวาดหวั่น สองมือเย็นเฉียบ ลางสังหรณ์บางอย่างเด่นชัดขึ้นจนน่ากลัว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“พ่อแกขับรถชนกับรถสิบล้อ รถพังยับเยินทั้งคัน ตัวเองซวยคนเดียวไม่พอ ยังพ่วงแม่ฉันให้พลอยซวยไปด้วย จะเป็นหรือจะตายก็ยังไม่รู้”
“พ่อ!”
เสียงหวานอุทานออกมาอย่างตกใจสุดขีด ก่อนจะหันเหทิศทางของจักรยานที่กำลังจะปั่นกลับบ้าน ไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด ขณะที่เท้าออกแรงปั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใจก็ภาวนาขอพรจากแม่และยายรวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้คุ้มครองพ่อของเธอและน้าสิริมาด้วย
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา