แต่ในขณะที่เธอกำลังก้าวเดินตามแผ่นหลังของเจย์เดน ชายชราคนหนึ่งก็รีบเดินตรงเข้ามาพร้อมเอ่ยทักทายเธออย่างนอบน้อม ราวกับมองว่าเธอนั้นมีฐานะสูงส่งอย่างไรอย่างนั้น
“มาแล้วหรือครับท่านหญิง”
ท่านหญิงอย่างนั้นเหรอ? ลินินครุ่นคิดในใจพลางขมวดคิ้วแล้วหันมองไปยังเจย์เดนด้วยความฉงน คิดไม่ตกว่าเขาพาเธอมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลใดกันแน่
แต่ถึงอย่างนั้นเจย์เดนก็ยังคงปิดปากเงียบก่อนจะส่งสายตาให้ชายชราผู้ที่เดินเข้ามาทักทายเธอรีบออกไป
“ตามมา...” ขายาวก้าวนำเธอต่อไป ลินินก็เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย เอาเถอะ จะให้มาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ยังดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอนแหละนะลินิน...
ขณะที่เดินตามเขาไป สายตาของเธอก็มองสำรวจภายในคฤหาสน์ระหว่างทางที่เดินไปด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะดูหรูหราอลังการ แต่กลับดูมืดมนและอึมครึมชวนให้รู้สึกน่าอึดอัด นอกจากนี้ยังมีเสียงกระซิบแผ่วเบาหรือเสียงหวีดร้องดังตามสายลมมาเป็นครั้งคราวอีกต่างหาก สร้างความหวาดหวั่นภายในใจให้กับลินินไม่น้อยเลยทีเดียว เธอจึงรีบสาวเท้าเดินให้ว่องไวมากยิ่งขึ้นเพื่อตามหลังเจย์เดนให้ทัน
ร่างสูงเดินพาลินินไปที่ห้องนอนของเธอ ห้องนั้นใหญ่โตมโหฬาร ภายในถูกตกแต่งอย่างสวยงาม เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ทั้งเตียงนอนที่ทำจากเนื้อไม้ชั้นดี ฟูกหนาที่เรือนร่างของเธอไม่เคยมีวาสนาได้แตะต้อง รวมถึงโต๊ะเครื่องแป้งและตูเสื้อผ้าหลังใหญ่โต ทำเอาลินินถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว
นี่เธอจะได้พักอยู่ในห้องดี ๆ แบบนี้อย่างนั้นเหรอ? ยิ่งทำให้ลินินรู้สึกแปลกใจเข้าไปใหญ่ ว่าเขาพาเธอมาอยู่ที่นี่ในฐานะใดกันแน่
“นี่ เบล สาวใช้ประจำตัวของเจ้า มีอะไรก็เรียกใช้นางแล้วกัน” เจย์เดนกล่าวเสียงเรียบ ยังคงสงวนท่าทีด้วยความเย็นชา
“สาวใช้เหรอ? ไม่ต้องหรอก ฉันจัดการทุกอย่างเองได้” ลินินรีบปฏิเสธ แค่เพียงที่พักก็ดีเลิศเกินพอแล้ว ยังจะต้องมีสาวใช้อะไรกันอีก...
“ก็แล้วแต่เจ้า...จะเรียกใช้นางหรือไม่ก็ตามใจ” เขากล่าวเหมือนไม่ค่อยใส่ใจอะไรมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปรายตาคมกริบไปยังสาวใช้ ราวกับบอกเป็นนัยว่าห้ามขาดตกบกพร่องในการดูแลเธอผู้นี้แม้แต่น้อย
สาวใช้ที่เห็นสายตาของท่านชายก็เข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี เธอจึงรีบก้มศีรษะลงถือว่าเป็นการน้อมรับคำสั่งจากเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยความที่ทราบดีว่าลินินมีฐานะใดในคฤหาสน์หลังนี้
“วางกระเป๋าลงแล้วให้เบลเอาไปเก็บเข้าที่ซะ ส่วนเจ้าตามข้ามา” เจย์เดนบอกให้ลินินวางกระเป๋าลงเพื่อให้สาวใช้นำมันเข้าไปเก็บในห้อง แล้วลากเธอไปตามทางเดินของคฤหาสน์ เพื่อแนะนำสถานที่พร้อมกับบอกกฎระเบียบที่เธอต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
“ห้ามกลับหลังเวลาสองทุ่ม ห้ามเดินเพ่นพ่านไปแถวปีกตะวันตก ห้ามแตะต้องของในคฤหาสน์โดยไม่ได้รับอนุญาต และตอนกลางดึก อย่าออกมาเพ่นพ่านนอกห้องของเจ้า” ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดทำเอาลินินขนลุกวูบ ไม่ค่อยสบายใจอย่างไรชอบกล หรือเป็นเพราะน้ำเสียงของเจย์เดนที่ทำให้เธอรู้สึกเย็นวูบขึ้นมากันนะ
แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงอดถามไม่ได้ “มีอะไรทางปีกตะวันตกของคฤหาสน์?”
ได้ยินประโยคคำถามนี้เจย์เดนหยุดเดินทันที "ไม่ใช่เรื่องของเจ้า" พูดจบสายตาก็ฉายแววเย็นชามากกว่าครั้งไหน
ลินินได้ยินแบบนั้นก็รีบก้มหน้าหลบสายตาของเขา แต่ด้วยความยังเป็นกังวล เธอจึงเอ่ยถามต่อ "ข้า…ข้าเพียงแค่คิดว่าอาจต้องรู้เอาไว้ จะได้ไม่เดินไป..."
"เจ้าแค่ไม่เดินไปตามที่ข้าบอกแต่แรกเสียก็สิ้นเรื่อง คนนอกอย่างเจ้าไม่ต้องรู้อะไรเยอะหรอก"
ลินินรีบก้มหน้าก้มตาเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ความรู้สึกน้อยใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ‘ไม่ได้อยากจะมาอยู่สักหน่อย พาฉันมาเองแท้ ๆ แล้วยังจะพูดจาเช่นนี้อีก’ ลินินคิดในใจแต่ก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำมากนัก
"แล้ว…ตอนกลางดึก ถ้าฉันหิวน้ำจะทำยังไง ในเมื่อคุณไม่ให้ออกมาเดิน"
“เตรียมเข้าไปสิ” เจย์เดนตอบกลับทันที แต่ถึงอย่างนั้นลินินก็ยังไม่หยุดเป็น ‘เจ้าหนูทำไม’ สักที
“แล้ว...มีอะไรในคฤหาสน์ตอนกลางดึกเหรอ?”
"เจ้านี่ อยากรู้เสียเหลือเกินนะ?" เจย์เดนแค่นหัวเราะก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ “พวกแวมไพร์...”
“แวมไพร์เหรอ!?” ลินินกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ จนลืมตัวเอ่ยว่ากำลังเอ่ยขัดเจ้าของคฤหาสน์
“ถ้าเจ้าอยากอยู่รอดปลอดภัยในคฤหาสน์หลังนี้ สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำก็คือ ฟังข้าให้ดี”
“อะ...อ่อ...ได้...” ลินินก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะตั้งใจฟังอย่างถึงที่สุด
“พวกแวมไพร์อย่างพวกข้ามีหลายชนชั้น พวกชนชั้นสูงอย่างพวกข้า เรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองต่อหน้ามนุษย์อย่างเจ้าได้ แต่กับพวกอื่นยังกลายร่างเป็นแวมไพร์ในร่างปีศาจได้อยู่ เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ตอนที่เดินผ่านเมื่อครู่ พวกที่หน้าตาแปลก ๆ หูแหลม ๆ มีเขี้ยวงอกออกมา”
“(‘ ‘)(. .)(‘ ‘)”
“ข้าจะบอกอะไรให้...” เจย์เดนเว้นช่วงประโยคไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามดึงเค้นน้ำเสียงให้เยือกเย็นชวนน่าขนลุกมากยิ่งขึ้น ด้วยความอยากให้ลินินรู้สึกหวาดกลัวจับจิต “พวกนั้นมันชอบหิวกลางดึก”
และเหมือนจะได้ผล เพราะเธอเริ่มหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาแวมไพร์ขี้แกล้งอย่างเขาได้ใจเข้าไปใหญ่
“แล้วเลือดเจ้าก็หอมเย้ายวนเสียเหลือเกิน พวกหิว ๆ นี่มันชอบนักแหละ”
ร่างของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่สายตาก็ยังจ้องมองเจย์เดนที่อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ "นี่คุณพูดจริงหรือแค่ขู่กันแน่" ขณะถาม แววตาของเธอก็ยังสั่นคลอนด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าคิดว่าข้าตั้งกฎนั้นขึ้นมาเพราะอยากแกล้งเจ้าอย่างนั้นเหรอ ถ้าข้าอยากทำแบบนั้น คงเลือกไม่บอกเสียดีกว่า”
“ละ...แล้ว...ที่คุณไถ่ตัวฉันมาเพราะอะไร”
“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”
“เป็นเพราะเลือดฉันหอมก็เลยอยากจะกินอย่างนั้นเหรอ?” ลินินถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่เธอก็ยังพยายามหาคำตอบจากสายตาของเจย์เดน ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะชอบใจกับท่าทางหวาดกลัวของเธออยู่ไม่น้อย
“ข้าไม่ปฏิเสธหรอกว่าเจ้าน่ากิน...” ว่าพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง แต่มันกลับให้ความรู้สึกชวนขยี้ใจมากกว่าจะทำให้เธอหวาดกลัวเสียไปเสียอย่างนั้น
‘บ้าจริง นี่คิดอะไรอยู่เนี่ยลินิน! เขาจะกินเรานะ!’ ลินินพยายามเตือนตัวเอง
“แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ายังไม่กินเจ้าตอนนี้หรอก”
คำพูดนี้ทำให้ลินินนึกถึงหมูที่ถูกเลี้ยงด้วยลำข้าวอย่างดีเพื่อรอวันที่ถูกเชือดอย่างไรไม่รู้ หรือว่าชะตากรรมของเธอจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
แต่ก็อย่างว่า...ความหมายคำว่า ‘กิน’ ของเจย์เดนนั้น ไม่ใช่คำที่สื่อความหมายปกติทั่วไป แต่ลินินไม่ได้ล่วงรู้คลังศัพท์ในพจนานุกรมของเขาเสียหน่อย
นอกจากนี้เจย์เดนก็ยังไม่ยอมบอกเธอโดยตรงถึงสาเหตุที่เขาพาเธอมาอยู่ที่นี่
“ล…แล้วจะให้ฉันทำหน้าที่อะไรในคฤหาสน์นี้” ลินินเอ่ยถาม เธอทราบดีว่าเขาคงไม่ยอมเสียเงินหลักล้านเพื่อให้เธอมาอยู่ในคฤหาสน์นี้เฉย ๆ หรอก “ฉันล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ทำได้หมดเลย!”
‘ไม่แน่...ถ้าทำหน้าที่ได้ดี เขาอาจจะละเว้นโทษไม่กินฉันก็ได้’ ลินินคิดในใจ และโชคดีที่ในตอนนี้เจย์เดนเลิกพินิจใจของเธอไปนานแล้ว มิเช่นนั้นเขาอาจขำค้างกับความคิดไร้เดียงสาของเธอเป็นแน่
เขายังคงยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์อยู่ตลอด จ้องมองเธอด้วยสายตาแทะโลมต่ออีกสักครู่ และในที่สุดก็พูดออกมาว่า
“หน้าที่ของเจ้าก็คือ...เอาหน้าสวย ๆ นี่มาให้ข้าเชยชมทุกวัน เท่านั้นแหละ” ขณะกล่าว นิ้วเรียวยาวก็ลูบไล้ตรงกรอบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน แต่ทุกท่วงท่ากลับแฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ลินินไม่กล้าขยับหนี
แล้วเธอควรจะตอบเขาอย่างไรดีเนี่ย! ลินินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ
อีกด้านหนึ่ง...
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยเย้าหยอกกันอยู่นั้น ผู้ติดตามคนสนิทอย่าง ชาร์ลและโหรหลวงประจำตระกูลที่ยืนมองอยู่จากชั้นบนของคฤหาสน์ก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ดูเหมือนท่านชายจะมีความสุขดีนะขอรับ” พวกเขามีรอยยิ้มเปี่ยมสุข และยินดีกับการมาถึงของท่านหญิงแห่งตระกูลแบรดฟอร์ดยิ่งนัก
บรรดาผู้รับใช้ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ล้วนคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ลินินจะเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าตัวที่ถูกพามาอยู่ในสถานที่แปลกใหม่นั้น แทบลมจับทุกครั้งเมื่อเห็นหรือได้ยินเสียงประหลาดภายในในคฤหาสน์แห่งนี้
และดูเหมือนว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้จะชื่นชอบกับการทำให้เธอหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน