ธนภพยอมรับหมดใจเลยว่าตอนนี้เขาหลงเด็กในปกครองของตัวเองจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว แค่มีเธออยู่ใกล้ๆ เขาก็พร้อมจะเสียการควบคุมตัวเองชนิดที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน แม้แต่ประภาพรรณภรรยาผู้ล่วงลับ ภาวิดาเหมือนขนมหวานที่คนกินต้องติดใจ
View More“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ”
คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน
“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”
“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆ
บุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมอง
ข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน
‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะกระโจนเข้าไปในกองเพลิง ดีแต่คนรอบข้างคอยยื้อหนูน้อยไว้ไม่ให้ทำตามใจได้ ดวงหน้าที่มอมแมมด้วยเขม่าควันดำถอดแบบมาจากสาวเคราะห์ร้ายผู้นั้นราวกับพิมพ์เดียวกันร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ และนี่เองคือเหตุผลที่เขาต้องรีบมาที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้ สายเลือดในอกแห่งเธอผู้นั้นคือสายใยเดียวที่ทำให้เขาเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวที่ติดค้างในหัวใจมาจนถึงวันนี้
“น่าสงสารนะคะ แม่ก็ต้องมาตายเสียในกองไฟ ญาติก็ไม่มีสักคน ยังดีที่มีพลเมืองดีเวทนาเอาตัวมาส่งให้เราเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องเร่ร่อนเป็นภาระสังคมแน่ทีเดียว”
“แล้วพ่อของเด็กล่ะครับ”
“ไม่ทราบสิคะ ตอนมีคนพามาส่งก็ถามแล้วนะคะ แต่ไม่มีใครทราบเลย แถมเด็กก็ไม่ยอมพูดยอม ถามอะไรก็เอาแต่ร้องไห้ นี่ดีขึ้นมากนะคะไม่ค่อยร้องหนักเท่าวันแรก”
“เด็กคนนี้ชื่ออะไรครับ”
“เห็นเจ้าตัวบอกว่าชื่อศุภิสรา ธนวิจักร และชื่อเล่นว่า ‘ทราย’ ค่ะ” ดวงหน้าหวานของเด็กตรงหน้าคงดูสดใสขึ้น หากถูกระบายด้วยรอยยิ้ม เฉกเช่นเด็กสาวแสนสวยที่เขาคุ้นเคยในอดีตที่ติดตรึงใจมากว่าสิบปี อดีตที่อยากลืมแต่กลับเด่นชัดในความทรงจำ จนถึงวันหนึ่งที่เธอผู้นั้นพาความทรงจำแสนงดงามหายไปเหลือไว้เพียงความเจ็บปวดในใจ
“แล้วถ้าผมจะรับเด็กคนนี้ไปอุปการะต้องทำยังไงบ้างครับ”
เมื่อรถเก๋งคันงามแล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยที่เปิดอัตโนมัติ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเด็กหญิงวัยสิบขวบคือ บ้านสีขาวหลังงามที่ใหญ่โตราวกับปราสาทในเทพนิยายที่มารดาเคยเล่าให้ฟัง รอยหม่นหมองในดวงตาคู่สวยเริ่มมีความหวังขึ้นอีกครั้ง หลังจากบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยซุกหัวนอนถูกไฟผลาญวอดวาย จนพรากแม่สุดที่รักไปจากเธออย่างไม่มีวันกลับ
“ชอบบ้านใหม่หรือเปล่าหนูทราย” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามอย่างเอ็นดู
“บ้านคุณลุงสวยเหมือนปราสาทของเจ้าหญิงในนิทานของแม่เลยค่ะ” ทราย หรือ ศุภิสรา ยิ้มเศร้าๆ เมื่อเอ่ยถึงคนเป็นแม่ น้ำตาก็เริ่มรื้นขึ้นในลูกแก้วงามคู่นั้นอีกครั้ง “แต่หนูอยู่ที่นี่ได้จริงๆ เหรอคะ” คำถามไร้เดียงสานั้นทำให้คนฟังสะท้อนใจ อดคิดถึงเด็กสาวอีกคนในอดีตขึ้นมาไม่ได้
‘ศศิลดา’ รักแรกและรักเดียวของเขา คนที่เคยฝากบาดแผลไว้ในหัวใจมาเนิ่นนาน หากแต่เหนือสิ่งใดแล้วยังมีอะไรบางอย่างในตัวเด็กหญิงที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันและเอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษตั้งแต่เมื่อแรกที่ได้พบ
“จริงสิจ๊ะ จากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านของหนู และลุงสัญญานะว่าจะดูแลหนูอย่างดีที่สุด” คุณไกรภพดึงร่างเล็กเข้ามากอดอย่างเอ็นดู ทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตด้วยความตื้นตัน แต่ด้วยความอ่อนเดียงสา ทำให้หนูน้อยไม่ทันสังเกตเห็นรอยกังวลของผู้มากวัยกว่าที่รู้ดีแก่ใจว่า ‘ปัญหาใหญ่’ ต้องเกิดขึ้นแน่
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน
“คะ...คุณท่าน!”“หืม? คุณท่าน?” คนถูกเรียกเลิกคิ้ว พลางหันไปมองคนสนิทแวบหนึ่งอย่างนึกรู้ “เอาๆ คุณท่านก็คุณท่าน ตอนนี้ก็เข้าบ้านกันก่อนเถอะ” คุณพรรณรายตัดบท ก่อนนำเข้าไปในบ้าน โดยมีเด็กน้อยถือห่อผ้าก้าวตามเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆห้องนั่งเล่นขนาดย่อม ถูกทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง มีชั้นใส่หนังสือสูงท่วมศีรษะ ที่น่าสนใจคือเปียโนสีดำ ที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ทำให้เด็กน้อยต้องชะเง้อมองอย่างสนอกสนใจ“ชอบเปียโนหรือจ๊ะ?” คนถูกถามหน้าตาเหรอหรา“เอ่อ ชะ...ชอบค่ะ แต่แม่ไม่ชอบ” “หืม อะไรนะ? เข้ามาใกล้ๆ นี่ซิ” เด็กน้อยยืนนิ่ง เสียงเข้มจึงสำทับ“เข้าไปใกล้ๆ คุณท่านสิคะ” อะไรบางอย่างในตัวหญิงมากวัยบนวีลแชร์ทำให้เด็กหญิงรู้สึกเกรงขามแต่เพราะความสนใจใคร่รู้ จึงเผลอมองเสี้ยวหน้าที่ถูกผ้าคลุมบดบังอยู่หลายนาที จนมีเสียงกระแอมเบาๆ จากแม่อบ นั่นแหละคนตัวเล็กจึงทรุดตัวลงนั่งพับเพียบข้างๆ รถวีลแชร์นั้น“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน” ดวงตาดุที่ทอดมองมาแฝงด้วยความปรานี “เธอชื่ออะไร”“ซะ...ทราย...” ท้ายประโยคมีเสียงกระแอมแทรกขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ... ค่ะ”“ชื่อจริงล่ะ”“ศุภิสราค่ะ”“ศุภิสรา... ศศิลดา...” ชื่อหลังที่เอ่
“หย่างั้นเหรอ” คุณไกรภพยิ้มเหี้ยม คำว่า...หย่า คงทำให้เขารู้สึกยินดีปรีดามาก หลังจากต้องฝืนทนใช้ชีวิตคู่ที่กระท่อนกระแท่นไร้ความสุขกับหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยามานาน การแต่งงานที่มีรากฐานมาจากความผิดพลาดของเขา บวกกับความระแวงไม่ไว้ใจของเธอ ฉะนั้นการหย่าร้างก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี ถ้าหากไม่มี... โซ่ทองคล้องใจคุณไกรภพปรายตามองลูกชายที่ยืนหน้าซีดเผือด ช็อกกับคำขาดของผู้เป็นแม่ พีรภัทร ลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวที่คล้องใจไม่ให้ขาดสะบั้นกับภรรยาดังที่ใจเขาปรารถนา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่คุณพราวพิไลรู้ดียิ่ง“ว่ายังไงล่ะ เลือกเอาถ้ามีฉันกับลูก ก็ต้องไม่มีเด็กคนนี้ในบ้าน” คุณพราวพิไลตวัดเสียงอย่างเป็นต่อ“งั้นก็ให้เด็กมาอยู่กับฉันแล้วกัน!” เสียงทรงอำนาจแทรกขึ้นท่ามกลางสงครามคุกรุ่น“คุณพี่” “พี่พรรณ”“ว่าไงล่ะ ถ้าไม่มีใครต้องการล่ะก็ ฉันจะขอรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เอง ได้ไหมคุณไกร” คุณไกรภพขยับจะปฏิเสธความหวังดีนั้น หากพอมองหน้าคนในคุ้มครองที่สั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวต่อเหตุการณ์เบื้องหน้า ก็เกิดความลังเล ถ้าปล่อยให้ศุภิสราอยู่ร่วมบ้านต่อไป คุณพราวพิไลคงจองเวรเด็กน้อยไม่เลิก“ครับ คุณพี่ ผมไม่ขัด
“เพ้อเจ้อน่า นั่นคุณลุงไกรวิ่งมานู่น แกอย่าพูดมากเชียว” คนเป็นพ่อชี้หน้าคาดโทษ เด็กชายแอบเบ้ปาก แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้คุณไกรภพอุ้มคนตัวเล็กลงจากรถไปอย่างขัดเคืองใจ“โถ... เจ็บมากไหมลูก” คุณไกรภพมองหน้าฟกช้ำของเด็กน้อยอย่างสงสารจับใจ “ลุงขอโทษนะลูก ลุงขอโทษ”“ไม่เจ็บแล้วค่ะ” ศุภิสราเอ่ย พลางเหลือบตามองคนที่เดินลงจากรถมายืนตาขวางข้างๆ“ผมขอบคุณมากนะครับคุณเอกที่เป็นธุระให้”“ไม่เป็นไรครับ งั้นลุงไปก่อนนะคะหนูทราย หายเร็วๆ นะลูก” คุณพงศ์เอกรีบตัดบท ก่อนรุนหลังลูกชายขึ้นรถ เด็กชายก็เหลียวกลับไปมองด้านหลังอย่างเข่นเขี้ยว“คอยดูนะ ถ้าน้องทรายต้องเจ็บตัวอีกล่ะก็...ผมจะไปดักตีหัวคนทำ”“หา! ว่าไงนะ” คนฟังตาเหลือก “เจริญล่ะไอ้ตัวแสบ หาเรื่องให้ฉันปวดหัวอีกแล้ว”“แล้วโตขึ้นผมจะไม่เป็นทนายเหมือนพ่อละนะ”“อ้าว... แล้วแกจะเป็นอะไร ฮึ เจ้าโท” คนเป็นพ่อถามยิ้มๆ อารมณ์ดี“ผมจะเป็นหมอ!” เด็กชายยึดอกประกาศอย่างภาคภูมิ“หา!” ทนายใหญ่อ้าปากค้าง “หมออะไร หมอดู หรือว่าปลาหมอ หา”“ไม่เชื่อพ่อก็คอยดู” เด็กชายฮึดฮัดหันกลับไปมองประตูรั้วของบ้านที่เพิ่งจากมาอย่างหมายมาด คอยดูนะ เขาจะต้องเป็นหมอให้ได้ จะได้ปกป้อ
“พะ... พี่โท!”“ก็ใช่น่ะสิ โอย...” โทรินทร์ครางหน้าเหยเก แต่ไม่ยอมปล่อยแขนจากร่างน้อย “เกือบทำฉันตายไปด้วยแล้วรู้ไหม”“แล้วมาช่วยทำไม”“หนอย ทำคุณบูชาโทษ อุตส่าห์ช่วยไม่ให้ถูกรถทับตายกลับได้บาป ฮึ มันน่า…” คนพูดเงื้อง้ามะเหงกขึ้นอย่างมันเขี้ยว คนตัวเล็กกว่าหลับตาปี๋ วินาทีนั้นเอง จู่ๆ มะเหงกก็กลายเป็นลูบลงบนเส้นผมสลวยของเธอแทน“โป้งแปะ หาตัวเจอแล้ว” เด็กชายยิ้มให้พลางปาดน้ำตาให้คนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา “รีบเดินจ้ำอ้าวแบบนี้จะไปไล่ควายที่ไหนหืม?”พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมายื่นให้ ดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปควายเขาโง้ง ที่ตอนนี้เขาข้างหนึ่งหัก แถมหน้ายุบบี้แบนไปแถบหนึ่งเพราะโดนทับ ทำให้เจ้าของบ่นอุบอิบ“ว้า...สงสัยตอนกลิ้งเมื่อกี้ล่ะสิ เสียดาย กะว่าจะเอามาฝากซะหน่อย อะ...ให้”“พี่โทตามมาได้ยังไงคะ”“ก็ตามรอยเลือดมาน่ะสิ” คนพูดรีบคว้ามือน้อยๆ ขึ้นมาซับเลือดให้เบาๆ ก่อนรวบร่างบางนั้นมากอดปลอบโยน“โอ๋ๆ เจ็บมากไหม ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรน้องทรายได้ ลองมาสิจะให้ควายขวิดไส้แตกเลย คอยดู”ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้คุณพงศ์เอก ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอ
“ก็เห็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ...” คุณพรรณรายยอมรับ มันก็น่าอยู่หรอกที่น้องสาวของเธอจะเดือดดาลได้ถึงขนาดนั้น แม้ไม่อยากจะเชื่อ หากทว่าเค้าโครงหน้าที่เล่นถอดพิมพ์เดียวกันออกมาแบบนี้ มีหรือที่น้องสาวของเธอจะไม่ยอกแสยงในอก ยิ่งมาอยู่ร่วมชายคาด้วยแล้ว ก็เหมือนกับกอดระเบิดเวลาเอาไว้ไม่มีผิด หากทว่ามันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ ในเมื่อเธอเองก็มีสถานการณ์ไม่ต่างจากเด็กหญิงผู้น่าสงสารนี้“ผมเพิ่งทราบเรื่องของคุณพี่ เสียใจด้วยจริงๆ นะครับ คนดีๆ อย่างคุณพจน์ไม่น่ามาด่วนจากไปแบบนี้เลย” คุณไกรภพเอ่ยพลางเข้าช่วยเข็นรถพี่สาวภรรยาไปทางห้องรับแขก ดวงตาเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงสามีผู้ล่วงลับไปอย่างกะทันหัน ทั้งที่หน้าที่การงานของเขากำลังรุ่งโรจน์จนเกือบจะขึ้นไปถึงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอยู่ร่อมร่อ“แล้วนี่คุณพี่จะกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่าครับ”“ค่ะ ก็คงอย่างนั้น พอสิ้นคุณพจน์ ที่นู่นก็ไม่มีใคร”“ก็ดีสิครับ นี่คุณแม่คงดีใจที่ลูกสาวมาอยู่เป็นเพื่อน” คนพูดไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่หม่นหมองลงทันควัน“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดก็คงดี” คุณพรรณรายขอบตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนเอง“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
ประกาศิตกร้าวของคนเลือดเย็นตรงหน้าทำเอาคนฟังน้ำตาร่วงเผาะ แล้วทันใดนั้นเองน้ำเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น“ทำอะไรกันน่ะ” ร่างของคุณพราวพิไลปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาเอาเรื่องกวาดมองข้าวของที่เกลื่อนกลาด หากพอมองเห็นลูกชายยืนนิ่ง มือที่กุมกันมีรอยเลือด เท่านั้นเองเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้าง“ตาเพชร!” คุณพราวพิไลตวัดหางตาไปที่ร่างเล็กที่พื้นอย่างเอาเรื่อง “แกกล้าดียังไงเข้ามาทำร้ายลูกชายแบบนี้ หา...”“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวน้อยละล่ำละลักปฏิเสธทั้งน้ำตา“เปล่าอะไร ก็ฉันเห็นตำตาอยู่นี่ ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ”“มีอะไรกัน แม่พราว!” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนที่โครงหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีดำมีเค้าประพิมประพายกับคุณพราวพิไล แต่มากวัยกว่า ร่างแบบบางในชุดสีโศกนั่งบนวีลแชร์เข้ามา“ก็นังเด็กเลวนี่น่ะสิคะ จะฆ่าหลานชายคุณพี่ ดูสิเลือดโชกเลย โถ... ตาเพชรลูกแม่” หญิงมากวัยเขม่นตามองจำเลยร่างเล็กมอมแมมที่นั่งตัวสั่นงันงกแล้วนึกขำน้องสาวที่โอเวอร์เกินเหตุ คนถูกมองเหมือนรู้ตัวเงยหน้ามองผู้มาใหม่“เอ๊ะ! นี่มัน...” โดยไม่มีใครคาดคิด ฝ่ามือเรียวก็ฟาดลงมาบนใบหน้าเด็กน้อยทันใด แก้มใสขึ้นรอยนิ้วมือแดงเห่อเป็นปื้น
Comments