เสียงบานประตูแง้มออกแผ่วเบาท่ามกลางหมอกแห่งรัตติกาล เฉิงซินนอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตัวโยน พลางดีดกายลุกขึ้น รวบเอาผ้าแพรผืนบางขึ้นมาหุ้มเรือนกายของตนเอาไว้ด้วยท่าทีระแวดระวัง
"ผู้ใด!?"
"..."
เสียงฝีเท้าย่างกรายเข้ามาเชื่องช้า ไม่หนักไม่เบาจนเกินไป เฉิงซินพยายามเงี่ยหูฟัง คราก่อนที่นางได้เดินชมตลาดกับรองแม่ทัพเสวียนเฉิงฮุยบังเอิญเขาได้มอบมีดพกติดกายเล่มหนึ่งเอาไว้เพื่อให้เฉิงซินใช้ป้องกันตัวยามจำเป็น นางจึงลอบหยิบของมีคมขนาดเล็กชิ้นนั้นขึ้นมาด้วยฝ่ามือสั่นเทา
คงไม่ใช่เว่ยจวินอี้กระมัง เขาไม่เคยโผล่หัวมานานแล้ว
เฉิงซินลอบกลืนน้ำลายลงคอ ฝ่ามือกระชับมีดสั้นลายวิจิตรสีงาช้างภายในมือของตนแน่นขึ้น เหงื่อเย็นแตกพลั่ก นางพยายามครุ่นคิดถึงวิธีเอาตัวรอด
หรือร้องตะโกนออกไปเลย แต่หากโจรมันโกรธเล่าแล้ววิ่งเข้ามาจ้วงแทง กระนั้นคงไม่ตายอีกหนหรอกหรือ
ขณะที่เฉิงซินพยายามครุ่นคิด เงาสูงหม่นทะมึนก็มาหยุดยืนบริเวณข้างเตียงเสียแล้ว เฉิงซินเบิกตากว้างตะลึงลาน อาการลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก เงาด้านนอกแหวกผ้าแพรผืนบางออกเชื่องช้า ทันทีที่ผ้าถูกเปิดออก เฉิงซินพลันหลับดวงตาปี๋และจ้วงแทงมีดสั้นออกไปเบื้องหน้าสะเปะสะปะ ฝ่ามือของเธอถูกคว้าหมับเข้าอย่างจัง เฉิงซินถูกดึงลอยหวือนอนแผ่หลาลงบนที่นอน
นางตกใจรนจนเสียอาการ มือที่ยังคงถืออาวุธถูกล็อกติดกับฟูกนอน ปากที่กำลังอ้าเผยอเพื่อร้องตะโกนโดนตะปบเอาไว้เต็มเปา ด้วยความสลัวของแสงเทียนจึงทำให้นางมองผู้มาเยือนไม่ถนัดตานัก ทว่ากลิ่นกายที่ลอยเข้ามาแตะโพรงจมูกกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
"กำลังทำสิ่งใด จะฆ่าสามีตัวเองหรืออย่างไร อีกอย่างหลับหูหลับตากวาดแทงมั่วซั่วเช่นนี้หากเป็นโจรเจ้าคงได้ตายไปก่อนแล้วกระมัง" เงากำยำกล่าวเสียงเข้ม เฉิงซินรู้ได้ทันทีว่าคือผู้ใด นางจึงหยุดดิ้นทันควัน
เมื่อรับรู้ถึงอาการสงบนิ่งของอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงลดมือลงเชื่องช้า ทว่ามืออีกด้านยังคงกดข้อมือเฉิงซินเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
"เว่ยจวินอี้ ท่านมาได้อย่างไร"
"นี่ห้องของข้า ข้าจะกลับมาพักผ่อน มีตรงใดแปลกนักหรือ" เว่ยจวินอี้กล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
ทว่าเฉิงซินกลับถลึงดวงตามองเขาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ "แต่ท่านไม่ได้กลับมานานแล้ว อีกอย่างข้าไม่อยากนอนร่วมห้องกับท่าน"
"หากไม่อยากร่วมห้องกับสามีตน เช่นนั้นเจ้าอยากร่วมห้องกับร้องแม่ทัพเสวียนหรืออย่างไร"
"เหลวไหล!" เฉิงซินเริ่มมีไฟโทสะปะทุก่อขึ้น
เหตุใดแม่ทัพเว่ยผู้นี้ต้องกล่าวดูแคลนนางเช่นนี้ด้วยเล่า นางและรองแม่ทัพเสวียนเป็นสหายกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เฉิงซินไม่เคยคิดกับเสวียนเฉิงฮุยเกินคำว่าสหายแม้แต่น้อย ทว่าวันนี้กลับถูกวาจาจาบจ้วงของแม่ทัพหยามหยันเสียจนหน้าชา
"แล้ววันนี้เจ้าไปที่ใดมา ไปกับผู้ใดเช่นนั้นหรือ เดี๋ยวนี้ออกไปนอกจวนกลับไม่เคยบอกให้ข้าทราบ" เว่ยจวินอี้กล่าวเสียงเข้ม
"แล้วอย่างไร วัน ๆ ท่านก็ไม่ได้สนใจข้า ท่านดีกว่าข้าอย่างไร อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นว่าท่านเองก็ลอบไปหาคุณหนูช่ายจี้ถง"
เว่ยจวินอี้ถูกตอกกลับเสียจนหน้าแทบหงาย เขาได้พบกับช่ายจี้ถงเมื่อวันก่อนจริง ทว่านั่นเป็นเพียงการพูดคุยราชการกับบิดาของนางเท่านั้น นางเป็นเพียงบุตรสาวที่ติดตามบิดามาร่วมด้วย เขาก็มิได้ขัดแต่อย่างใด คาดไม่ถึงว่าเฉิงซินกลับพบเข้า หรือว่านางกำลังคิดจับตามองเขาอยู่กันแน่
เว่ยจวินอี้กระแอม พยายามรักษาอาการเยือกนิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
"เจ้ารู้ได้อย่างไร"
"เหอะ! ไม่เพียงข้าที่รู้ ผู้อื่นเขาก็เล่าลือกันทั่ว"
อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังนิ่งงัน เฉิงซินจึงยันกายขึ้น และผลักอกเว่ยจวินอี้ออกให้พ้นทาง ข้อมือที่ถูกพันธนาการเมื่อสักครู่หลุดออกแล้ว นางจึงหมุนไปมาเพื่อคลายความเจ็บปวด
"ในเมื่อเจ้าของมาทวงพื้นที่ข้าก็ไม่อยากอยู่ เช่นนั้นก็เชิญท่านนอนให้สบายใจ"
เฉิงซินตั้งท่าลงจากเตียง ทว่ากลับถูกสายตาดุดันตรึงเอาไว้เสียจนร่างกายชาหนึบ นางไม่กล้ากระดิกแม้แต่ปลายนิ้ว
"ปะ...ไปนอนตรงนั้น"
เฉิงซินชี้ไปยังเตียงไม้ขัดขนาดพอดีตัว ทว่าเล็กกว่าเตียงนอนอยู่มาก หากไปนอนตรงนั้นคงเมื่อยอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นนางก็ไม่อยากร่วมเตียงกับคนเลือดเย็นเช่นเว่ยจวินอี้ สู้ไปนอนหลังขดหลังแข็งยังดีเสียกว่าร่วมเรียงเคียงหมอนคนไร้หัวใจ
"ไม่ต้องไป" เว่ยจวินอี้กล่าวน้ำเสียงกระด้าง
"เอ๊ะ ท่านนี่อย่างไร ข้าจะไปไม่ให้ไป ทีข้าจะอยู่ก็ไม่เคยรั้งสักครา"
เฉิงซินหน้างอ นางไม่อาจเดาใจคนผู้นี้ได้เลย ทว่านางยังคงหวาดกลัวเขานัก เพียงแต่ข่มอาการเอาไว้เท่านั้น มีผู้ใดบ้างที่ไม่เกรงกลัวผู้ที่เคยสังหารตนมาก่อน สาบานได้เลยว่าการรอดกลับมาและได้รับความทรงจำติดมาด้วย ทำให้นางต้องมองโลกใบนี้ใหม่เสียแล้ว และนางไม่มีวันญาติดีกับแม่ทัพเว่ยผู้นี้อย่างแน่นอน รอเพียงวันจะได้หย่าขาดและออกจากจวนแม่ทัพแห่งนี้ในเร็ววัน
โคมไฟดวงกลมห้อยระย้าสีแดงสาดสะท้อนประดับประดาเต็มรายทางและบ้านเรือน บรรยากาศดูละเมียดละไมอบอุ่น บุหลันสีนวลตาเปล่งลำแสง รอบด้านโอบล้อมด้วยดวงดาวพราวระยับ วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท้องถนนเบื้องหน้าจึงแลดูครึกครื้นเป็นพิเศษ หนึ่งสตรีร่างบางทว่าโอบประคองท้องกลมสวยเดินเคียงคู่บุรุษร่างสูง ราวกับภาพบนผนังลายวิจิตรเลิศตา"ท่านพี่ ดูนั่นสิเจ้าคะ"เว่ยจวินอี้ทอดสายตามองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังขนมไหว้พระจันทร์ลวดลายดอกไม้งามตา เขาคลี่ยิ้มอ่อนอย่างนึกเอ็นดู ตอนนี้มือทั้งสองของเขาแทบไม่เหลือที่ว่างให้สามารถหอบหิ้วสิ่งใดได้แล้ว"เจ้าอยากกินหรือ ที่ซื้อไปนี่เจ้าว่าจะทานหมดหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยอบอุ่นเฉิงซินยู่หน้าเล็กน้อย "ข้าไม่ได้หิวเสียหน่อย เป็นเจ้าตัวเล็กต่างหากเล่าเจ้าคะที่กำลังหิวอยู่" เฉิงซินลูบไล้ไปยังท้องของตนซึ่งยื่นออกมากลมดิก พลางแหงนหน้ามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ผู้เป็นสามี"ก็ได้ เช่นนั้นเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เล่า อย่าเที่ยวเดินสุ่มสี่สุ่มห้า"เฉิงซินฉีกยิ้มกว้างดีใจ "เจ้าค่ะท่านพี่"เว่ยจวินอี้เดินเข้าไปยังร้านที่มีผู้คนต่อแถวกันให้เนืองแน่น แม้เขาจะมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ก็มิได้ใช้
บรรยากาศภายในห้องสงบเงียบ แสงจากเชิงเทียนกลางโต๊ะกำลังส่องสว่างริบหรี่ เฉิงซินกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบาดแผลบนต้นแขนของเว่ยจวินอี้ ส่วนเขาก็เอาแต่นั่งจ้องคนที่กำลังดูแลบาดแผลให้ตนอย่างขะมักเขม้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย"เหตุใดเจ้าจึงอยากหย่ากับข้าเช่นนั้นหรือ" เว่ยจวินอี้กล่าวทำลายความเงียบสงัดเฉิงซินชะงักมือลงชั่วครู่ นางไม่ได้แหงนหน้ามองเขา เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ท่านเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ขมวดคิ้ว "รู้? ข้ารู้เรื่องใดเล่า หลังจากวันแต่งงานได้เพียงคืนเดียว ยามเช้าเจ้าก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาจ้องจะหย่ากับข้าให้ได้"การดูแลรักษาบาดแผลสิ้นสุดลง เฉิงซินเก็บข้าวของเรียบร้อย นางไม่ได้ตอบอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เว้นระยะเล็กน้อย แล้วจึงช้อนดวงตาขึ้นสบประสานกับดวงตาคมกริบที่ไม่คิดละสายตาออกจากตน"แม่ทัพเว่ย...""ท่านพี่"เฉิงซินนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงกล่าวอีกครั้ง "เรียกว่าท่านพี่""เอ่อ...ท่านพี่"เว่ยจวินอี้ยกโค้งมุมปากอย่างพึงพอใจ "ว่าอย่างไรเล่า""ที่ข้าอยากหย่ากับท่าน เดิมทีท่านก็ไม่เคยมีใจให้แก่ข้า""เจ้ารู้ได้อย่างไร" เว่ยจวินอี้เลิกคิ้ว นัยน์ตาพยายามกวาดมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาราว
ไม่รู้เช่นกันว่าค่ำคืนนี้นางนึกอุตริใดจึงพกมีดสั้นเอาไว้ เมื่อเห็นว่ามันหายไปจากเอวของตนและด้วยความเป็นกังวลจะเกิดอันตรายต่อแม่ทัพ นางจึงมุ่งหน้าตามอีกฝ่ายมา แม้ระหว่างทางอาจไขว้เขวเส้นทางไปบ้าง ทว่าโชคยังดีที่การเดาสุ่มของนางก็นำพาตนมาจนถึงที่แห่งนี้เสวียนเฉิงฮุย "เฉิงซิน"เฉิงซินช้อนดวงตามองคนตรงข้ามที่ยืนนิ่งเป็นหินผาไปเสียแล้ว รองแม่ทัพเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกข้าว่าอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ข้ากำลังช่วยเจ้าให้สมปรารถนา ทว่าเจ้าก็ยังวิ่งรี่กลับมาหาเขาตามเดิม ข้าไม่เข้าใจ""เฉิงฮุย นี่มันวิธีการใดของท่าน ข้าอยากหย่า แต่ท่านก็ไม่ต้องทำถึงเพียงนี้หรือไม่" เฉิงซินกล่าวตำหนิ"ข้าล้วนทำเพื่อเจ้า""ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าขอร้องพวกท่านทั้งสอง ถึงอย่างไรท่านก็คือสหายของข้า ส่วนท่าน..." เฉิงซินแหงนหน้ามองผู้ที่ยืนนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงจดจ้องดวงตาของนางตอบอย่างรอถ้อยคำเฉิงซินพ่นลมหายใจอ่อน "แม้ข้าอยากหย่ากับท่าน ทว่าในใจลึก ๆ ข้าไม่เคยลืมท่านได้เลย ข้าเพียงต้องการหลุดพ้นจากวงโคจรแห่งความเจ็บปวด..."เว่ยจวินอี้นิ่วหน้า "ข้าทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้นเช
ภายในป่าอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ เว่ยจวินอี้ไล่ตามชายชุดดำจนลึกเข้ามาถึงป่าไผ่สูงชะลูด เขายืนเยือกนิ่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาไผ่ต้นยาว เสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียดสีของลำต้นโงนเงนไปมาตามแรงลม เสริมความวังเวงให้น่าหดหู่มากยิ่งขึ้น เว่ยจวินอี้หอบหายใจเข้าออกถี่กระชั้น บ่งบอกถึงระยะทางที่เขาใช้แรงกายวิ่งออกมาไกลลิบ เส้นผมซึ่งถูกปล่อยสยายลงกลางหลัง และแขนเสื้อสีขาวกว้างปลิวล้อสายลมยามราตรีขับเน้นความหล่อเหลาทว่าน่าเกรงขามอยู่ในที เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ"มัวหลบซ่อนราวสุนัขหดหัว ไม่อายบ้างหรืออย่างไร ออกมาเสีย!"เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงฝีเท้าจึงค่อย ๆ ย่างกรายเนิบนาบมาจากมุมอับสายตาอันมืดมิดด้านหนึ่ง ชายร่างสูงสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีดำเข้ม ปกปิดหน้าครึ่งใบ ในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง เว่ยจวินอี้เขม้นมองของสิ่งนั้นอย่างสนใจใคร่รู้"เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้าเช่นนั้นหรือ ไฉนจึงตามระรานไม่เลิก"เว่ยจวินอี้ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะจากลำคอของอีกฝ่าย "เรื่องนั้นสำคัญด้วยเช่นนั้นหรือ""หึ" เว่ยจวินอี้แค่นยิ้ม "ต่อให้เจ้าไม่บอกคิดว่าข้าไม่รู้เช่
ซุนอี้เหวินยื่นช้อนจ่อไปยังริมฝีปากเว่ยจวินอี้ นางรู้สึกประหม่าจิตใจเต้นอึกทึก ดวงตาที่ไม่มีผ้าคาดปกปิดมานานเพียงนี้ราวกับว่าเขากำลังจดจ้องมาที่นางโดยไม่ละสายตา กลิ่นขมของยาโชยปะทะโพรงจมูกของเขา เว่ยจวินอี้รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องกลืนของเหลวรสย่ำแย่นี้แล้วจริง ๆ"ข้าไม่กินยาแล้วได้หรือไม่"ซุนอี้เหวินไม่ได้คะยั้นคะยอใด นางวางถ้วยลงและยื่นมือไปยังข้อมือของเว่ยจวินอี้ เขารู้เจตนาของนางดีว่าต้องการทำสิ่งใด เว่ยจวินอี้ยังคงนั่งสงบนิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจวัดชีพจรของตนอย่างใจเย็น ซุนอี้เหวินขมวดคิ้ว หัวใจของนางเริ่มเต้นดังโครมคราม เหงื่อเย็นผุดพราวราวพบเจอเรื่องน่าประหวั่นเข้าให้เสียแล้ว ก่อนจะทันได้ผละออก จู่ ๆ ข้อมือของนางก็ตึงวืด กายลอยหวือนั่งแหมะลงบนตักแกร่ง ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าแพรผืนบางถูกดึงลงแทบลืมหายใจ ซุนอี้เหวินเบิกตากว้างตะลึงลาน ส่วนผู้กระทำการอุกอาจกลับยิ้มลอยหน้าลอยตาไม่อนาทรร้อนใจใด"ซุนอี้เหวิน อา...ไม่ใช่กระมัง เฉิงซิน… หากเจ้าเป็นห่วงข้าก็ควรบอกเป็นห่วง ไฉนต้องทำถึงเพียงนี้กันเล่า"ผู้ที่ถูกจับได้ถึงกับใจเต้นกระหน่ำเรือนกายแข็งดั่งรูปสลักหินผาอยู่เช่นนั้น ริมฝีปากซึ่งไม
"หลายวันนี้ลำบากท่านแล้ว อากาศเช่นนี้ท่านชอบหรือไม่"ซุนอี้เหวินพยักหน้า"ข้าขอถามท่านหมอหนึ่งสิ่งได้หรือไม่"นางแหงนหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ครุ่นคิด แล้วจึงพยักหน้าเป็นการตกลง"ท่านมีสามีแล้วหรือไม่"ดั่งอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ซุนอี้เหวินยืนตัวแข็งทื่อหยุดฝีเท้าลงเดี๋ยวนั้น'สามีหรือ เกรงว่าสามีของนางคงไม่ยอมรับนางเป็นภรรยากระมัง'ซุนอี้เหวินจึงตัดสินใจยกฝ่ามืออีกฝ่ายขึ้นและเขียนบางสิ่ง'เหตุใดท่านจึงต้องการรู้เล่า'เว่ยจวินอี้คลี่ยิ้มบาง "ท่านไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง"ซุนอี้เหวินกะพริบดวงตางุนงง"ครั้งหนึ่งมีนายทหารและคุณหนูตระกูลใหญ่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ทั้งสองดูเหมือนรักใคร่กันดี แต่ที่จริงแล้วคุณหนูผู้นี้ต้องการหย่ากับเขายิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ชมชอบเขา ทว่าสาเหตุที่นางต้องการหย่านายทหารผู้นั้นก็สุดจะรู้ วันหนึ่งเขาต้องออกไปรบรายังชายแดน เมื่อกลับมาก็พบว่าตนดั่งผู้พิกลพิการ ดวงตามืดบอดไม่อาจมองเห็นใบหน้าอันงดงามของภรรยาตนได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้คุณหนูผู้เป็นภรรยาที่รักต้องลำบากและจมปลักไร้อนาคต จึงตัดสินใจเขียนใบหย่ายื่นให้นาง หลังจากนั้นท่านว่านาง