วันรุ่งขึ้น ลินินตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยกลัวว่าจะไปโรงเรียนไม่ทันเวลา เพราะคฤหาสน์ตระกูลแบดฟอร์ดตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง มิหนำซ้ำบริเวณโดยรอบยังล้อมไปด้วยผืนป่าพนาไพรอีกด้วย
เธออดคิดไม่ได้ว่าอาจต้องเดินลงภูเขาสูงชันนี้ด้วยตัวเอง และหารถประจำทางเพื่อต่อเข้าไปในเมืองให้ได้ วางแผนการเดินทางเรียบร้อยแล้ว สองขาก็รีบวิ่งลงบันไดมาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพบกับเจย์เดนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทานอาหาร นอกจากนี้บนโต๊ะยังเตรียมสำรับอาหารเอาไว้อีกที่หนึ่งด้วย “นั่งลงทานมื้อเช้าซะ” เจย์เดนเอ่ยเสียงเรียบ “นั่ง...บนโต๊ะ...กับคุณเหรอ?” รู้สึกแปลกใจที่คนอย่างเธอจะมีสิทธิ์ได้ร่วมโต๊ะกับผู้ทรงอำนาจเช่นเขา ตอนแรกลินินคิดว่าจะต้องไปนั่งรวมกับพวกสาวใช้ซะอีก แต่ก่อนที่เธอจะทันปฏิเสธด้วยความเกรงใจก็ถูกสายตาเฉียบคมของเขามองมาเสียก่อน ประหนึ่งออกคำสั่งกลาย ๆ “นั่ง-ลง” เขาพูดเน้นทีละพยางค์ ลินินที่ได้ยินแบบนั้น อยู่ ๆ ก็ทิ้งตัวนั่งลงโดยไม่รู้ตัว ราวกับมีบางอย่างมาผลักเธอเข้า “ฉันต้องรีบไปโรงเรียนนะคะ (. .)” “กินมื้อเช้าก่อน” เจย์เดนเอ่ยเสียงเข้ม “เดี๋ยวให้ชาร์ลไปส่ง” ขณะพูดก็ปรายตามองไปหาผู้ติดตามคนสนิทของตัวเอง ชาร์ลก็ก้มหน้าโค้งคำนับเหมือนว่ารับคำสั่งจากเจ้านายของตนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น มือหนาของเจย์เดนก็หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาพลางจิบไปด้วย ซึ่งสิ่งนี้เป็นกิจวัตรของเขาโดยทุกวัน แต่มันกลับทำให้ลินินที่เห็นภาพนี้เกิดคำถามขึ้นในใจทันที ‘แวมไพร์ต้องดื่มกาแฟด้วยอย่างนั้นเหรอ’ แต่ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนนัก เจย์เดนก็เอ่ยออกมาราวกับรู้ทัน “ข้าไม่ได้ดื่มเพราะอยากได้ฤทธิ์คาเฟอีนสักหน่อย แต่ข้าหลงใหลกลิ่นของมันต่างหาก” ลินินได้ยินเช่นนั้นก็คิ้วขมวด เป็นอีกครั้งที่เขาล่วงรู้ความคิดในใจของเธอ หรือว่าเขาจะอ่านใจได้กันนะ แต่ยังไม่ทันจะได้หาคำตอบ เจย์เดนก็ตอบคำถามนั้นเสียก่อนแล้ว “อ๋อ ใช่ เจ้าเข้าใจถูกแล้ว เจ้ามนุษย์” เจย์เดนเอ่ยเน้นย้ำคำว่า ‘มนุษย์’ เพื่อให้ลินินเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขา “ละ...แล้ว...คุณอ่านใจได้ตลอดเลยหรือเปล่า?” “ข้าอยากอ่านเมื่อใดก็ย่อมอ่านได้ตลอดนั่นแหละ” เจย์เดนอธิบาย พลางยักไหล่เหมือนกับความสามารถนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับตน “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะอ่านเฉพาะตอนที่อยากเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะรู้ความลับของเจ้าไปเสียหมดหรอก” “อะ...อ๋อ...” ลินินพยักหน้ารับเพื่อให้ทราบว่าเธอเข้าใจในคำพูดของเขา เจย์เดนที่กำลังจะเอ่ยพูดต่อก็ชะงักลงกะทันหัน เมื่อสังเกตได้ว่าดูเหมือนตัวเองจะพูดพล่ามกับเจ้ามนุษย์สาวนี่เยอะเกินไปแล้ว และมันทำให้เขารู้สึกเสียคาแรคเตอร์อย่างไรชอบกล เขาจึงเงียบปากลงและหันไปดื่มด่ำกับกาแฟของตัวเองต่อ ส่วนลินินที่เห็นเขาไม่พูดอะไรต่อก็ได้แต่นั่งเงียบรอจานอาหารมาเสิร์ฟ แต่ในระหว่างนั้น อยู่ ๆ เธอก็อุทานขึ้นมากะทันหัน “อย่าบอกนะ!?” ลินินแอบนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ที่เธอแอบคิดว่าเจย์เดนหล่อเหลาเพียงใด เมื่อนั้นใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นอย่างฉับพลัน เจย์เดนที่เห็นดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยความฉงน แววตาดูตกใจแต่ก็ดูอยากรู้อยากเห็นไปตามกัน “อะไร?” แต่ลินินพยายามรักษาท่าทางให้สงบ เพราะจากที่เธอลองพิจารณาลักษณะนิสัยของเจย์เดนแล้ว หากเขารู้เรื่องนั้นคงอดไม่ได้ที่จะนำมาพูดทับถมเพื่อให้เธอเขินอายเป็นแน่ นั่นจึงเห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทราบเรื่องนั้น ลินินจึงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง “อะไรกัน เจ้าแอบคิดอะไรลับหลังข้าอย่างนั้นเหรอ” เจย์เดนที่รับรู้ได้ว่าลินินกำลังพยายามสะกัดกั้นความคิดของตัวเองก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเธออย่างค่อย ๆ “ปะ...เปล่าหนิ...” ว่าพลางหลบหลีกสายตาไปอีกข้าง สายตาคมกริบจ้องมองเธอก่อนจะพยายามพินิจใจเธออีกครั้ง และเมื่อพบกับความว่างเปล่าเขาก็ต้องยอมแพ้และเอ่ยขึ้นว่า “อย่าให้ข้าจับได้แล้วกัน...” จากนั้นก็แสยะยิ้มแล้วเดินหันหลังกลับไปนั่งบนโต๊ะอาหารตรงตำแหน่งเดิม “....” พยายามนิ่งเงียบจนถึงที่สุด หลังจากดื่มกาแฟเสร็จ เจย์เดนก็สั่งให้ผู้รับใช้นำนำจานอาหารมาเสิร์ฟ ในจานนั้นประกอบไปด้วยสเต๊กที่ทำมาจากเนื้อชั้นดี และมันฝรั่งบด เจย์เดนลงมือทานอาหารพวกนั้นด้วยท่าทางธรรมชาติ ในขณะที่ลินินจ้องมองเขาด้วยแววตาฉงนไม่ต่างจากตอนที่เห็นเขาดื่มกาแฟเมื่อครู่ “จะรอให้อาหารเย็นชืดหรือไง กินได้แล้ว” เจย์เดนบอก จากนั้นก็ทานอาหารของตัวเองต่อไป ลินินพยักหน้าพลางหยิบส้อมกับมีดขึ้นมาอย่างว่าง่าย แต่แล้วเธอก็พึมพำกับตัวเองอีกครั้ง “...นึกว่าดื่มเลือดได้อย่างเดียวซะอีก” “เข้าใจผิดแล้วเจ้ามนุษย์ หากพวกข้าดื่มแต่เลือด คงแฝงตัวอยู่ในโลกมนุษย์ได้ยากแล้วล่ะ จะบอกอะไรให้ พวกชนชั้นสูงอย่างเราจะดื่มเลือดเมื่ออยู่ในสภาวะที่อ่อนกำลังเท่านั้น แต่...” เจย์เดนเว้นช่วงประโยคก่อนจะชี้ไปทางผู้รับใช้คนหนึ่งที่แอบยืนจ้องลินินอยู่ตรงมุมห้องอาหาร “ถ้าเป็นเจ้านั่นอยากดื่มเลือดเจ้าก็ไม่แน่...” “!!!” และด้วยท่าทางของมันเหมือนกำลังจ้องจะตะครุบเหยื่อ เมื่อลินินหันไปและเห็นแบบนั้นเข้าก็ตื่นตระหนก สองขารีบลุกขึ้นยืนแล้วออกตัววิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังชาร์ลแทนที่จะเป็นเจย์เดน ร่างสูงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันมองผู้ติดตามของตัวเองที่ถูกลินินจับแขนเอาไว้แน่นพร้อมสีหน้าบึ้งตึง ‘เจ้าควรจะมาหาข้าสิ ไม่ใช่ไปหาผู้ติดตามของข้า’ ช่วยไม่ได้...ใครให้ชาร์ลดูอบอุ่นมากกว่าเขากันเล่า ลินินที่เห็นแบบนั้นก็ต้องเลือกเข้าหาคนที่มีท่าทางจะช่วยเธอมากกว่ากลั่นแกล้งสิ ชาร์ลเห็นท่านชายของตนคิ้วขมวดงุ่นด้วยความหึงหวงก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะหันไปบอกลินินด้วยความสัตย์จริง “คุณหนูลินินไม่ต้องห่วงครับ เจ้านั่นไม่กล้าเข้าใกล้คุณหนูหรอก เพราะท่านชายกำชับเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว” ลินินได้ยินแบบนั้นก็ปล่อยมือที่กอบกำแขนเสื้อของชาร์ลเอาไว้ออก จากนั้นจึงหันไปมองค้อนใส่เจย์เดนแล้วกล่าวตำหนิเขาอย่างเสียอดไม่ได้ “นี่นายแกล้งฉันเหรอ!?” “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหวาดกลัวขนาดนั้นหนิ” “ถ้านายแกล้งฉันอีกรอบ ฉันจะเอากระเทียมมายัดปากนายซะ!” ลินินประกาศกร้าวก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่และทานอาหารตามปกติ เจย์เดนกับชาร์ลที่ได้ยินแบบนั้นก็หันมองหน้ากัน ก่อนจะแอบยิ้มที่ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของลินินว่าแท้จริงแล้วเธอก็สู้คนอยู่ไม่น้อย “เอาเป็นว่า ข้าจะพยายามแกล้งเจ้าให้น้อยลงแล้วกันนะ” เจย์เดนพูดขึ้น “แต่ข้าจะบอกอะไรที่เจ้าควรรู้อยู่อย่างให้นะ...พวกข้าไม่ได้กลัวกระเทียมกันหรอก” “?” ลินินงุนงง จากที่เคยอ่านหรือดูในหนังมา ส่วนใหญ่บทมักจะเขียนให้แวมไพร์กลัวกระเทียมกันนี่นา “การรับรู้ของพวกข้าจะไวกว่าพวกเจ้า จึงไม่ค่อยชอบสิ่งที่มีกลิ่นฉุนก็เท่านั้น แต่ไม่ได้กลัว...” เจย์เดนเปิดมุมมองให้ลินินได้รับรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเขามากขึ้น “แต่อย่างน้อย นายก็ไม่ชอบ...” ลินินเห็นว่าคำขู่ก่อนหน้าดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผล แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ชอบก็เท่ากับเกลียดหรือกลัวนั่นแหละ! เธอคิดเป็นการปลอบใจตัวเอง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ลินินก็ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วบอกลาเจย์เดนเพื่อจะออกเดินทางไปพร้อมชาร์ล แต่แล้วก็โดนเจย์เดนคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน “เปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้าด้วย” หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่แล้ว เขาไม่ยอมละสายตาให้ลินินอยู่กับชาร์ลเพียงสองต่อสองหรอก ชาร์ลที่รู้ความคิดในใจของเจ้านายตัวเองก็แอบยิ้มอย่างขบขัน แต่เมื่อเห็นสายตาของเจย์เดนที่มองมาอย่างเชือดเฉือนเขาก็ต้องรีบก้มหน้าหลบซ่อนรอยยิ้มนั้นทันที หลายวันผ่านไป ลินินใช้ชีวิตในคฤหาสน์ตามกฎที่เจย์เดนกำชับไว้อย่างเคร่งครัด ช่วงนี้เธอจึงไม่ได้ไปทำงานพาร์ทไทม์เหมือนเคยแล้ว เนื่องจากเธอต้องไปโรงเรียนในช่วงเช้า และหากไปเข้างานก็จะต้องเลิกดึก และเกินเวลาเคอร์ฟิวที่ท่านชายจอมขี้แกล้งกำหนด แต่เงินที่สะสมมาก็เริ่มร่อยหรอลงทุกที นอกจากนี้ยังต้องไปซื้อหนังสือเตรียมสอบมาอ่านเพิ่มเติมอีกต่างหาก ใช่แล้ว เธอวางแผนจะสอบเข้ามหาลัย และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องสอบให้ได้ด้วย! โชคยังดีที่ทุกวันนี้เจย์เดนยังให้เงินรายวันกับเธอไปโรงเรียนด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่เข้าใจความตั้งใจของเขาที่อยู่ ๆ ก็นำตัวเธอมาเลี้ยงดูอย่างดีเช่นนี้ แต่ครั้นจะเอ่ยถามอยู่ทุกครั้ง เจย์เดนก็เพิ่มกฎขึ้นมาเสียอย่างนั้น นั่นคือกฎที่ว่า “อย่าถามอะไรมาก เพราะนั่นจะทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี และหากข้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าจะได้กลายเป็นอาหารของข้าแน่” เขาแกล้งขู่เพื่อกำชับความสำคัญของกฎข้อนี้ ทำให้ลินินที่หวาดหวั่นว่าเขาจะจับเธอกินเมื่อใดก็ได้นั้น ยอมทำตามคำพูดของเขาเสียโดยง่าย นับแต่นั้นมาเธอจึงไม่กล้าสงสัยอะไรในตัวเจย์เดนมากนัก “ท่านชายยังไม่บอกท่านหญิงอีกหรือขอรับ” ชาร์ล ยืนพูดคุยกับเจย์เดน ขณะที่สายตาคมกริบของเขากำลังมองลินินที่เดินสำรวจชั้นหนังสือภายในห้องสมุดของคฤหาสน์ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “เอาไว้ก่อน...ข้ายังสนุกกับการได้แกล้งนางอยู่เลย” “ระวังท่านหญิงจะกลัวจนช็อคนะขอรับ มนุษย์อ่อนแอจะตายไป” คำกล่าวเตือนจากโหรหลวงทำให้เจย์เดนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเขาก็แสยะยิ้มขึ้นต่ออย่างไม่หวั่นเกรง “ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงนางก็ต้องเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ในสักวัน ข้าอยากจะเล่นกับนางให้พอใจก่อน” เจย์เดนว่า สายตายังคงจับจ้องลินินที่ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องสมึดคฤหาสน์ และกำลังหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาอ่านอย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่มนุษย์อย่างเธอกำลังอ่านหนังสือ แวมไพร์ก็เพลิดเพลินไปกับการได้แอบมองเธออยู่อย่างนี้ ยิ่งนานวันเข้า สิ่งนี้ก็กลายเป็นงานอดิเรกของเขาไปเสียแล้ว ช่วงวันหยุด จากที่ลินินเคยออกมาเดินเล่นชมสวนในคฤหาสน์ แต่ช่วงนี้กลับอยู่แต่ในห้องนอน เป็นเพราะเธอใกล้จบมัธยมปลายแล้ว จึงต้องใช้เวลาอ่านหนังสือเตรียทสอบเป็นส่วนใหญ่ แต่ภายในห้องที่กว้างใหญ่นั้นกลับไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือเลย นอกจากเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง และตู้เสื้อผ้าแล้ว ภายในห้องกลับเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งเฟอร์นิเจอร์อื่นใดตั้งวาง อันที่จริงแล้ว มันก็ทำให้ลินินรู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน นอกจากนี้เธอยังต้องนั่งอ่านหนังสือบนพื้นหรือบนเตียงแทน ครั้นจะไปอ่านในห้องสมุดคฤหาสน์เธอก็ไม่สามารถนั่งอ่านจนดึกดื่นได้อยู่ดี...ด้วยกลัวว่าจะถูกพวกแวมไพร์ที่กลายร่างเป็นปีศาจมาจับกินเข้า เธอจึงเลือกที่จะอยู่อ่านในห้องนอนเสียมากกว่า “ช่วงนี้คุณหนูลินินอ่านหนังสือเตรียมสอบทั้งวันทั้งคืนเลยขอรับ แต่ว่า...” ชาร์ลเดินเข้ามารายงานเรื่องของลินินให้เจย์เดนฟังดั่งปกติเช่นเคยทำทุกวัน เนื่องจากเป็นคำสั่งของเจย์เดนที่คอยให้เขาจับตาและรายงานเรื่องของลินินให้ฟังทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรของเธอตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน เขาให้รายงานทั้งหมด “แต่อะไร?” เมื่อเห็นผู้ติดตามเว้นช่วงประโยคนาน เขาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หารู้ไม่ว่าเป็นเพียงการกลั่นแกล้งเพื่อให้เขาร้อนรนใจเพียงเท่านั้น ชาร์ลยกยิ้มขึ้นอย่างมีชัย ก่อนจะกระแอมแล้วรีบบอกกล่าวต่อ หากยังลีลาอยู่เช่นนี้ มีหวังเขาได้โดนบาทาของท่านชายก่อนรายงานจบเป็นแน่แท้ “ในห้องไม่มีโต๊ะอ่านหนังสือขอรับ คุณหนูลินินต้องนั่งอ่านหนังสือบนพื้น ไม่ก็ต้องนอนอ่านบนเตียงแทน...คงปวดคอปวดหลังน่าดูเลย” ว่าพลางทำท่ามนุษย์ปวดคอปวดหลังเป็นภาพประกอบไปด้วย ว่าจบ ชาร์ลก็แอบเหลือบมองอาการของท่านชายตัวเองว่าเขาจะใส่ใจเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด แต่เจย์เดนก็เพียงทำท่านิ่งเฉย ก่อนจะกลับไปสนใจกองงานที่อยู่บนโต๊ะต่อแล้วเอ่ยขึ้นเสียงแข็งว่า “แล้วยังไง? เจ้าตัวยังไม่มาบ่นให้ข้าฟังเลย เหตุใดข้าจะต้องใส่ใจเรื่องการปวดคอปวดหลังของนางด้วย” น้ำเสียงในคำพูดดูเหมือนจะน้อยใจอย่างไรไม่รู้ เหตุใดเธอจึงไม่มาชี้แจงเองว่าขาดเหลือสิ่งใดกับเขาเลย ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ ลินินไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาเลยสักครั้ง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่สำหรับเจย์เดนเขากลับรู้สึกถูกเมินเฉยเสียมากกว่า ชาร์ลได้แต่ส่ายศีรษะอย่างหน่าย ๆ ก็ท่านชายไม่ยอมบอกคุณหนูลินินตามตรงว่าพาเธอมาอยู่ในฐานะใด แบบนี้ใครจะกล้าเข้าหากันเล่า แค่เขาไปไถ่ตัวและพาเธอมาเลี้ยงดูอย่างดี เธอก็คงเกรงใจจะแย่อยู่แล้วล่ะ ชาร์ลคิดในใจ ก่อนจะก้มทำความเคารพเจย์เดนแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ยังไงก็...ลองพิจารณาดูนะขอรับท่านชาย ว่าที่ชายาของท่าจะปวดคอปวดหลังเอานะขอรับ” จากนั้นก็ถอยหลังแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อพ้นสายตาของชาร์ลแล้ว เจย์เดนก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาขึ้นอีกครั้ง ในคืนวันนั้น เขาจึงแอบมาสังเกตการณ์ที่ห้องของเธอด้วยตัวเองในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน