ซูหวั่นถอนหายใจ“ข้ารู้ดีว่าท่านปู่ท่านย่าเป็นคนดีที่ไม่รังเกียจของจำนวนน้อย แต่ข้าละอายใจเกินไปที่จะหยิบยื่น และพวกท่านลุงที่มาช่วยงานก็คิดว่ามันน้อยไปด้วยเช่นกันนะคะ”นางจะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะว่าแม่เฒ่าเซี่ยงมาที่นี่ก็เพราะได้กลิ่นหอมของเนื้อไก่นั่นเองแต่ทำไมแม่เฒ่าเซี่ยงถึงไม่คิดเลยล่ะว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร เนื้อไก่สักชิ้นก็ไม่ได้แบ่งให้พวกเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอไงแม้กระทั่งว่ายังจงใจที่จะยื่นมาอวดต่อหน้านางหลี่อีกด้วยเดิมทีนางก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว แล้วจะพูดว่าไม่สำนึกบุญคุณได้อย่างไร เนื้อไก่พวกนี้นางจะไม่แบ่งให้บ้านใหญ่อย่างเด็ดขาดถ้ามีมากก็ยังพอไหว แต่นี่แค่ไก่ตัวเดียวเองในบ้านยังมีผู้ชายอีกหลายคนที่มาช่วยงาน รวมครอบครัวของพวกเขาอีกสี่ปาก เดิมทีมันก็ไม่พอกินอยู่แล้วและนางหวางก็เข้าใจความหมายของซูหวั่นในทันที“ข้าว่าพวกเจ้าไม่อยากที่จะหยิบยื่นเนื้อไก่ให้บ้านใหญ่อยู่แล้ว ยอมให้คนอื่นกินเนื้อ แต่กลับไม่ยอมให้พ่อแม่กิน พี่รองพี่สะใภ้รอง พวกพี่รีบออกมาบอกสิว่านี่มันเหตุผลแบบไหนกัน!”เมื่อวานนางไม่ได้กินเนื้อไก่เลย วันนี้นางจะต้องกินไก่สักคำให้ได
ซูหวั่นเป็นกังวล หลังจากต้มยาเสร็จแล้วก็ยกเข้าไปในบ้าน หลังจากบอกกับซูเหลียนเฉิงว่า รอให้เย็นสักหน่อยแล้วค่อยดื่ม นางก็รีบขึ้นไปบนบ้านใหญ่ในทันที แต่ประตูของบ้านใหญ่ปิดอยู่ โดยที่มันถูกล็อกอย่างแน่นหนาจากด้านใน ไม่ยากเลยที่จะคิดว่า จะต้องมีคนเข้ามาล็อกประตูหลังจากที่นางหลี่ได้เดินเข้าไป เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว หากนางหลี่เข้าไปไม่ได้ นางก็คงจะต้องกลับบ้านหรือตะโกนเรียกอยู่หน้าประตูอย่างแน่นอน และตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่หน้าประตู งั้นก็แสดงว่าจะต้องเข้าไปข้างในแล้วอย่างแน่นอน หลังจากนางเข้าไปแล้วถึงจะปิดประตู เพราะป้องกันไม่ให้ซูหวั่นเข้าไปก่อเรื่องหรือเปล่า? ซูหวั่นหยิบก้อนหินมาวางไว้ที่ข้างกำแพงอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ปีนข้ามกำแพงแล้วเปิดประตู ลานบ้านมืดมาก ไม่ได้จุดไฟตะเกียง มีแสงไฟสลัวๆ ส่องออกมาจากหน้าต่างก็ห้องหลัก พร้อมกับเสียงก่นด่าของแม่เฒ่าเซี่ยงดังแว่วมา “กินเหลือแล้วค่อยยกมาใช่ไหมล่ะ!”แม่เฒ่าเซี่ยงเอามือทุบโต๊ะ แทบอยากจะบีบคอนางหลี่ให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอดไปเลย “มีแค่นี้ก็กล้ายกขึ้นมางั้นเหรอ เห็นว่าพวกข้าเป็นขอทานหรือไง หลี่เซียงหรู ก่อนห
“ตอนนี้มันเป็นยังไง ประคบประหงมลูกสะใภ้อย่างกับอะไร บอกว่าไม่กลัวใครเขาจะหัวเราะเยาะและเข้าใจผิดเหรอ”ยิ่งพูดแม่เฒ่าเซี่ยงก็ยิ่งอุกอาจ โดยที่ใบหน้าของพ่อเฒ่าซูนั้นกลับดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็คิดว่าภรรยาเฒ่าของตัวเองช่างโง่จนเกินเยียวยาแล้วจริงๆ คำพูดอะไรก็สามารถพูดออกมาได้ทั้งนั้น “ยัยเฒ่ารีบหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”พ่อเฒ่าซูโกรธจนจุกหน้าอก และแขนขาก็สั่นไปหมด“เจ้ามันพูดไม่คิดเสียจริงๆ ยังกลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอไง!” เมื่อเห็นเขาโกรธแบบนี้ แม่เฒ่าเซี่ยงก็คิดเพียงว่าตัวเองได้พูดแทงใจดำพ่อเฒ่าซูเข้าเสียแล้ว และนางก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่“หรือว่าข้าพูดผิดไปงั้นรึ? แกไม่ระวังกาลเทศะเอง แล้วจะมาโทษข้าได้ยังไง!” “เจ้า!” พ่อเฒ่าซูหายใจเข้าลึกๆ ใช้มือค้ำโต๊ะเอาไว้ โดยยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดี ร่างกายของเขาก็อ่อนลง จากนั้นก็ร่วงจากโต๊ะและไปกองอยู่ที่พื้น หายใจอย่างกระหืดกระหอบ ซูฉางฝูตื่นตระหนก รีบไปคว้าพ่อเฒ่าซูเอาไว้“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นอะไรไปครับ!” เมื่อเห็นว่าพ่อเฒ่าซูเป็นลมล้มพับลงไป แม่เฒ่าเซี่ยงก็ตื่นตระหนกจนไม่กล้าพูดอะไรอีก พร้อมกับวิ่งโซ
ซูลิ่วหลางขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เมื่อขอบตาเจ็บแปลบๆ น้ำตาก็ได้ไหลออกมาเป็นสาย นางหลี่ย่อตัวลง และลูบศีรษะของซูลิ่วหลางด้วยความรัก“แม่ไม่ระวังตัวแล้วไปกระแทกกับขอบโต๊ะเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่กี่วันก็หายแล้ว” ซูลิ่วหลางเอาตัวถูกับนางหลี่ไปมา พร้อมกับเป่าไปที่นางหลี่เบาๆ ราวกับแม่ที่กำลังเป่าบาดแผลให้ลูกอยู่“ท่านแม่ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม แค่เป่าๆแบบนี้ ความเจ็บก็บินหายแล้วล่ะ!” ขอบตาของนางหลี่ร้อนผ่าว และไม่รู้ว่าขอบตานั้นได้เปียกชื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นางปาดน้ำตา และตบท้ายทอยของซูลิ่วหลางเบาๆ“เด็กโง่” “ท่านแม่ ท่านพ่อให้ข้าคอยดูน้ำอาบเอาไว้ ตอนนี้น้ำอาบยังร้อนอยู่เลยนะ ท่านกับท่านพี่รีบไปอาบน้ำเถอะ อาบแล้วจะได้นอนสบายๆไง” เมื่อได้ยินดังนั้น ซูหวั่นถึงได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าของซูลิ่วหลางกระดำกระด่างไปแล้วในตอนนี้ ซึ่งต้องอาศัยแสงจันทร์ถึงสามารถมองเป็นได้ชัด นางถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการที่นางต้องการให้ครอบครัวนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น มันคงเป็นภาระที่หนักและห่างไกลเหลือเกิน ซูหวั่นหยิกหน้าเล็กๆของซูลิ่วหลาง“มอมแมมขน
หลังจากส่งถังเสี่ยวจิ่วออกจากบ้านตระกูลซูไปแล้ว ซูหวั่นถึงได้อธิบายที่มาที่ไปของถังเสี่ยวจิ่วให้นางหลี่ฟัง นางหลี่เป็นคนที่ซื่อๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่สูงศักดิ์ นางก็ต้องรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา“อาหวั่น งั้นท่านชายคนนี้ เจ้ารู้ตื้นลึกหนาบางของเขาหรือเปล่า หากไปมาหาสู่กันแบบนี้ มันจะเป็นการนำอันตรายมาสู่เจ้าหรือไม่ แม่เกรงว่า...” “ท่านแม่ ท่านแม่วางใจได้ ข้าคิดทบทวนเรื่องนี้ดีแล้วนะคะ” ถังเสี่ยวจิ่วไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรเลย ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่ตั้งใจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนเรื่องตื้นลึกหนาบางนั้น มันคงไม่จำเป็นแต่อย่างใด ในยุคสมัยแบบนี้ มีเพียงทวนดาบเท่านั้นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ หากขี้ขลาดและอดกลั้นอย่างโง่งมก็รนแต่จะเหมือนพ่อและแม่ของนางเท่านั้น และมันก็ยิ่งจะทำให้คนอย่างแม่เฒ่าเซี่ยงยิ่งเหิมเกริมเข้าไปใหญ่ คำพูดเหล่านี้ ซูหวั่นเก็บไว้แค่ในใจ โดยไม่ได้พูดกับนางหลี่แต่อย่างใด เพราะเกรงว่าจะทำให้นางหลี่เป็นกังวลเสียเปล่า เมื่อเห็นว่าซูหวั่นมั่นใจ นางหลี่ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้“อาหวั่น เรื่องในบ้านเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้
อายุยังน้อย แต่กลับคิดที่จะข่มขู่คนอื่นแล้วงั้นรึ ซูหวั่นจ้องเขม็งมาที่ซานหลาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา ลูกที่นางหวางเลี้ยงดูมา มันก็ไม่ได้ซื่อสัตย์อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เมื่อกี้ยังพูดจาน่าสงสารอยู่เลยนะ และมันก็เปลี่ยนไปเพียงชั่วพริบตาเดียว ซูหวั่นปัดมือออก ความสูงของนางพอๆกับซานหลาง แต่ซานหลางมักจะกินเยอะ เลยดูบึกบึนกว่านางมาก ในระยะเวลาอันสั้น นางก็ไม่สามารถสะบัดเขาออกไปได้ นางจึงใช้ทักษะการแตะจุดบนตัวของซานหลางไปสองสามครั้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า“ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ ยังไงเสียไก่ตัวนั้น ข้าก็จับมันได้จากที่นี่แหละ” “แว้!” ซานหลางแผดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด โดยที่เสียงนั้นดังสนั่นไปทั่ว พวกนกต่างก็ตกใจ ทันใดนั้นป่าก็มีชีวิตชีวามากขึ้น นกกระพือปีก และขนนกจำนวนมากร่วงหล่นลงมา ซื่อหลางตกใจกับเสียงร้องไห้แบบนี้ของซานหลาง แล้วพูดอย่างร้อนใจว่า“พี่สาม พี่ร้องทำไม?” “เจ็บ!” หลังจากพูดจบ ซานหลางก็กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ซูหวั่นหยิบตะกร้าและจอบเล็กๆขึ้นมา จากนั้นก็เดินต่อไป ราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องแ
“ท่านแม่ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ ท่านแม่แค่ปักก็พอแล้ว” นางหลี่เชื่อมั่นลูกสาวอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อเห็นว่าซูหวั่นมั่นใจขนาดนี้ นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่พยักหน้ายอมรับเท่านั้น เพราะกลัวว่าคนของบ้านใหญ่จะมาอาละวาด สองแม่ลูกจึงเริ่มกินมื้อเย็นตั้งแต่เนิ่นๆ โดยขอให้ซูชิงและคนอื่นๆทนเสร็จและกลับไปก่อน หลังจากนางหลี่ป้อนข้าวซูเหลียนเฉิงเสร็จ ตัวนางเองถึงเริ่มจะเริ่มกิน ส่วนซูหวั่นก็ไปต้มน้ำอาบ ซูลิ่วหลางคอยช่วยซูหวั่นอยู่ข้างๆ ซูหวั่นหยิบฟืนท่อนหนึ่งมา และเขียนไปบนพื้น“นี่คือคำว่าซู เป็นแซ่ของเจ้า ส่วนนี่คือหวั่น ตัวหนังสือชื่อของพี่ รู้จักหรือเปล่า?” ซูลิ่วหลางมองดูอย่างตั้งใจ ท้ายที่สุดก็ส่ายหน้าไปมา เพราะเขาจำไม่ได้“ท่านพี่ ข้าไม่เข้าใจ” ซูหวั่นลูบศีรษะของซูลิ่วหลาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม“นี่คือตัวอักษร เจ้าไม่เข้าใจ งั้นเราก็ค่อยๆเรียนรู้ พี่จะสอนเจ้าช้าๆนะ” “ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน!” ซูลิ่วหลางพยักหน้า หยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้างๆมาวาดรูปคนเล็กๆสองคน ตัวโตหนึ่งคน ตัวเล็กหนึ่งคน แม้ว่าจะเป็นนามธรรมมาก แต่ก็สามารถบ่งบอกความห
มาเป็นพยานอะไรกัน? ยังไงเสียหากซานหลางไม่ยอมรับออกมาด้วยตัวเอง ซูหวั่นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นางหวางได้ใจจนยิ้มกว้างออกมา มือเท้าสะเอวแล้วพูดว่า“อาหวั่น เจ้าพาคนพวกนี้มาเป็นพยาน แล้วเจ้ามีหลักฐานหรือเปล่าว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนผลักซานหลางลงไปในน้ำ? หากไม่มี งั้นเจ้าก็ชดใช้ข้ามาเสียดีๆ!” ซูหวั่นเงียบไปสักพัก จากนั้นก็มองไปที่นางหวางแล้วพูดว่า“น้าสาม ข้าก็ต้องมีอยู่แล้วนะ เดี๋ยวน้าจะต้องบันทึกหลักฐานการเป็นหนี้ให้ข้าด้วย แล้วก็ไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ ไม่งั้นข้าก็ไม่มั่นใจว่าท่านน้าจะชดใช้ข้าหรือเปล่า” นางหวางตื่นตระหนก รูม่านตาหดลงอย่างเห็นได้ชัด นังเด็กคนนี้คงไม่ได้มีหลักฐานจริงๆหรอกนะ ไม่งั้นทำไมต้องพูดวางไพ่ไม้ตายขนาดนี้ด้วย แต่นางถามซานหลางมาแล้วนะ โดยมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนี้ นางหวางก็ชักสีหน้า และพูดอย่างมั่นอกมั่นใจไปว่า“ได้สิ” เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ซูหวั่นก็หัวเราะเยาะออกมา นางกลัวเหลือเกินว่านางหวางจะไม่กระโดดลงหลุมพราง หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่พร่ำมาทั้งหมดก็คงจะสูญเปล่า นางไม่เคยเป็นคนดีอะไรอยู่แล้ว