เมื่อถึงหน้าตึกใหญ่ รถของเจ้าของบ้านกลับไม่อาจจอดหน้าตึกได้ เพราะมีรถอีกคันจอดขวางอยู่ เด็กรับใช้รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนาย พลางจ้องมองเด็กน้อยที่ก้าวตามลงมาอย่างสงสัย
“เอาล่ะ เข้าบ้านกันดีกว่านะลูก”
“ลูก!” คนฟังอุทานเสียงสูง
“อ้อ...นี่คือคุณทราย! จะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำบอกกล่าวนั้นทำให้กลุ่มคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านชะงักไปตามๆ กัน
“นั่นลูกเต้าเหล่าใครกันคะ คุณพี่” หญิงวัยกลางคนที่เดินนำแผดเสียงถามอย่างดุๆ ไปทางผู้มาใหม่ ทำเอาคนถูกมองถึงกับสะดุ้งโหยงรีบแอบด้านหลังคุณไกรภพด้วยความตกใจ
“อ้าว จะกลับแล้วหรือครับคุณนิภา” ผู้เป็นสามีไม่ตอบกลับหันไปทักทายคนที่เดินตามมาแทน
“ค่ะ คุณไกร ต้องรีบไปรับคุณพิชิตกับตาฟ้าน่ะค่ะ” คุณนิภาพรมองเด็กหญิงตรงหน้าก่อนเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง “ยัยเฟื่องมากราบลาคุณลุงสิจ๊ะลูก”
เฟื่อง หรือ เฟื่องตะวัน คือเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับศุภิสรา ผู้มีรูปร่างหน้าตาตลอดจนการแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้านน่ารักราวกับตุ๊กตาแก้วเนื้อดี ต่างกับเด็กหญิงอีกคนราวฟ้ากับดิน เฟื่องตะวันยกมือไหว้ทุกคนอย่างน่ารัก แต่เมื่อแลสบตากับเด็กผู้มาใหม่ก็แอบแลบลิ้นใส่อย่างไม่เป็นมิตร ทำให้คนที่เผลอเยี่ยมหน้าออกมาต้องรีบหลบด้านหลังคุณไกรภพแทบไม่ทัน พอได้เห็นหน้าชัดๆ คุณพราวพิไลก็ตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
“ศศิลดา!”
“พี่เพชรขา ไว้คราวหน้าให้น้องเฟื่องมาเล่นตัวต่อเลโก้อีกนะคะ” เสียงกระเง้ากระงอดเรียกร้องความสนใจ
เพชร หรือ พีรภัทร บุรณากรณ์ เด็กชายตัวผอมสูง หน้าตาคมคายถอดแบบมาจากคุณพราวพิไลผู้เป็นมารดา หากแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนละม้ายคุณไกรภพผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน
“ได้สิครับ แต่คราวหน้าต้องชวนนายฟ้ามาด้วยนะ” นายฟ้าหรือเหนือฟ้าคือเพื่อนสนิทและเป็นพี่ชายคนเดียวของเด็กหญิง
“ไปกันได้แล้วจ้ะลูก ฉันไปก่อนนะยัยพราว มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันนะจ๊ะ” ท้ายประโยคคนพูดแอบกระซิบเบาๆ กับคนเป็นเพื่อนรัก ที่รู้จักนิสัยใจคอกันมานาน พีรภัทรส่งยิ้มให้เด็กหญิงในรถอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นทำให้คนยืนหลบอยู่ด้านหลังคุณไกรภพถึงกับแอบชะโงกหน้าออกมามองอย่างลืมตัว
“เด็กคนนั้นใครคะ!” คนถูกถามทำเป็นไม่สนใจคำถามของภรรยา แต่กลับหันไปเอ่ยกับลูกชายคนเดียวแทน
“ตาเพชร มานี่สิลูก พ่อมีคนจะแนะนำให้รู้จัก” คุณไกรภพยิ้ม พลางเบี่ยงตัวให้เด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลังตัวเองออกมายืนด้านหน้า “หนูทรายคะ นี่คือพี่เพชร ลูกชายของลุงเอง”
เด็กหญิงส่งยิ้มให้เด็กชายที่ตัวโตกว่าอย่างเป็นมิตร ขณะที่อีกฝ่ายยืนนิ่ง ดวงตาคมกริบถือโอกาสสำรวจผู้มาใหม่อย่างถี่ถ้วน
“ตาเพชร นี่น้องทรายนะลูก ตั้งแต่วันนี้ไปน้องจะมาอยู่บ้านเราในฐานะน้องสาวของลูก รู้จักกันไว้สิ...”
“ว่าไงนะคะ” เสียงแหลมปรี้ดตวาดแว้ด “คุณว่ายัยเด็กนี่เป็นอะไรนะ...”
“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะคุณพราว อายเด็กๆ บ้างสิ”
“ช่างหัวมันเหอะ คุณยังไม่ตอบฉันเลย ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร อย่าบอกนะว่ามันเป็นลูกเมียน้อยของคุณ?”
“เหลวไหลน่าคุณ” คุณไกรภพปราม นึกสงสารเด็กหญิงข้างกายไม่น้อย “แก้วพาคุณทรายไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน แล้วให้ใครไปทำความสะอาดห้องข้างบนไว้ด้วย หนูทรายเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวลุงตามไป ขอคุยธุระกับคุณป้าเดี๋ยว”“ใครเป็นป้ามันไม่ทราบ ฉันไม่มีหลาน มีแต่ลูกชายคนเดียวคือลูกเพชรคนนี้ต่างหาก” คนพูดกระชับร่างลูกชายเข้ามากอด“แล้วก็ห้องพักข้างบนน่ะ มีไว้สำหรับคนในครอบครัวฉันเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ไม่ใช่ ถ้าอยากให้อยู่นักล่ะก็ ไปอยู่ที่ห้องเก็บของหลังบ้านก็แล้วกัน”“คุณพราว!”“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ บุญเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ไล่ตะเพิดมันไป คุณเองก็เถอะ จำไม่ได้หรือไงว่าแม่มันทำอะไรไว้บ้าง คอยดูเถอะ อีกหน่อยยัยเด็กนี่ก็ไม่พ้นต้องทำให้พวกเราเดือดร้อนเหมือนแม่มันนั่นแหละ”“หยุดนะ คุณพราว!” คุณไกรภพตวาดอย่างเหลืออด“ฉันไม่หยุด คุณจะทำไม จะฆ่าจะแกงฉันเพราะเด็กคนนี้ก็เอาสิ ให้มันรู้ไปว่าคุณจะเห็นคนอื่นดีกว่าลูกเมียตัวเอง”“พราวพิไล!” คราวนี้ร่างสูงตรงเข้ากระชากแขนของผู้เป็นภรรยาบีบอย่างแรงด้วยความโกรธจัด จนอีกฝ่ายน้ำตาคลอเบ้า แต่ด้วยทิฐิแรงกล้าทำให้คุณพราวพิไลต้องกัดฟันไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ“คุณพ่อ ปล่อยคุ
บ่ายวันหนึ่งที่คุณผู้หญิงมีแขกคนสำคัญมาเยือน เด็กหญิงจึงต้องหลบมุมไปทางสวนหลังบ้านแทน แต่ดูเหมือนมาช้าไป ที่นั่งเล่นประจำของเธอตอนนี้ถูกยึดไปทำเป็นร้านขายข้าวแกง โดยมีแม่ค้าตัวน้อย และลูกค้าเพียงคนเดียวคือลูกชายเจ้าของบ้าน จนทำให้คนเดินผ่านอดหยุดมองอย่างสนใจไม่ได้“อ้าว...นั่นเด็กคนที่เจอวันก่อนนี่คะพี่เพชร”“น่ารำคาญชะมัด” พีรภัทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลด รีบก้มหน้างุดๆ จะเดินหนี“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาเล่นด้วยกันสิ” คำชวนนั้นทำเอาคนถูกชวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว“น้องเฟื่องไปชวนเขาทำไม” เสียงแข็งๆ ทักท้วง แทบไม่มองหน้าคนที่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ“ทำไมล่ะคะพี่เพชร เราเล่นแค่สองคนไม่สนุกหรอก” เด็กหญิงเฟื่องตะวันประท้วง อันที่จริงเล่นสองคนก็สนุกดีอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่คนตัวโตที่รับบทเป็นลูกค้าคนเดียวนั้นจะเต็มใจเล่นด้วย “ถ้าอยากเล่นกับเขานักก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน พี่จะเข้าบ้านล่ะ” พีรภัทรลุกพรวดพราดจะเดินหนี“เดี๋ยวสิคะพี่เพชร รอเฟื่องด้วย” เฟื่องตะวันรีบลุกตาม แต่เพราะขาเป็นเหน็บชา ทำให้เธอหงายหลังผึ่งก้นจ้ำเบ้าทันที ด้วยความเจ็บปนตกใจทำให้เจ้าตัวแผดเสียงร้องจ้า คนอ
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตวาดกึกก้องราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กน้อย แก้วรีบปล่อยมือจากต้นแขนเล็กๆ ทำให้ร่างเด็กหญิงผู้น่าสงสารทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที“หนูทราย” คุณไกรภพปราดเข้ามาประคองร่างเล็กนั้นอย่างเวทนา ขาที่ถูกฟาดจนแตกยับมีรอยเลือดไหลซิบๆ ทำให้เต้องขาสะเทือนใจ มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเล็กกำรอบที่มีรอยเล็บครบทั้งห้าจนห้อโลหิตด้วยความโมโห“หนูทรายทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องมาเฆี่ยนตีรุนแรงอย่างนี้” คนถูกถามเม้มปากแน่น ดูเอาเถอะ สามีสุดที่รักเข้าข้างคนอื่นต่อหน้าต่อตา“คุณก็ถามมันเองสิคะ ว่ามาแกล้งหนูเฟื่องทำไม”“ไม่จริงค่ะ! หนูไม่ได้ทำ ถ้าไม่เชื่อ คุณลุงลองถามคุณเพชรดูก็ได้ค่ะ” คุณไกรภพจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างชั่งใจ“ใครไปตามตาเพชรมาซิ”“นี่คุณเชื่อยัยเด็กนี่มากกว่าฉันหรือไง” คุณพราวพิไลตัดพ้อ“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ไปตามตาเพชรมานี่ เดี๋ยวนี้”เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง คุณพราวพิไลรีบดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความหวงแหน พลางส่งสายตาเคียดแค้นให้สามี“ไหนลองเล่าให้พ่อฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น หนูทรายแกล้งหนูเฟื่องอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”พีรภัทร
“นั่นเสียงใครน่ะ เจ้าโทเรอะ” เสียงร้องถามดังมาจากในบ้าน ทำให้ศุภิสราตกใจรีบหลบเข้าข้างหลังคุณไกรภพทันที“ผมเองครับคุณป้า” คุณป้า หรือ คุณฝนทอง วรรณยุกต์ ขยับแว่นมอง“อ้าว นั่นคุณไกรมิใช่รึ ลมอะไรพัดมาละจ๊ะ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนลูก” หญิงสูงวัยยิ้มแย้มเชื้อเชิญเพื่อนกึ่งเจ้านายของลูกชายตน“คุณป้าสบายดีหรือครับ”“โอ้ย ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละพ่อคุณ”“แล้วนี่คุณเอกไปไหนล่ะครับ”“พ่อเอกไม่อยู่หรอกจ้า พาแม่ลูกสาวเขาไปเรียนดนตรีอะไรนู่นแน่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะจ้ะ อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนกัน”“หนูทรายไหว้คุณยายสิลูก”“หนูทราย” คุณฝนทองทวนคำ พลางหรี่ตามองร่างเล็กๆ ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังเพื่อนของลูกชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงชัดๆ หญิงสูงวัยก็ถึงกับตบอก อุทานลั่น“คุณพระช่วย... แม่ลดา!”“นี่ ‘หนูทราย’ ครับคุณป้า”“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าคุณไกรไม่บอกว่าเป็นใคร ป้าคงคิดว่าเป็นฝาแฝดแม่ลดาเป็นแน่ ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงตั้งแต่หนีออกจากบ้านไปคราวนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไหนเข้าใกล้ๆ ยายหน่อยซิลูก ขอกอดให้ชื่นใจสักนิดเถอะนะแม่คุณ”ศุภิสราหันไปมองคุณไกรภพที่ยิ้มและพยักหน้า
ขณะที่ผู้ใหญ่บนเรือนคุยหารือกันอย่างเคร่งเครียดนั้น เด็กน้อยซึ่งได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นข้างล่างกลับรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศของสวนร่มรื่นไม่น้อย อาณาบริเวณบ้านสวนรายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ทั้งไม้ดอกและไม้ผล ศุภิสรามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บ้านของคุณไกรภพเองจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้มากมายเท่านี้ มือน้อยสาละวนเก็บลูกมะยมและมะม่วงที่ร่วงหล่นจากต้นเกลื่อนพื้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่แอบมองมาจากบนที่สูงเงียบๆ “เฟี้ยว!...” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉี่ยวศีรษะไปเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาศุภิสราถึงกับผงะด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้รู้ว่าต้นตอของวัตถุดังกล่าวว่ามาจากไหน วัตถุชิ้นที่สองสามสี่ห้าก็ลอยตามมาติดๆ“โอ้ย!” เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อกระสุนมะยมลูกหนึ่งลอยมาโดนแผลเก่าที่ศีรษะเข้าอย่างจัง“สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ฮ่าๆ” เสียงเย้ยเยาะลอยมาจากบนต้นมะยมนั้น ก่อนที่จะมีวัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นดังตุ้บ วัตถุที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เด็กชายตัวสูงเก้งก้างที่หน้าตามอมแมมด้วยเศษไม้ใบหญ้า ดวงตาดำขลับวาววับเอาเรื่อง“ยัยเด็กหัวขโมย” เขาตะคอกใส่หน้าอ
“แล้ว... มาช่วยเขาไว้ทำไม?”“อ้าว ไม่งั้นเธอก็ได้กลายเป็นผีเฝ้าสระน้ำบ้านฉันน่ะสิ”“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง”“นี่เธอ! ว่าใครกลัว ผีอย่างเธอน่ะน่ากลัวตาย รู้งี้น่าจะปล่อยให้จะ...”“ขอบคุณนะ” คนกำลังตั้งท่าจะ ‘ใส่ยับ’ อ้าปากค้าง รู้สึกเขินๆ แต่สายตาซุกซนก็ไม่วายอดสำรวจอีกฝ่าย“โห นี่เธอลงไปฟัดกับไอ้เข้ในคลองมาเรอะ ทำไมมันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ล่ะ เจ็บไหม” คนถูกซักส่ายหน้า “เก่งแฮะ เป็นยัยตรีได้แหกปากบ้านแตก เอาเหอะ เดี๋ยวกลับบ้านให้ย่าทายาให้ แป๊บเดียวก็หายละ แล้วนี่เดินเองไหวไหม”คนเจ็บพยักหน้า หากพยุงตัวลุกปุ้บก็พับลงไปปั้บ ทำเอาคนยืนสังเกตการณ์ส่ายหน้า พลางทรุดลงนั่งหันหลังให้“เอ้า ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นหลังมา จะพาไปส่ง” ฝ่ายนั้นเร่งอีก คนฟังบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้เกรงคำขู่นั้นสักนิด หากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงต่างหากทำให้คนเจ็บต้องตะกายเกาะหลังอีกฝ่ายที่กัดฟันบอก“เกาะดีๆ ล่ะยัยแมวขโมย เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน” ศุภิสราเบะปากหมั่นไส้ หากแขนเรียวก็โอบรอบคอของอีกฝ่ายแน่น“ต๊าย... นั่นแกไปคลุกขี้โคลนที่ไหนมาน่ะ ดู๊... ตัวเปียกมะล่อกมาเชียะ” คุณฝนทองเท้าสะเอวเอ็ดหลานชายคนเดียวเสียงเขียว เมื่อเห
“มาสิ” ศุภิสรามองคุณไกรภพอย่างขอคำปรึกษา พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตจึงค่อยกระย่องกระแย่งตามลูกชายตัวแสบของเจ้าของบ้านไป ทิ้งผู้ใหญ่สามคนที่มองตามอยู่เบื้องหลัง“เด็กคนนี้เองหรือครับที่คุณเล่าให้ฟัง”“ครับ” คุณไกรภพมีสีหน้าหนักใจ “นี่แหละหนูทราย”“ท่าทางน่าเอ็นดู อายุน่าจะพอๆ กับยัยตรีของผมนะครับ ถ้ารายนั้นกลับมาเจอคงเจี๊ยวจ๊าวน่าดู อ้อ พูดปุ้บก็มาปั้บเชียว” คุณพงศ์เอกเอ่ย พลางต้องรีบอ้าแขนรับร่างกลมปุ๊กลุกที่โผเข้าหา“คุณพ่อขา หนูกลับมาแล้วค่ะ” คนพูดยิ้ม พลางหอมแก้มผู้เป็นพ่ออย่างรักใคร่“สวัสดีคุณย่ากับคุณท่านหรือยังลูก” เด็กหญิงตัวเล็กรีบยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย“นี่เหรอหนูตรี น่ารักจริง เรียกลุงว่าลุงไกรเถอะนะ”“ค่ะ คุณลุงไกร” เด็กน้อยส่งยิ้มสดใสให้ ทำเอาคุณไกรภพอึ้งสะท้อนใจยิ่งเมื่อนึกเปรียบเทียบกับเด็กน้อยที่เพิ่งผละไป“ไปอาบน้ำอาบท่ากับย่าก่อนดีกว่าลูก เดี๋ยวจะได้ลงมาทานข้าวปลากัน” คุณฝนทองรีบจูงมือหลานสาวคนโปรดมาจากผู้เป็นพ่อพาขึ้นบ้านไป เพื่อเปิดช่องให้บุรุษทั้งสองได้เจรจาธุระกันต่อ“คุณเอกนี่โชคดีจริงๆ นะครับที่มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีลูกๆ น่ารักแบบหนูตรีกับพ่อโท”“โอ้ย... บ
“กรี๊ด...ขโมย!”“เอ๊ะ นั่นเสียงยัยตรีนี่ครับ สงสัยอาละวาดอีกแล้ว” ความคิดของคุณพงศ์เอกไม่เกินจริงเลย ภาพที่ปรากฏคือร่างหนูน้อยหลับหูหลับตากระทืบเท้าเร่าๆ ร้องกรี๊ดๆ“มีอะไรกันน่ะ เอะอะโวยวายอะไรกันลูก”“ขโมยค่ะ คุณพ่อ ขโมยขึ้นบ้านเรา ดูสิคะเขาแอบเอาชุดหนูไปใส่ด้วย”“ไหน ขโมยที่ไหนขึ้นบ้านเรา มันอยู่ไหนลูก” หญิงสูงวัยเงื้อมือหราตั้งท่าลุยมาแต่ไกล“นั่นใจคอคุณแม่จะเอาสากกะเบือมาตีหัวขโมยเลยเหรอครับ” คุณพงศ์เอกกระเซ้า ทำเอาคนเงื้อสากค้างเกิดอาการเก้อ “ก็แม่ได้ยินเสียงยัยตรีร้อง ว่าแต่ขโมยอยู่ไหนล่ะ”“นั่นไงครับ หัวขโมยของยัยตรี ยืนจ๋องอยู่นั่นไง”“อ้าว...พุทโธ่เอ๊ย หนูทรายเองเหรอลูก” แล้วคุณฝนทองก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง คนอื่นๆ ก็พลอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นเด็กน้อยในชุดสีชมพูหวานยืนหน้าเด๋ออยู่กลางห้องกฎข้อหนึ่งของบ้านวรรณยุกต์คือห้ามหัวเราะหรือพูดคุยระหว่างที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก ทว่าวันนี้บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะลั่น หัวข้อที่ถูกหยิบยกมาสนทนาก็หนีไม่พ้นความเข้าใจผิดที่มีต่อแขกตัวน้อยนั่นเอง คุณฝนทองถึงกับค้อนควักเมื่อถูกลูกชายของตนแซวไม่ขาดปาก แม้คุณอรดาแม่ของสองศรีพี่น้อ
หญิงสาวค่อยๆ ลากหีบไม้ใบเก่าออกมาจากใต้เตียง เมื่อเปิดออกจึงเห็นซองจดหมายมากมายที่ซ้อนทับไว้อย่างเป็นระเบียบ... ทุกซองจ่าหน้าเหมือนกัน แถมมีวันที่กำกับพร้อม ที่หมายคือประเทศอังกฤษ ก้นหีบนั้นมีเศษผ้าเช็ดหน้าขาวบางขลิบลูกไม้ซีดตามกาลเวลาที่เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะทะนุถนอมไว้อย่างดี ดวงตาหวานซึ้งกะพริบถี่ไล่ละอองน้ำให้ระเหยไป นับจากวันที่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายวันนั้นมาก็ไม่เคยมีใครได้เห็นน้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อยอีก แม้ถูกแกล้งแค่ไหนก็ไม่ยอมเสียน้ำตาให้ใครหากวันนี้คำว่า... ของฝากจากอังกฤษ... สะกิดความทรงจำเก่า เดิมทีทุกคราวที่คุณพราวกลับจากอังกฤษจะมีของมาฝากคนในปกครองอยู่เสมอ ทุกคนจะได้รับน้ำใจลดหลั่นลงไปตามความโปรดปรานของผู้ให้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กรับใช้หรือกระทั่งคนสวน หรือแม้แต่คนใกล้ตัวอย่างแม่อบก็เถอะ คนอยู่ไกลก็ยังเผื่อแผ่น้ำใจมาถึงจะมีก็เพียง... เธอคนเดียว... เท่านั้นที่ตกสำรวจ ไม่เคยจะได้รับน้ำใจจากคนอยู่แดนไกลแม้เพียงสักครั้งเดียว เขาผู้นั้นคงเกลียดเธอจนเข้าไส้ หรือไม่ก็อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าศุภิสรายังมีตัวตนอยู่ในบ้านของเขา “ดี...ลืมซะ ลืมให้สนิทไปเลยได้ยิ่งดีว่ามีเราอยู่บนโลกอีกค
“เปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด” คนเหมือนลูกหมาตกน้ำคลี่ยิ้มบางๆ พลางวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเป็นระเบียบ ก่อนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าตามที่เคยถูกสอนเสมอ ‘ไปต้องลา มาต้องไหว้’ มารยาทที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยขัดเกลาให้กิริยามารยาทเรียบร้อย“คุณท่านเข้าห้องไปแล้วหรือคะ”“ค่ะ เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ก่อนคุณมาครู่เดียว”“โอ้ย... เหนื่อยจังค่ะ” ว่าแล้วร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ“วันนี้ทำไมกลับค่ำนักละคะ”“ก็ยัยตรีน่ะสิคะ ยึดตัวไว้จะให้เข้าประชุมชมรมให้ได้ ปีนี้เขาว่าจะจัดแสดงละครเวที งานนี้คุณตรีรักษ์รับเป็นแม่งานเชียวนะคะ เลยต้องเข้าประชุมกับเขาเกือบทุกวัน แต่พรุ่งนี้ทรายว่าจะแอบโดดล่ะ...” สุ้มเสียงคนพูดมีรอยสนุกซุกซน“อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” คนพูดไม่เข้าใจ“ก็พรุ่งนี้แม่งานใหญ่เขาว่าจะคัดตัวนักแสดง”“แล้วทำไมคุณต้องโดดล่ะคะ” แม่อบมองหน้าใสๆ อย่างงุนงง“ขี้เกียจไปเป็นต้นไม้หรือก้อนหินให้เขาน่ะสิคะ เข็ด!” คนพูดหัวเราะร่วนเสียงใสยามนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตกกระไดพลอยโจนให้ต้องขึ้นเวทีเพราะคนเป็นเพื่อนขอร้องแกมบังคับ‘วันนี้คนที่แสดงเป็นต้นไม้ป่วย ทรายช่วยขึ้นแทนทีสิ ไม่มีบทพูด
เช้าวันนั้น ศุภิสราเดินออกไปรอรถจะไปโรงเรียนเช่นเคย ขณะที่ผ่านหน้าตึกใหญ่ ร่างเล็กต้องรีบหยุดทันควัน เมื่อเห็นคนทั้งบ้านมายืนออหน้าประตูตึกใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความสังหรณ์ใจทำให้หนูน้อยแอบเตร่เข้าไปยืนแอบมองใกล้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง คนตัวเล็กเขย่งกายชะเง้อมอง จนกระทั่งได้เห็น...ศุภิสราใจหายวาบเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่คนรถกำลังขนขึ้นไว้ท้ายรถ โดยมีประมุขของบ้านยืนมองคุมความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนคุณพราวพิไลเฝ้าแต่กอดลูกชายไว้แนบอกร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ร่างสูงของเด็กชายในชุดแปลกตา ดวงหน้าคมคายเรียบสนิท แม้นัยน์ตาจะแดงๆ แต่ไม่มีหยดน้ำตาให้เห็น แล้วจู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เบนมาทางที่เธอยืนอยู่ ศุภิสราหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นร่างสูงผละจากมารดา เดินตรงดิ่งมาทางที่เธอยืนอยู่ ร่างเล็กผงะถอยหลังไปแอบอยู่ข้างตึก และเตรียมถอยหนีกลับไปทางเก่า หากแล้วแขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากไว้“จะรีบหนีไปไหนล่ะ หา...” เสียงห้าวสะกดตรึงร่างเล็กไว้กับที่ “จะมาเยาะเย้ยฉันไม่ใช่เหรอ แล้วจะรีบเดินหนีทำไม”“มะ...ไม่ใช่นะคะ โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะแรงที่บีบแขนไว้แน่นทำให้เจ็บ“ไม่ใช่อะไร” น้ำเสี
“หืม?” คุณพรรณรายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หันไปมองหน้าเด็กในปกครองเชิงถาม“แล้วนั่นเราไปโดนอะไรมา ทำไมมอมแมมอย่างนั้น เข้ามาใกล้ๆ ซิ” เมื่อคนพูดคือคุณพรรณราย คนตัวเล็กจึงหมดสิทธิ์เลี่ยงอีกต่อไปต้องรีบคลานเข่าเข้าไปหา“สงสัยฝีมือพวกใจยักษ์บนตึกนั่นแหละค่ะ พวกนายว่าขี้ข้าพลอยทั้งนั้น”“จริงอย่างที่แม่อบว่าหรือเปล่า หืม?” คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบ ดวงหน้าหวานสลดเศร้าทำให้คนมองอ่อนอกอ่อนใจ“เอาเถอะๆ มีอะไรก็กินกันไปก่อนแล้วกัน” คุณพรรณรายตัดบท พลางหันไปสบตากับคนสนิทที่ยืนหน้างออย่างหนักอกหนักใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องได้ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเป็นห่วง เมื่อลับหลังคนตัวเล็ก ทั้งคู่จึงได้โอกาสปรับทุกข์ต่อกันเบาๆ“คุณพราวพิไลนี่ก็เหลือเกิน” แม่อบถอนหายใจ“จะไปว่าเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ถึงยังไงตาเพชรก็เป็นลูกเขาทั้งคน แค่ไปอยู่ไกลตาก็ห่วงแล้ว นี่จะส่งไปอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา ใครจะไปทนไหว”“นี่ตกลงว่าคุณเพชรต้องไปเมืองนอกแน่ๆ แล้วเหรอคะ” แม้ไม่เคยเลี้ยงดู ทว่าเมื่อเป็นหลานของเจ้านายก็ทำให้อดห่วงไม่ได้“แน่สิ ได้ยินพ่อเขาว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว กำหนดวันเดินทางก็คงเร็วๆ นี้ล่ะ” “แต่คุณไกรภพก็ใจแข็งเหลื
“พี่จะพาน้องทรายไปอยู่บ้านด้วยไง ดีไหม” คนฟังถึงกับอึ้ง แต่พอเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจพยักหน้ารับไป“ก็ได้ค่ะ แต่งก็ได้”“จริงๆ นะจ๊ะ สัญญาก่อน” โทรินทร์ชูนิ้วก้อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่คนตัวเล็กก็ยอมยกนิ้วก้อยเกี่ยวก้อยตอกย้ำคำสัญญานั้น “ไชโย้...” โทรินทร์ตะโกนอย่างสมหวัง หากเขามัวดีใจจนไม่ทันเห็นสิ่งที่ซ่อนลึกในลูกแก้วคู่งามนั้น‘ดีเหมือนกัน ไปจากที่นี่ซะ ไม่มีเราสักคน เขาคนนั้นจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุขสักที...’ไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่ศุภิสราหวังก็พังทลายลงพร้อมกับพายุใหญ่ “คุณพี่ว่ายังไงนะคะ!” เสียงเอะอะโวยวายดังคับบ้าน “จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก”“เบาๆ หน่อยเถอะ คุณพราว เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นทั้งบ้าน” ประมุขของบ้านปราม“ช่างหัวมันปะไร ดิฉันไม่สน ตอบมาสิคะ ทำไมตาเพชรต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย หรือว่าเป็นแผนเฉดหัวพวกเราออกไปจากบ้านนี้ให้หมด เริ่มจากลูกก่อน อีกหน่อยก็คงเป็นฉัน” คุณพราวพิไลตีโพยตีพายทั้งน้ำตาคุณไกรภพถอนหายใจ แม้จะเตรียมใจตั้งรับมาแล้วว่าต้องพบเหตุการณ์นี้จากภรรยา ทว่าที่ไม่คาดคิดคือแม้แต่คนในบ้านก็เป็นไปด้วย“วันนี้งดปิ
“บราวนี่!”เสียงแหลมเล็กตะโกนลั่น ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งหันขวับ เด็กหญิงตัวป้อมที่เธอจำได้ว่าชื่อ เฟื่องตะวัน ยืนชี้โบ้ชี้เบ้มาทางที่เธอพลางป้องปากตะโกนลั่น“บราวนี่อยู่ทางนี้ค่ะ พี่เพชร!” ชื่อที่หลุดออกจากปากแดงจิ้มลิ้ม ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกวูบลงไปกองที่ตาตุ่มทันที“เอาหมาของเขาคืนมานะ ยัยหัวขโมย!” จู่ๆ มือกลมป้อมก็จู่โจมเข้ามาจะคว้าตัวเจ้าขนปุยไปจากอ้อมแขน ทำให้ศุภิสราตกใจเผลอเกร็งแขนไว้เพราะกลัวเจ้าหมาน้อยตกลงพื้น การยื้อแย่งจึงเกิดขึ้น จนเจ้าตัวฟูก็เกิดตกใจจึงงับแขนเรียวเล็กของศุภิสราจนต้องปล่อยมือจากมันกะทันหัน ทำให้เฟื่องตะวันถลาล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปคลุกฝุ่นที่พื้นทันที“น้องเฟื่อง!” คนที่เดินตามเข้ามาทีหลังร้องเรียกอย่างตกใจ“พี่เพชรคะ ฮึกๆ ช่วยด้วยค่ะ... ยัยเด็กนี่ผลักเฟื่อง โอย เจ็บ...ฮือ” คนก้นจ้ำเบ้าโอดครวญ ทำให้เด็กชายตัวสูงต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แววตาเย็นชาทำให้คนตัวน้อยสะดุดลมหายใจ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี “นี่แหน่ะ!” ก่อนจะทันรู้ตัว คนตัวป้อมที่ถลันหลุดจากวงแขนของพีรภัทรเข้ามาผลักสุดแรงบ้าง แต่ก่อนที่ศุภิสราจะล้มลงบาดเจ็บ มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาดึงร่างคนถลาเป็นนกปีกหั
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน