เมื่อไปถึงก็เห็นว่าศศิประภากำลังยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ยังไม่ทันที่จันทริกาจะได้เอ่ยถามถึงอาการของคนทั้งสอง ประตูห้องก็ถูกผลักออกมา
“น้องสองคนเป็นญาติคนไข้ใช่มั้ยคะ”
เสียงนั้นเป็นเสียงของพยาบาลห้องฉุกเฉินที่เปิดประตูออกมา ศศิประภาและจันทริกาต่างก็พยักหน้า ก่อนที่พยาบาลคนนั้นจะพูดออกมาอีกหนึ่งประโยค ซึ่งถ้อยคำนั้นไม่ต่างอะไรกับคำพิพากษาซึ่งร้ายแรงมากที่สุดในชีวิตของทั้งจันทริกาและศศิประภา
“เข้าไปลาพ่อกับแม่เถอะค่ะ”
ทันทีที่สิ้นคำพูดดังกล่าว ทั้งสองต่างก็ย่ำเท้าเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างไม่รีรอ สิริมาและเมธานอนอยู่คนละเตียง ลมหายใจของทั้งคู่ต่างรวยรินผาดแผ่ว ศศิประภาตรงไปหาแม่ตัวเองที่อยู่อีกเตียงหนึ่ง ส่วนจันทริกาตรงไปหาพ่อ และคว้ามือแข็งแรงซึ่งบัดนี้เกือบจะเย็นเฉียบขึ้นมาแนบแก้มที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตา
“พ่อจ๋า...จันทร์มาแล้ว...”
“จันทร์...พ่อขอโทษ...ที่ดูแลหนูได้ไม่ดี...พ่อเป็นพ่อที่แย่เหลือเกิน” เมธาพยายามเปล่งเสียงคุยกับลูกสาวตามสิ่งที่เก็บกดไว้ในใจตลอดมา ถึงแม้ว่าตอนนี้แม้แต่แรงจะหายใจยังแทบไม่หลงเหลือ แต่ด้วยรู้ดีว่านี่คงเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตที่จะมีโอกาสได้พูดกับลูก คนเป็นพ่อจึงอยากให้ลูกอภัยก่อนที่ตัวเองจะลาลับ
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ...จันทร์ไม่โกรธพ่อเลย...จันทร์เชื่อว่าพ่อคงมีเหตุผล”
“หยิบของ…ในกระเป๋าเสื้อพ่อ...”
เสียงของพ่อดังเท่าเสียงกระซิบ แต่จันทริกาได้ยินและรีบทำตามที่พ่อบอกทันที มือเล็กหยิบเอาของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของพ่อ มันคือซองกำมะหยี่สีแดง ภายในมีแหวนทองคำเกลี้ยงวงเล็กๆ น้ำหนักน่าจะราวๆ หนึ่งสลึง จันทริกาเอาแหวนวงนั้นให้พ่อด้วยมือที่สั่นเทา น้ำตาอาบลงสองแก้มต่อเนื่องอย่างไม่อาจอดกลั้น
“ได้แล้วค่ะพ่อ”
เมธาไม่รับแต่ส่ายหน้าไปมา พยายามจะยิ้มให้ลูกสาว แต่รอยยิ้มนั้นมันก็เป็นไปได้เพียงเบาบาง เพราะถูกความเจ็บปวดห้อมล้อมทุกอณูความรู้สึก และเขาก็รู้ตัวเองว่าวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้จะมาถึงเต็มที
“ของขวัญ...วันเกิด...ของจันทร์…พ่อ...รัก...จันทร์...”
คำพูดที่ขาดเป็นห้วงๆ และแสนแผ่วเบานั้น กลับสร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงให้กับหัวใจของคนเป็นลูก น้ำตาที่หลั่งเป็นสายก่อนหน้านี้ หลั่งออกมาอย่างท่วมท้น ขณะซบหน้าลงไปกับมือของพ่อ
“จันทร์ก็รักพ่อค่ะ รักมากที่สุดในโลก”
“พ่อ...ขอ...โทษ...”
“จันทร์ไม่โกรธพ่อเลย จันทร์รักพ่อ รักมากที่สุด พ่อจ๋าอยู่กับจันทร์ได้ไหม อย่าทิ้งจันทร์ไปอีกคนเลยนะคะ”
คำคำนั้นช่างเป็นคำอ้อนวอนที่ฟังดูน่าสงสารเหลือเกิน หากแต่คล้ายดั่งว่ามันจะไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เมื่อร่างที่นอนอยู่เกร็งกระตุกติดๆ กัน ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะสิ้นสุดลง
“พ่อ…พ่อจ๋า...ฮือๆๆๆ แล้วจันทร์จะอยู่กับใคร...จันทร์จะอยู่กับใคร...”
จันทริกาซบหน้าลงร้องไห้กับอกของพ่อ เสื้อที่เปื้อนเลือดนั้นตอนนี้เปื้อนไปด้วยหยดน้ำตาของลูกสาว ร่างบางสะอึกสะอื้นจนตัวโยน เมื่อคนสุดท้ายที่เธอรักมากที่สุดในโลกนี้ได้จากลาไป ไปโดยไม่ฟังคำอ้อนวอนใดๆ ของเธอเลย
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่จันทริการ้องไห้อยู่แบบนั้น กระทั่งมีสองมือของพยาบาลมาแตะลงบนหัวไหล่ เธอจึงได้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“ไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้พ่อนะ เดี๋ยวพี่จะพาพ่อไปรอที่ห้องสุดท้าย”
จันทริกามองหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้ายผ่านม่านน้ำตา ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทาที่เกิดจากความสูญเสียไปปิดตาให้พ่อ เพื่อให้ท่านได้จากไปอย่างหมดห่วง ทั้งที่ไม่รู้เลยว่านับจากนี้ตัวเองจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง
ร่างบางออกมายืนหน้าห้อง มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง เท้าเล็กๆ กำลังจะก้าวออกไปหาจักรยานที่จอดอยู่โรงจอดรถเพื่อขี่กลับบ้าน เอาเสื้อผ้าชุดสุดท้ายมาเปลี่ยนให้พ่อ แต่หัวไหล่บางกลับถูกกระชากจนตัวหมุน พร้อมกับแรงฝ่ามือของศศิประภาเหวี่ยงกระทบลงบนใบหน้าที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตา
เพียะ!
“พี่ศศิ!” จันทริกายกมือขึ้นมากุมหน้าตัวเอง แม้มันจะไม่เจ็บเท่าหัวใจที่ปวดหนึบอยู่ตอนนี้ แต่เธอก็ตกใจไม่น้อยที่ถูกศศิประภาทำร้ายเช่นนั้น
“พ่อแกทำให้แม่ฉันตาย! ฉันจะฆ่าแก! ฉันจะฆ่าแก! นังจันทร์! ไอ้พวกตัวซวย!”
ศศิประภาอาละวาดอย่างคนคลุ้มคลั่ง พลางทุบตีหยิกข่วนแพะรับบาปอย่างจันทริกาไม่ยั้ง บุรุษพยาบาลที่อยู่แถวนั้นเห็นเหตุการณ์จึงรีบเข้ามาห้ามปราม
“ที่นี่โรงพยาบาลครับน้อง อย่าตีกัน”
“จำไว้นะนังจันทร์ ฉันจะไม่ปล่อยให้แกเป็นสุขแน่ พ่อแกฆ่าแม่ฉัน พ่อแกทำให้แม่ฉันตาย ทำไมไม่ตายไปคนเดียว พาแม่ฉันไปตายด้วยทำไม ไอ้คนเลว ฉันเกลียดพ่อแก เกลียดแก เกลียดๆๆๆ”
ศศิประภายังชี้หน้าด่าจันทริกาด้วยความโกรธแค้นที่เกิดจากการสูญเสียและไม่รู้จะลงกับใคร เธอจึงถูกบุรุษพยาบาลจับตัวแยกไปเพื่อสงบสติอารมณ์ จันทริกาเลยรีบสาวเท้าไปยังจักรยานคู่ใจด้วยสายตาที่ฝ้าฟางไปด้วยน้ำใสๆ ซึ่งไหลกลบตาอย่างต่อเนื่อง หากความรู้สึกเคว้งคว้างหดหู่ในตอนที่ลมหายใจสุดท้ายของพ่อขาดห้วงลงมันยังไม่ชัดเจนพอ เมื่อสักครู่นี้ศศิประภาก็ได้ตอกย้ำมันลงมาบนร่างกายและหัวใจของเธอเรียบร้อยแล้วว่า นับจากนี้เธอจะไม่มีพ่ออีกต่อไป
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา