“คะ...คุณท่าน!”
“หืม? คุณท่าน?” คนถูกเรียกเลิกคิ้ว พลางหันไปมองคนสนิทแวบหนึ่งอย่างนึกรู้
“เอาๆ คุณท่านก็คุณท่าน ตอนนี้ก็เข้าบ้านกันก่อนเถอะ” คุณพรรณรายตัดบท ก่อนนำเข้าไปในบ้าน โดยมีเด็กน้อยถือห่อผ้าก้าวตามเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ห้องนั่งเล่นขนาดย่อม ถูกทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง มีชั้นใส่หนังสือสูงท่วมศีรษะ ที่น่าสนใจคือเปียโนสีดำ ที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ทำให้เด็กน้อยต้องชะเง้อมองอย่างสนอกสนใจ
“ชอบเปียโนหรือจ๊ะ?” คนถูกถามหน้าตาเหรอหรา
“เอ่อ ชะ...ชอบค่ะ แต่แม่ไม่ชอบ”
“หืม อะไรนะ? เข้ามาใกล้ๆ นี่ซิ” เด็กน้อยยืนนิ่ง เสียงเข้มจึงสำทับ
“เข้าไปใกล้ๆ คุณท่านสิคะ” อะไรบางอย่างในตัวหญิงมากวัยบนวีลแชร์ทำให้เด็กหญิงรู้สึกเกรงขามแต่เพราะความสนใจใคร่รู้ จึงเผลอมองเสี้ยวหน้าที่ถูกผ้าคลุมบดบังอยู่หลายนาที จนมีเสียงกระแอมเบาๆ จากแม่อบ นั่นแหละคนตัวเล็กจึงทรุดตัวลงนั่งพับเพียบข้างๆ รถวีลแชร์นั้น
“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน” ดวงตาดุที่ทอดมองมาแฝงด้วยความปรานี “เธอชื่ออะไร”
“ซะ...ทราย...” ท้ายประโยคมีเสียงกระแอมแทรกขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ... ค่ะ”
“ชื่อจริงล่ะ”
“ศุภิสราค่ะ”
“ศุภิสรา... ศศิลดา...” ชื่อหลังที่เอ่ยโดยหญิงสูงวัยกว่าทำให้คนฟังเงยหน้าสบตาคู่นั้นอย่างประหลาดใจ “เอาล่ะ ต่อไปนี้ก็มาอยู่ด้วยกันที่นี่แล้วกันนะ ฉันชื่อพรรณราย ส่วนนั่นแม่อบคนสนิทของฉัน ที่นี่เราอยู่กันแค่สามคน ไม่มีคนใช้ มีอะไรก็ต้องช่วยกันทำ เข้าใจไหม” เด็กน้อยรับคำ
“เปียโนน่ะ ถ้าอยากเรียนวันหลังจะสอนให้ แม่เธอเขาเคยเล่นเก่งทั้งเปียโนแล้วก็ไวโอลิน ลูกสาวก็คงสอนไม่ยากหรอกนะ จริงไหม” เด็กน้อยมองตามร่างบนวีลแชร์ที่แม่อบเข็นเข้าห้องไปอย่างงงๆ
การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเรือนเล็ก ไม่ได้เลวร้ายนัก แม้ว่าต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่อบทำงานบ้านทุกอย่าง เด็กน้อยก็ไม่ได้เกี่ยงงอนหรือเกียจคร้านแม้แต่น้อย ผู้ปกครองคนใหม่เองก็ไม่ได้อารมณ์ร้ายเหมือนคนเป็นน้องสาว คุณท่านแม้เงียบขรึมจนบางครั้งดูน่ากลัว แต่ก็ยังใจดีพอที่จะสอนนู่นสอนนี่ให้เด็กในปกครองอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะเปียโนที่คนมากวัยกว่าดูเหมือนจะเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ จึงถ่ายทอดให้เด็กน้อยอย่างไม่หวงวิชา หรือแม้แต่แม่อบคนสนิทที่ท่าทางจะดูเป็นคนเจ้าระเบียบ ปากร้ายแต่ใจดี และไม่เคยว่ากล่าวหรือทุบตีทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจสักครั้ง ชีวิตเล็กๆ จึงสงบขึ้น แม้บางคราวจะเหงาไปบ้างก็เถอะ และทุกวันหน้าที่หลักของศุภิสราก็คือไปรับปิ่นโตจากครัวใหญ่บนตึกสามเวลา ในวันแรกๆ นั้นสมาชิกในครัวต่างคอยพูดจากระทบกระแทกแดกดันและกลั่นแกล้งให้เจ็บช้ำน้ำใจต่างๆ นานา จนเธอต้องแอบไปนั่งร้องไห้ที่เรือนเล็กเป็นประจำ
“อ้าว เป็นอะไรไป ทำไมวันนี้ตาบวม” คุณพรรณรายทักเด็กในปกครองอย่างแปลกใจ
“จะอะไรล่ะคะ ก็คงถูกพวกที่ตึกใหญ่จิกกัดมาอีกล่ะสิคะ เด็กตัวนิดเดียวก็ยังทำได้ มันน่านักเชียว” แม่อบกระฟัดกระเฟียดตอบแทน คุณพรรณรายถอนหายใจเบาๆ มองคนตัวเล็กอย่างเวทนา
“ไหนเงยหน้าขึ้นซิ เจ็บมากหรือ” คำถามแปลกๆ นั้นทำให้เด็กน้อยงุนงง
“ฉันถามว่าสิ่งที่เขาว่าน่ะทำให้เจ็บมากหรือ” เด็กน้อยเม้มปากนิ่งเงียบ ก่อนส่ายหน้า หากพอนึกขึ้นได้จึงรีบตอบเบาๆ
“ไม่เจ็บค่ะ แต่ไม่ชอบ”
“เมื่อมีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบ จะบังคับจิตใจให้ใครๆ มาชอบเราทั้งหมดน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ คำพูดของคน ถ้าคำไหนที่ฟังแล้วมันไม่จริง ไม่มีประโยชน์กับชีวิตเรา จะต้องไปสนใจฟังทำไมจริงไหม” คนตัวเล็กนิ่งคิดตาม
“ถึงเราจะเป็นแค่เม็ดทราย แต่ถ้าไม่ยอมทอดตัวเองไว้ใต้ฝ่าเท้าใคร ก็จะไม่มีใครกดเราให้ตกต่ำหรือเหยียบย่ำเราได้เลย ฉะนั้นอย่าได้ลดคุณค่าของตัวเองเพียงเพราะคำพูดใคร แล้วน้ำตาทุกหยดของเราน่ะมีค่านะ อย่าไปเสียมันให้คนที่ไม่เห็นคุณค่าของเราพร่ำเพรื่อ เข้าใจหรือเปล่า” คำนั้นทำให้คนฟังคิดตาม ก่อนยิ้มออกมาได้ “เก่งมาก จำไว้นะว่าเวลาเจอปัญหาให้ยิ้มสู้แบบนี้แหละ”
นับจากวันนั้นไม่ว่าจะถูกใครว่ากระแทกแดกดันยังไง เด็กน้อยก็จะพยายามทำหูทวนลมทำตัวสงบไม่ยุ่งไม่สนใจใครทั้งนั้น โดยเฉพาะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของบ้านที่เคยประกาศิตไว้ว่าทุกที่ที่เขาอยู่คือ ‘สถานที่ต้องห้าม’ ของคนไร้ค่าเช่นเธอ หากคุณเพชรของบ้านไม่เคยรู้ เศษผ้าเช็ดหน้าที่ขาดในวันนั้นถูกเย็บให้ติดกันดังเดิมราวกับเป็นสมบัติมีค่า
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
“บราวนี่!”เสียงแหลมเล็กตะโกนลั่น ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งหันขวับ เด็กหญิงตัวป้อมที่เธอจำได้ว่าชื่อ เฟื่องตะวัน ยืนชี้โบ้ชี้เบ้มาทางที่เธอพลางป้องปากตะโกนลั่น“บราวนี่อยู่ทางนี้ค่ะ พี่เพชร!” ชื่อที่หลุดออกจากปากแดงจิ้มลิ้ม ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกวูบลงไปกองที่ตาตุ่มทันที“เอาหมาของเขาคืนมานะ ยัยหัวขโมย!” จู่ๆ มือกลมป้อมก็จู่โจมเข้ามาจะคว้าตัวเจ้าขนปุยไปจากอ้อมแขน ทำให้ศุภิสราตกใจเผลอเกร็งแขนไว้เพราะกลัวเจ้าหมาน้อยตกลงพื้น การยื้อแย่งจึงเกิดขึ้น จนเจ้าตัวฟูก็เกิดตกใจจึงงับแขนเรียวเล็กของศุภิสราจนต้องปล่อยมือจากมันกะทันหัน ทำให้เฟื่องตะวันถลาล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปคลุกฝุ่นที่พื้นทันที“น้องเฟื่อง!” คนที่เดินตามเข้ามาทีหลังร้องเรียกอย่างตกใจ“พี่เพชรคะ ฮึกๆ ช่วยด้วยค่ะ... ยัยเด็กนี่ผลักเฟื่อง โอย เจ็บ...ฮือ” คนก้นจ้ำเบ้าโอดครวญ ทำให้เด็กชายตัวสูงต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แววตาเย็นชาทำให้คนตัวน้อยสะดุดลมหายใจ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี “นี่แหน่ะ!” ก่อนจะทันรู้ตัว คนตัวป้อมที่ถลันหลุดจากวงแขนของพีรภัทรเข้ามาผลักสุดแรงบ้าง แต่ก่อนที่ศุภิสราจะล้มลงบาดเจ็บ มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาดึงร่างคนถลาเป็นนกปีกหั
“พี่จะพาน้องทรายไปอยู่บ้านด้วยไง ดีไหม” คนฟังถึงกับอึ้ง แต่พอเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจพยักหน้ารับไป“ก็ได้ค่ะ แต่งก็ได้”“จริงๆ นะจ๊ะ สัญญาก่อน” โทรินทร์ชูนิ้วก้อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่คนตัวเล็กก็ยอมยกนิ้วก้อยเกี่ยวก้อยตอกย้ำคำสัญญานั้น “ไชโย้...” โทรินทร์ตะโกนอย่างสมหวัง หากเขามัวดีใจจนไม่ทันเห็นสิ่งที่ซ่อนลึกในลูกแก้วคู่งามนั้น‘ดีเหมือนกัน ไปจากที่นี่ซะ ไม่มีเราสักคน เขาคนนั้นจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุขสักที...’ไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่ศุภิสราหวังก็พังทลายลงพร้อมกับพายุใหญ่ “คุณพี่ว่ายังไงนะคะ!” เสียงเอะอะโวยวายดังคับบ้าน “จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก”“เบาๆ หน่อยเถอะ คุณพราว เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นทั้งบ้าน” ประมุขของบ้านปราม“ช่างหัวมันปะไร ดิฉันไม่สน ตอบมาสิคะ ทำไมตาเพชรต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย หรือว่าเป็นแผนเฉดหัวพวกเราออกไปจากบ้านนี้ให้หมด เริ่มจากลูกก่อน อีกหน่อยก็คงเป็นฉัน” คุณพราวพิไลตีโพยตีพายทั้งน้ำตาคุณไกรภพถอนหายใจ แม้จะเตรียมใจตั้งรับมาแล้วว่าต้องพบเหตุการณ์นี้จากภรรยา ทว่าที่ไม่คาดคิดคือแม้แต่คนในบ้านก็เป็นไปด้วย“วันนี้งดปิ
“หืม?” คุณพรรณรายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หันไปมองหน้าเด็กในปกครองเชิงถาม“แล้วนั่นเราไปโดนอะไรมา ทำไมมอมแมมอย่างนั้น เข้ามาใกล้ๆ ซิ” เมื่อคนพูดคือคุณพรรณราย คนตัวเล็กจึงหมดสิทธิ์เลี่ยงอีกต่อไปต้องรีบคลานเข่าเข้าไปหา“สงสัยฝีมือพวกใจยักษ์บนตึกนั่นแหละค่ะ พวกนายว่าขี้ข้าพลอยทั้งนั้น”“จริงอย่างที่แม่อบว่าหรือเปล่า หืม?” คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบ ดวงหน้าหวานสลดเศร้าทำให้คนมองอ่อนอกอ่อนใจ“เอาเถอะๆ มีอะไรก็กินกันไปก่อนแล้วกัน” คุณพรรณรายตัดบท พลางหันไปสบตากับคนสนิทที่ยืนหน้างออย่างหนักอกหนักใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องได้ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเป็นห่วง เมื่อลับหลังคนตัวเล็ก ทั้งคู่จึงได้โอกาสปรับทุกข์ต่อกันเบาๆ“คุณพราวพิไลนี่ก็เหลือเกิน” แม่อบถอนหายใจ“จะไปว่าเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ถึงยังไงตาเพชรก็เป็นลูกเขาทั้งคน แค่ไปอยู่ไกลตาก็ห่วงแล้ว นี่จะส่งไปอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา ใครจะไปทนไหว”“นี่ตกลงว่าคุณเพชรต้องไปเมืองนอกแน่ๆ แล้วเหรอคะ” แม้ไม่เคยเลี้ยงดู ทว่าเมื่อเป็นหลานของเจ้านายก็ทำให้อดห่วงไม่ได้“แน่สิ ได้ยินพ่อเขาว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว กำหนดวันเดินทางก็คงเร็วๆ นี้ล่ะ” “แต่คุณไกรภพก็ใจแข็งเหลื
เช้าวันนั้น ศุภิสราเดินออกไปรอรถจะไปโรงเรียนเช่นเคย ขณะที่ผ่านหน้าตึกใหญ่ ร่างเล็กต้องรีบหยุดทันควัน เมื่อเห็นคนทั้งบ้านมายืนออหน้าประตูตึกใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความสังหรณ์ใจทำให้หนูน้อยแอบเตร่เข้าไปยืนแอบมองใกล้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง คนตัวเล็กเขย่งกายชะเง้อมอง จนกระทั่งได้เห็น...ศุภิสราใจหายวาบเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่คนรถกำลังขนขึ้นไว้ท้ายรถ โดยมีประมุขของบ้านยืนมองคุมความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนคุณพราวพิไลเฝ้าแต่กอดลูกชายไว้แนบอกร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ร่างสูงของเด็กชายในชุดแปลกตา ดวงหน้าคมคายเรียบสนิท แม้นัยน์ตาจะแดงๆ แต่ไม่มีหยดน้ำตาให้เห็น แล้วจู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เบนมาทางที่เธอยืนอยู่ ศุภิสราหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นร่างสูงผละจากมารดา เดินตรงดิ่งมาทางที่เธอยืนอยู่ ร่างเล็กผงะถอยหลังไปแอบอยู่ข้างตึก และเตรียมถอยหนีกลับไปทางเก่า หากแล้วแขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากไว้“จะรีบหนีไปไหนล่ะ หา...” เสียงห้าวสะกดตรึงร่างเล็กไว้กับที่ “จะมาเยาะเย้ยฉันไม่ใช่เหรอ แล้วจะรีบเดินหนีทำไม”“มะ...ไม่ใช่นะคะ โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะแรงที่บีบแขนไว้แน่นทำให้เจ็บ“ไม่ใช่อะไร” น้ำเสี
“เปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด” คนเหมือนลูกหมาตกน้ำคลี่ยิ้มบางๆ พลางวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเป็นระเบียบ ก่อนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าตามที่เคยถูกสอนเสมอ ‘ไปต้องลา มาต้องไหว้’ มารยาทที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยขัดเกลาให้กิริยามารยาทเรียบร้อย“คุณท่านเข้าห้องไปแล้วหรือคะ”“ค่ะ เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ก่อนคุณมาครู่เดียว”“โอ้ย... เหนื่อยจังค่ะ” ว่าแล้วร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ“วันนี้ทำไมกลับค่ำนักละคะ”“ก็ยัยตรีน่ะสิคะ ยึดตัวไว้จะให้เข้าประชุมชมรมให้ได้ ปีนี้เขาว่าจะจัดแสดงละครเวที งานนี้คุณตรีรักษ์รับเป็นแม่งานเชียวนะคะ เลยต้องเข้าประชุมกับเขาเกือบทุกวัน แต่พรุ่งนี้ทรายว่าจะแอบโดดล่ะ...” สุ้มเสียงคนพูดมีรอยสนุกซุกซน“อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” คนพูดไม่เข้าใจ“ก็พรุ่งนี้แม่งานใหญ่เขาว่าจะคัดตัวนักแสดง”“แล้วทำไมคุณต้องโดดล่ะคะ” แม่อบมองหน้าใสๆ อย่างงุนงง“ขี้เกียจไปเป็นต้นไม้หรือก้อนหินให้เขาน่ะสิคะ เข็ด!” คนพูดหัวเราะร่วนเสียงใสยามนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตกกระไดพลอยโจนให้ต้องขึ้นเวทีเพราะคนเป็นเพื่อนขอร้องแกมบังคับ‘วันนี้คนที่แสดงเป็นต้นไม้ป่วย ทรายช่วยขึ้นแทนทีสิ ไม่มีบทพูด
หญิงสาวค่อยๆ ลากหีบไม้ใบเก่าออกมาจากใต้เตียง เมื่อเปิดออกจึงเห็นซองจดหมายมากมายที่ซ้อนทับไว้อย่างเป็นระเบียบ... ทุกซองจ่าหน้าเหมือนกัน แถมมีวันที่กำกับพร้อม ที่หมายคือประเทศอังกฤษ ก้นหีบนั้นมีเศษผ้าเช็ดหน้าขาวบางขลิบลูกไม้ซีดตามกาลเวลาที่เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะทะนุถนอมไว้อย่างดี ดวงตาหวานซึ้งกะพริบถี่ไล่ละอองน้ำให้ระเหยไป นับจากวันที่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายวันนั้นมาก็ไม่เคยมีใครได้เห็นน้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อยอีก แม้ถูกแกล้งแค่ไหนก็ไม่ยอมเสียน้ำตาให้ใครหากวันนี้คำว่า... ของฝากจากอังกฤษ... สะกิดความทรงจำเก่า เดิมทีทุกคราวที่คุณพราวกลับจากอังกฤษจะมีของมาฝากคนในปกครองอยู่เสมอ ทุกคนจะได้รับน้ำใจลดหลั่นลงไปตามความโปรดปรานของผู้ให้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กรับใช้หรือกระทั่งคนสวน หรือแม้แต่คนใกล้ตัวอย่างแม่อบก็เถอะ คนอยู่ไกลก็ยังเผื่อแผ่น้ำใจมาถึงจะมีก็เพียง... เธอคนเดียว... เท่านั้นที่ตกสำรวจ ไม่เคยจะได้รับน้ำใจจากคนอยู่แดนไกลแม้เพียงสักครั้งเดียว เขาผู้นั้นคงเกลียดเธอจนเข้าไส้ หรือไม่ก็อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าศุภิสรายังมีตัวตนอยู่ในบ้านของเขา “ดี...ลืมซะ ลืมให้สนิทไปเลยได้ยิ่งดีว่ามีเราอยู่บนโลกอีกค
“เปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด” คนเหมือนลูกหมาตกน้ำคลี่ยิ้มบางๆ พลางวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเป็นระเบียบ ก่อนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าตามที่เคยถูกสอนเสมอ ‘ไปต้องลา มาต้องไหว้’ มารยาทที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยขัดเกลาให้กิริยามารยาทเรียบร้อย“คุณท่านเข้าห้องไปแล้วหรือคะ”“ค่ะ เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ก่อนคุณมาครู่เดียว”“โอ้ย... เหนื่อยจังค่ะ” ว่าแล้วร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ“วันนี้ทำไมกลับค่ำนักละคะ”“ก็ยัยตรีน่ะสิคะ ยึดตัวไว้จะให้เข้าประชุมชมรมให้ได้ ปีนี้เขาว่าจะจัดแสดงละครเวที งานนี้คุณตรีรักษ์รับเป็นแม่งานเชียวนะคะ เลยต้องเข้าประชุมกับเขาเกือบทุกวัน แต่พรุ่งนี้ทรายว่าจะแอบโดดล่ะ...” สุ้มเสียงคนพูดมีรอยสนุกซุกซน“อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” คนพูดไม่เข้าใจ“ก็พรุ่งนี้แม่งานใหญ่เขาว่าจะคัดตัวนักแสดง”“แล้วทำไมคุณต้องโดดล่ะคะ” แม่อบมองหน้าใสๆ อย่างงุนงง“ขี้เกียจไปเป็นต้นไม้หรือก้อนหินให้เขาน่ะสิคะ เข็ด!” คนพูดหัวเราะร่วนเสียงใสยามนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตกกระไดพลอยโจนให้ต้องขึ้นเวทีเพราะคนเป็นเพื่อนขอร้องแกมบังคับ‘วันนี้คนที่แสดงเป็นต้นไม้ป่วย ทรายช่วยขึ้นแทนทีสิ ไม่มีบทพูด
เช้าวันนั้น ศุภิสราเดินออกไปรอรถจะไปโรงเรียนเช่นเคย ขณะที่ผ่านหน้าตึกใหญ่ ร่างเล็กต้องรีบหยุดทันควัน เมื่อเห็นคนทั้งบ้านมายืนออหน้าประตูตึกใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความสังหรณ์ใจทำให้หนูน้อยแอบเตร่เข้าไปยืนแอบมองใกล้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง คนตัวเล็กเขย่งกายชะเง้อมอง จนกระทั่งได้เห็น...ศุภิสราใจหายวาบเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่คนรถกำลังขนขึ้นไว้ท้ายรถ โดยมีประมุขของบ้านยืนมองคุมความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนคุณพราวพิไลเฝ้าแต่กอดลูกชายไว้แนบอกร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ร่างสูงของเด็กชายในชุดแปลกตา ดวงหน้าคมคายเรียบสนิท แม้นัยน์ตาจะแดงๆ แต่ไม่มีหยดน้ำตาให้เห็น แล้วจู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เบนมาทางที่เธอยืนอยู่ ศุภิสราหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นร่างสูงผละจากมารดา เดินตรงดิ่งมาทางที่เธอยืนอยู่ ร่างเล็กผงะถอยหลังไปแอบอยู่ข้างตึก และเตรียมถอยหนีกลับไปทางเก่า หากแล้วแขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากไว้“จะรีบหนีไปไหนล่ะ หา...” เสียงห้าวสะกดตรึงร่างเล็กไว้กับที่ “จะมาเยาะเย้ยฉันไม่ใช่เหรอ แล้วจะรีบเดินหนีทำไม”“มะ...ไม่ใช่นะคะ โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะแรงที่บีบแขนไว้แน่นทำให้เจ็บ“ไม่ใช่อะไร” น้ำเสี
“หืม?” คุณพรรณรายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หันไปมองหน้าเด็กในปกครองเชิงถาม“แล้วนั่นเราไปโดนอะไรมา ทำไมมอมแมมอย่างนั้น เข้ามาใกล้ๆ ซิ” เมื่อคนพูดคือคุณพรรณราย คนตัวเล็กจึงหมดสิทธิ์เลี่ยงอีกต่อไปต้องรีบคลานเข่าเข้าไปหา“สงสัยฝีมือพวกใจยักษ์บนตึกนั่นแหละค่ะ พวกนายว่าขี้ข้าพลอยทั้งนั้น”“จริงอย่างที่แม่อบว่าหรือเปล่า หืม?” คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบ ดวงหน้าหวานสลดเศร้าทำให้คนมองอ่อนอกอ่อนใจ“เอาเถอะๆ มีอะไรก็กินกันไปก่อนแล้วกัน” คุณพรรณรายตัดบท พลางหันไปสบตากับคนสนิทที่ยืนหน้างออย่างหนักอกหนักใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องได้ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเป็นห่วง เมื่อลับหลังคนตัวเล็ก ทั้งคู่จึงได้โอกาสปรับทุกข์ต่อกันเบาๆ“คุณพราวพิไลนี่ก็เหลือเกิน” แม่อบถอนหายใจ“จะไปว่าเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ถึงยังไงตาเพชรก็เป็นลูกเขาทั้งคน แค่ไปอยู่ไกลตาก็ห่วงแล้ว นี่จะส่งไปอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา ใครจะไปทนไหว”“นี่ตกลงว่าคุณเพชรต้องไปเมืองนอกแน่ๆ แล้วเหรอคะ” แม้ไม่เคยเลี้ยงดู ทว่าเมื่อเป็นหลานของเจ้านายก็ทำให้อดห่วงไม่ได้“แน่สิ ได้ยินพ่อเขาว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว กำหนดวันเดินทางก็คงเร็วๆ นี้ล่ะ” “แต่คุณไกรภพก็ใจแข็งเหลื
“พี่จะพาน้องทรายไปอยู่บ้านด้วยไง ดีไหม” คนฟังถึงกับอึ้ง แต่พอเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจพยักหน้ารับไป“ก็ได้ค่ะ แต่งก็ได้”“จริงๆ นะจ๊ะ สัญญาก่อน” โทรินทร์ชูนิ้วก้อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่คนตัวเล็กก็ยอมยกนิ้วก้อยเกี่ยวก้อยตอกย้ำคำสัญญานั้น “ไชโย้...” โทรินทร์ตะโกนอย่างสมหวัง หากเขามัวดีใจจนไม่ทันเห็นสิ่งที่ซ่อนลึกในลูกแก้วคู่งามนั้น‘ดีเหมือนกัน ไปจากที่นี่ซะ ไม่มีเราสักคน เขาคนนั้นจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุขสักที...’ไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่ศุภิสราหวังก็พังทลายลงพร้อมกับพายุใหญ่ “คุณพี่ว่ายังไงนะคะ!” เสียงเอะอะโวยวายดังคับบ้าน “จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก”“เบาๆ หน่อยเถอะ คุณพราว เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นทั้งบ้าน” ประมุขของบ้านปราม“ช่างหัวมันปะไร ดิฉันไม่สน ตอบมาสิคะ ทำไมตาเพชรต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย หรือว่าเป็นแผนเฉดหัวพวกเราออกไปจากบ้านนี้ให้หมด เริ่มจากลูกก่อน อีกหน่อยก็คงเป็นฉัน” คุณพราวพิไลตีโพยตีพายทั้งน้ำตาคุณไกรภพถอนหายใจ แม้จะเตรียมใจตั้งรับมาแล้วว่าต้องพบเหตุการณ์นี้จากภรรยา ทว่าที่ไม่คาดคิดคือแม้แต่คนในบ้านก็เป็นไปด้วย“วันนี้งดปิ
“บราวนี่!”เสียงแหลมเล็กตะโกนลั่น ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งหันขวับ เด็กหญิงตัวป้อมที่เธอจำได้ว่าชื่อ เฟื่องตะวัน ยืนชี้โบ้ชี้เบ้มาทางที่เธอพลางป้องปากตะโกนลั่น“บราวนี่อยู่ทางนี้ค่ะ พี่เพชร!” ชื่อที่หลุดออกจากปากแดงจิ้มลิ้ม ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกวูบลงไปกองที่ตาตุ่มทันที“เอาหมาของเขาคืนมานะ ยัยหัวขโมย!” จู่ๆ มือกลมป้อมก็จู่โจมเข้ามาจะคว้าตัวเจ้าขนปุยไปจากอ้อมแขน ทำให้ศุภิสราตกใจเผลอเกร็งแขนไว้เพราะกลัวเจ้าหมาน้อยตกลงพื้น การยื้อแย่งจึงเกิดขึ้น จนเจ้าตัวฟูก็เกิดตกใจจึงงับแขนเรียวเล็กของศุภิสราจนต้องปล่อยมือจากมันกะทันหัน ทำให้เฟื่องตะวันถลาล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปคลุกฝุ่นที่พื้นทันที“น้องเฟื่อง!” คนที่เดินตามเข้ามาทีหลังร้องเรียกอย่างตกใจ“พี่เพชรคะ ฮึกๆ ช่วยด้วยค่ะ... ยัยเด็กนี่ผลักเฟื่อง โอย เจ็บ...ฮือ” คนก้นจ้ำเบ้าโอดครวญ ทำให้เด็กชายตัวสูงต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แววตาเย็นชาทำให้คนตัวน้อยสะดุดลมหายใจ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี “นี่แหน่ะ!” ก่อนจะทันรู้ตัว คนตัวป้อมที่ถลันหลุดจากวงแขนของพีรภัทรเข้ามาผลักสุดแรงบ้าง แต่ก่อนที่ศุภิสราจะล้มลงบาดเจ็บ มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาดึงร่างคนถลาเป็นนกปีกหั
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน