“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ”
คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน
“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”
“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆ
บุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมอง
ข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน
‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะกระโจนเข้าไปในกองเพลิง ดีแต่คนรอบข้างคอยยื้อหนูน้อยไว้ไม่ให้ทำตามใจได้ ดวงหน้าที่มอมแมมด้วยเขม่าควันดำถอดแบบมาจากสาวเคราะห์ร้ายผู้นั้นราวกับพิมพ์เดียวกันร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ และนี่เองคือเหตุผลที่เขาต้องรีบมาที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้ สายเลือดในอกแห่งเธอผู้นั้นคือสายใยเดียวที่ทำให้เขาเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวที่ติดค้างในหัวใจมาจนถึงวันนี้
“น่าสงสารนะคะ แม่ก็ต้องมาตายเสียในกองไฟ ญาติก็ไม่มีสักคน ยังดีที่มีพลเมืองดีเวทนาเอาตัวมาส่งให้เราเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องเร่ร่อนเป็นภาระสังคมแน่ทีเดียว”
“แล้วพ่อของเด็กล่ะครับ”
“ไม่ทราบสิคะ ตอนมีคนพามาส่งก็ถามแล้วนะคะ แต่ไม่มีใครทราบเลย แถมเด็กก็ไม่ยอมพูดยอม ถามอะไรก็เอาแต่ร้องไห้ นี่ดีขึ้นมากนะคะไม่ค่อยร้องหนักเท่าวันแรก”
“เด็กคนนี้ชื่ออะไรครับ”
“เห็นเจ้าตัวบอกว่าชื่อศุภิสรา ธนวิจักร และชื่อเล่นว่า ‘ทราย’ ค่ะ” ดวงหน้าหวานของเด็กตรงหน้าคงดูสดใสขึ้น หากถูกระบายด้วยรอยยิ้ม เฉกเช่นเด็กสาวแสนสวยที่เขาคุ้นเคยในอดีตที่ติดตรึงใจมากว่าสิบปี อดีตที่อยากลืมแต่กลับเด่นชัดในความทรงจำ จนถึงวันหนึ่งที่เธอผู้นั้นพาความทรงจำแสนงดงามหายไปเหลือไว้เพียงความเจ็บปวดในใจ
“แล้วถ้าผมจะรับเด็กคนนี้ไปอุปการะต้องทำยังไงบ้างครับ”
เมื่อรถเก๋งคันงามแล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยที่เปิดอัตโนมัติ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเด็กหญิงวัยสิบขวบคือ บ้านสีขาวหลังงามที่ใหญ่โตราวกับปราสาทในเทพนิยายที่มารดาเคยเล่าให้ฟัง รอยหม่นหมองในดวงตาคู่สวยเริ่มมีความหวังขึ้นอีกครั้ง หลังจากบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยซุกหัวนอนถูกไฟผลาญวอดวาย จนพรากแม่สุดที่รักไปจากเธออย่างไม่มีวันกลับ
“ชอบบ้านใหม่หรือเปล่าหนูทราย” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามอย่างเอ็นดู
“บ้านคุณลุงสวยเหมือนปราสาทของเจ้าหญิงในนิทานของแม่เลยค่ะ” ทราย หรือ ศุภิสรา ยิ้มเศร้าๆ เมื่อเอ่ยถึงคนเป็นแม่ น้ำตาก็เริ่มรื้นขึ้นในลูกแก้วงามคู่นั้นอีกครั้ง “แต่หนูอยู่ที่นี่ได้จริงๆ เหรอคะ” คำถามไร้เดียงสานั้นทำให้คนฟังสะท้อนใจ อดคิดถึงเด็กสาวอีกคนในอดีตขึ้นมาไม่ได้
‘ศศิลดา’ รักแรกและรักเดียวของเขา คนที่เคยฝากบาดแผลไว้ในหัวใจมาเนิ่นนาน หากแต่เหนือสิ่งใดแล้วยังมีอะไรบางอย่างในตัวเด็กหญิงที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันและเอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษตั้งแต่เมื่อแรกที่ได้พบ
“จริงสิจ๊ะ จากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านของหนู และลุงสัญญานะว่าจะดูแลหนูอย่างดีที่สุด” คุณไกรภพดึงร่างเล็กเข้ามากอดอย่างเอ็นดู ทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตด้วยความตื้นตัน แต่ด้วยความอ่อนเดียงสา ทำให้หนูน้อยไม่ทันสังเกตเห็นรอยกังวลของผู้มากวัยกว่าที่รู้ดีแก่ใจว่า ‘ปัญหาใหญ่’ ต้องเกิดขึ้นแน่
“พี่โท!” โทรินทร์ อ้าแขนกว้างรับร่างอรชรของอีกฝ่ายที่โถมตัวเข้ามากอดอย่างเต็มใจ ตรีรักษ์แอบปาดน้ำตาก่อนค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องเงียบๆ เปิดโอกาสให้คนทั้งสองอยู่ตามลำพัง“มาเมื่อไหร่คะ ทำไมไม่บอกกันก่อน” ศุภิสราละล่ำละลักถามด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา“ถ้าบอกแล้วเจ้าสาวคนสวยจะเซอร์ไพรส์เหรอจ๊ะ” ชายหนุ่มยิ้มตอบ พลางยื่นมือมาช่วยซับน้ำตาให้“พี่โทหายไปไหนมาคะ ทำไมไม่ส่งข่าวมาบ้างเลย รู้ไหมทรายคิดถึงแล้วก็เป็นห่วงด้วย แล้วทำไมตัวดำแบบนี้ล่ะ”“แหม มาอีกคนละ พี่จะตอบข้อไหนก่อนดีล่ะเนี่ย” คุณหมอหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางประคองดวงหน้าหวานซึ้งขึ้นอย่างพิจารณา “ ว้าว วันนี้เจ้าสาวของพี่สวยจริงๆ...”“อะแฮ่ม เจ้าสาวของใครนะ” เสียงกระแอมหนักๆ ขัดคอขึ้นในทันใด พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู สีหน้าหล่อเหลาดูขึงขังเอาเรื่อง “พูดผิดพูดใหม่ได้นะ แล้วช่วยเอามือของนายออกไปจากเจ้าสาวของฉันด้วย ผู้หญิงคนนั้นของฉัน ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไปห่างๆ เลย”“เอ๊ะ พี่เพชร!” ศุภิสราปรามเสียงเข้ม พลางถลึงตาดุใส่เจ้าบ่าวของตน ทำเอาคนเตรียมหาเรื่องหน้าเจื่อนลงทันตา ภาพนั้นทำให้โทรินทร์หลุดหัวเราะออกมาอย่างขำขันปนสะใจ“หัวเราะห
ชายหนุ่มในชุดสูททักซิโด้สีขาวสุดเท่ผู้หนึ่งกำลังยืนทอดสายตามองไปยังป้ายชื่อของโรงแรมกึ่งรีสอร์ตสุดหรูเบื้องหน้าอย่างพิศวงทรายเทียมเพชร แกรนด์โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต“ทรายเทียมเพชรงั้นเหรอ!” ไม่เลวแฮะ ชื่อเพราะ ความหมายดี ที่คนวงนอกอาจจะเพียงนึกชื่นชมคนตั้งชื่อที่เข้าใจนำเอาชื่อเล่นของเจ้าของโรงแรมและคู่หมั้นสาวมาร้อยเรียงกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว หากทว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้ง แต่หนึ่งในไม่กี่คนนั้นก็มี ‘เขา’ คนหนึ่งล่ะที่รู้ดีโทรินทร์ วรรณยุกต์ กระตุกยิ้มมุมปากนึกในใจอย่างขำขัน ไม่ต้องบอกก็รู้ไอ้โรงแรมนี่ใครใหญ่สุดดูเหมือนว่า ‘ไอ้ขี้เก๊ก’ คนนั้นกำลังจะโดนกรรมตามทันเข้าให้แล้ว สม! หลังจากผ่านพ้นงานวันนี้ไปคนเป็นเจ้าบ่าวก็คงได้กลัวเมียหงอไปชั่วชีวิตแน่ นึกแล้วคุณหมอหนุ่มก็อยากจะหัวเราะให้ลั่นโลก สะใจนัก ในที่สุดเจ้าคนที่หยิ่งผยองคับฟ้านั่นก็ต้องมาสยบลงให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเพียงเพราะคำว่า... รัก... คำเดียว และไอ้ป้ายชื่อโรงแรมนี่ไงคือเครื่องพิสูจน์ว่า...‘ศุภิสรา’ คือเม็ดทรายที่มีคุณค่าเทียมเทียบเพชร หรือไม่ก็อาจเหนือกว่า! สี่ปีแล้วสินะที่เขาไม่
สี่ปีต่อมา เขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นตามคำพูดนั้นได้จริง!พีรภัทรวางหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวการขยายสาขาและเปิดตัวโรงแรมแห่งใหญ่ล่าสุดของเขาลงอย่างพอใจ หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องใช้ความพยายามมากมายเพื่อจะบริหารกิจการของบิดาให้มั่นคง รวมถึงขยายกิจการออกไป ร่างสูงใหญ่มองออกไปนอกหน้าต่าง ใครจะไปเชื่อว่าวันนี้สิ่งที่เขาเคยเอ่ยกับผู้หญิงที่รักไว้จะกลายเป็นจริงขึ้นมาในวันนี้ โรงแรมกึ่งรีสอร์ตหรูริมชายหาดสวยติดทะเลคืออนุสรณ์แห่งความรักที่เขามีต่อเธอผู้นั้น“คุณเพชรคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”“ใครกันครับ นัดไว้หรือเปล่า ”“เอ่อ... ไม่ทราบค่ะ”“อ้าว” ชายหนุ่มอุทานลั่น “แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่ามีธุระอะไร”เลขานุการสาวส่ายหน้ายิ้มๆ มองเจ้านายหนุ่มรูปหล่อผู้เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งเมือง แถมยังเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงติดท็อปไฟว์ของเมืองไทยเวลานี้อย่างมีเลศนัย“เปล่าค่ะ แต่เธอให้บอกแค่ว่าจะคอยคุณที่หาดทรายเพชรค่ะ” พีรภัทรครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด... ที่หาดทรายเพชร หญิงสาวร่างบางระหงผู้หนึ่งกำลังยืนทอดสายตามองผืนทะเลสีฟ้าครามเบื้องหน้าปล่อยหัวใจล่องลอยไปไกลแสนไกล จนกระทั่งมีอ้อมแขนของใครคนหนึ
“นายต้องการอะไร”“ฉันต้องการความมั่นใจจากคนที่น้องทรายรักน่ะสิ” คนพูดต้องกล้ำกลืนความขมปร่าลงไปอย่างยากเย็น ในใจเพียรบอกกับตัวเองเป็นครั้งที่ร้อย...เขาทำเพื่อผู้หญิงที่เขารัก ทำเพื่อน้องทราย เขาเจ็บแค่ไหนก็ได้เพื่อไม่ให้เธอต้องเจ็บ!พีรภัทรมองแววตาของคนตรงหน้าอย่างชั่งใจก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ“ฉันสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องเธอให้มีความสุขและไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดตลอดไป’“ถ้าเมื่อไหร่ที่นายผิดคำพูด วันนั้นฉันจะมาทวงหัวใจของฉันกลับคืน จำเอาไว้ด้วย!”“จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด ฉันขอสัญญา!” โทรินทร์รีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนยื่นซองจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งให้ พร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร“งั้นฉันขอฝากนายดูแลเธอด้วยนะ... ขอให้นายโชคดี!”ที่วังรวิภาส งานหมั้นจวนจะถึงฤกษ์พิธีอยู่แล้ว หากกลับไม่มีวี่แววของว่าที่คู่หมั้นหนุ่มจะมาถึงสักที หม่อมราชวงศ์รัชชากรณ์ผุดลุกผุดนั่งอย่างหัวเสีย ไอ้เจ้าหมอเวรนั่นมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน หรือมันจะเบี้ยว “ทำยังไงดีคะคุณพี่ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว น้องเกรงว่า...” หม่อมราชวงศ์พิมพ์อรุณรวีเอ่ยอย่างเป็นกังวล แลเห็นแขกผู้ใหญ่เริ่มมีทีท่ากระสับกระส่ายมองหน้ากันไปมาอย่างอึดอัด มี
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร พี่โทมาเมื่อไหร่คะ ทำไมไม่ได้ยินเสียงรถเลย” คนพูดทำยิ้มกลบเกลื่อน หากโทรินทร์ไม่ยอมปล่อยผ่าน เขาจับไหล่ทั้งสองของเธอไว้ แล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาแสนเศร้าระทมทุกข์คู่นั้น“ไม่ไว้ใจพี่แล้วใช่ไหม หรือเห็นพี่โทคนนี้เป็นคนอื่น” คุณหมอหนุ่มตัดพ้ออย่างน้อยใจ นั่นทำให้อีกฝ่ายต้องยอมจำนน ศุภิสราถอนหายใจเฮือก นึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องเป็นทุกข์อยู่เวลานี้‘ฉันรักพี่เพชร รักมานานแล้ว’ ดวงหน้าจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาเศร้าสลดอย่างน่าสงสาร ‘อีกไม่นานฉันกับพี่เพชรก็จะแต่งงานกัน’‘แล้วคุณมาบอกฉันทำไมกันคะ ทำไมไม่ไปบอกเขาเอง’‘เพราะฉันอยากให้เธอเห็นใจในความรักของเราสองคน ตั้งแต่เธอกลับเข้ามาในชีวิตพี่เพชร เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีก เพราะเขาสงสารที่เคยทำไม่ดีกับเธอมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกผิดที่เขามีต่อเธอเท่านั้น ฉันขอร้องล่ะ อย่าแก้แค้นเขาด้วยการทำให้พี่เพชรต้องรู้สึกผิดต่อเธอมากไปกว่านี้เลยนะ ฉันทนเห็นเขาต้องมาเป็นทุกข์แบบนี้ไม่ได้’ คำนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางหัวใจ‘ฉันรู้ว่าเธอก็รักเขาเหมือนกัน อาจดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ช่วยหลีกทางใ
“อย่าห่วงเลยครับ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันสายไปแล้ว สิ่งที่ผมบอกแม่ไปมันไม่มีวันเป็นจริงได้ ระหว่างผมกับเธอ ตอนนี้เธอไม่ใช่แค่เม็ดทรายธรรมดาแต่เป็น ‘หม่อมหลวงศุภิสรา รวิภาส’ ลูกสาวมหาเศรษฐีที่รวยล้นฟ้า เขามีผู้ชายดีๆ ที่รักเขา และเขาก็รักผู้ชายคนนั้นมาก อีกไม่นานทั้งสองก็จะแต่งงานกัน แล้วชีวิตของเราสองคนก็จะเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้อีก เพราะฉะนั้นถึงผมจะรู้สึกยังไงก็ไม่สำคัญแล้ว” ปลายเสียงห้าวลึกสั่นสะท้าน“ตาเพชร!” สีหน้าเจ็บปวดของลูกชายทำให้ผู้เป็นแม่สะท้อนใจ“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่เป็นไร” คนพูดฝืนยิ้มทั้งที่หัวใจกำลังร้องไห้ “ ก็แค่ต้องทนเจ็บอีกครั้ง แล้วมันก็จะผ่านพ้นไปเหมือนทุกครั้ง แต่ผมยังยืนยันคำเดิม ผมจะไม่แต่งงานกับน้องเฟื่อง และนอกจากทรายแล้ว ผมก็ไม่แต่งงานกับใครตลอดชีวิต ” พีรภัทรหลับตาลงอย่างเจ็บปวดรวดร้าว“คุณแม่ครับ ผมขออยู่คนเดียวสักพักได้ไหม ได้โปรดเถอะนะครับ แล้วหลังจากนี้ถ้าคุณแม่อยากให้ทำอะไรผมก็จะตามใจทุกอย่าง แต่ยกเว้นเรื่องแต่งงานเรื่องเดียวเท่านั้น แล้วจะให้ผมขึ้นสวรรค์ลงนรกที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงระโหยอย่างคนสิ้นหวัง คุณพราวพิไลเดินคอต