เพราะไม่อยากเป็นตัวตลกให้ต้องถูกเหยียดหยาม โอกาสในการย้อนกลับมาร่างเดิมหนนี้ นางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อหย่ากับสามีที่ไม่เคยปันใจแก่ตนให้จงได้!
View Moreท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกยุ่งเหยิงหนักหน่วงดังเป็นระยะมาจากเตียงไม้ขัดเนื้อดี
เฮือก!
“ข้าตายหรือยัง!”
เฉิงซินดีดกายผึง หายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวผุดพราวด้วยหยาดเหงื่อเย็น ภายใต้ผ้าแพรสีชาดที่คลี่คลุมและบดบังใบหน้านัยน์ตามองลอดไม่รู้ทิศทาง
“หืม…ผ้าผืนนี้คือสิ่งใดกัน” คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า จิตใจของนางเต้นระทึกทว่ายังคงครองสติเอาไว้มั่น เฉิงซินเอื้อมมือขึ้นแล้วจึงเลิกผ้าคลุมซึ่งกำลังซ่อนเร้นกรอบหน้าและการมองเห็นของตนออกด้วยความสั่นเทา
พรึบ!
ดวงตากลมโตกะพริบถี่หญิงสาวตะลึงลานถึงขีดสุด
“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่งานแต่งอนุช่ายจี้ถงหรอกหรือ”
ปัง!
เสียงฝีเท้าเดินโซซัดโซเซไม่เป็นจังหวะ กลิ่นสุราคละคลุ้งจนแทบเวียนศีรษะ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนใบหน้าแดงก่ำหน้าธรณีทางเข้า ซ้ำยังเมามายคล้ายเสียสติไปแล้วคือผู้ใด
“ท่านแม่ทัพ!”
ภาพเบื้องหน้ายิ่งเพิ่มความตระหนกให้เฉิงซินยกใหญ่ มิใช่ว่าวันนี้คืองานแต่งฮูหยินรองของแม่ทัพเว่ยจวินอี้หรอกหรือ เหตุใดผู้ที่สวมชุดวิวาห์จึงเป็นนางเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นว่านางมานั่งอยู่ในห้องหอเสียเอง
เฉิงซินครุ่นคิด สีหน้ามึนงงถึงขีดสุด
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เฉิงซินจึงกวาดสายตามองไปโดยรอบ การประดับประดาห้องภายในเต็มไปด้วยของมงคลสีแดงฉานซ้ำยังอยู่เคียงกันเป็นคู่ สิ่งเหล่านี้ช่างคุ้นเคยแทบไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย
นี่มันงานวิวาห์ของนางเองเมื่อสามปีก่อน!
เฉิงซินนั่งแข็งทื่อราวถูกอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม
ข้ายังไม่ตายทว่าย้อนกลับมาเมื่อสามปีก่อนหรอกหรือ!
“ท่านแม่ทัพหรือ นี่เจ้าไม่เรียกข้าว่าท่านพี่แล้วรึ!” คนเมากล่าวหน้าขรึม
เฉิงซินพยายามสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กล่าวอ้อมแอ้ม “ยกเลิกงานแต่งเถอะ!”
“หืม…”
ผู้มาเยือนยืนแทบไม่ตรง ราวกับหายเมาไปชั่วขณะ ก่อนสีหน้าจะเขียวคล้ำ รอยยิ้มเย็นเยียบผุดขึ้นเสียจนผู้มองอยู่เสียวสันหลังวาบ ศีรษะชาดิกขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
“เจ้าจะเอาอย่างไร คนที่อยากแต่งก็คือเจ้า! มาตอนนี้พิธีมันเสร็จสิ้นแล้ว จะยกเลิกก็คิดตื้นเขินเช่นนี้เลยหรือ ไม่ใช่ว่าเป็นกลลวงใดของเจ้าอีกหรอกนะ” เว่ยจวินอี้กล่าวเสียงขรึม ชี้หน้าอีกฝ่ายส่ง ๆ ด้วยอารมณ์คุกรุ่น
มือหยาบกร้านคว้าหมับเอาข้อมือของเฉิงซิน นางพยายามหมุนแขนเพื่อคลายพันธนาการ แต่ดูเหมือนว่ากลับถูกอีกฝ่ายเพิ่มแรงบีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านปล่อยข้า ข้าเจ็บ!” ใบหน้าเฉิงซินเหยเก นางยังคงพยายามดิ้นรนเพื่อคลายข้อมือของตนออกให้พ้นคนเสียสติเบื้องหน้า
“ปล่อยหรือ แล้วทีข้าบอกให้เจ้าปล่อยข้าไปในวันนั้น เจ้าฟังข้าหรือไม่ เหอะ!” เว่ยจวินอี้ยิ้มเยาะราวพบเรื่องขบขัน ทว่าน้ำเสียงและสีหน้ากลับแสดงถึงความหยามหยันเต็มประดา
เฉิงซินจะไม่ทนอีกต่อไป เหตุใดนางจึงหน้ามืดตามัวหลงรักบุรุษป่าเถื่อนผู้นี้ไปได้กันนะ เว่ยจวินอี้ปฏิบัติต่อนางอย่างแล้งน้ำใจเช่นไร เฉิงซินย่อมรู้ดีทั้งหมด โอกาสกลับมาหนนี้นางจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของแม่ทัพบ้าเลือดผู้นี้อีกอย่างแน่นอน
“ข้าไม่อยากแต่งงานกับท่านแล้ว หลังจากนี้ท่านเป็นอิสระ เชิญกลับไปหาคนรักของท่านได้ตามใจ”
เว่ยจวินอี้หัวเราะหึ เขาควานฝ่ามือปลดเข็มขัดบริเวณเอวตนออก
เฉิงซินตะลึงลานเบิกตากว้าง
“ท่านกำลังทำสิ่งใด!?”
ใบหน้าคมสันคล้ายยิ้มแต่มิยิ้ม มองดูแล้วถึงกับทำให้จิตใจชาวาบขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
“สตรีตลบตะแลงเช่นเจ้า ข้าไม่เชื่อหรอก คงลอบวางแผนคิดกระทำสิ่งไม่ดีอีกน่ะสิ”
เว่ยจวินอี้จึงรวบมือทั้งสองของเฉิงซินผูกด้วยเข็มขัดหนังเนื้อดีของตนเอาไว้อย่างหนาแน่น เฉิงซินดิ้นรนพลางด่าทอด้วยวาจากระด้างซึ่งรู้จักเพียงกะพร่องกะแพร่ง
“ปล่อยข้านะ คนใจดำ อำมหิต หยาบช้า”
เฉิงซินคนเดิมอาจหลงใหลแม่ทัพเว่ยผู้นี้จนหัวปักหัวปำ ทว่าเฉิงซินที่ได้หวนกลับมาในครานี้จะไม่ยอมให้อดีตครอบงำและหวนมาทำร้ายตนได้อีก
เว่ยจวินอี้ลดดวงตามอง โทสะของเขากำลังผุดขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ เว่ยจวินอี้กัดฟันกรอด เอ่ยลอดไรฟัน “อยู่ตรงนี้ไปจนเช้าเถอะ สตรีร้อยมารยาเช่นเจ้า ไม่ต้องดีดดิ้นให้มากความ ข้าหรือจะยอมแตะต้อง!”
กล่าวจบเว่ยจวินอี้จึงสะบัดกายเดินโผเผเนื่องจากยังไม่คลายจากฤทธิ์สุราออกนอกห้อง พลางเตะโน่นทำลายนี่เสียจนเฉิงซินที่มองดูต้องตกใจสะดุ้งตัวโยนเป็นระยะ
“นี่!! แม่ทัพบ้า หากอยากไปก็มาปล่อยข้าก่อน มัดไว้เช่นนี้เลือดลมข้าไม่เดิน เช้ามาต้องตัดแขน ท่านรับผิดชอบไหวหรือไม่!”
“…”
“นี่!”
“…”
เฉิงซินลดน้ำเสียงที่ร้องเรียกอีกฝ่ายลง เมื่อนางได้รับเพียงความเงียบสงัดตอบกลับมา ถึงกู่ตะโกนออกไปก็ไร้ประโยชน์ แม่ทัพเว่ยผู้นี้เป็นคนเช่นไร ต่อว่าด่าทอซ้ำไม่สนใจไยดีนาง ทว่าเมื่อเฉิงซินเป็นฝ่ายร้องขอยกเลิกงานแต่งกลับไม่ยินยอมเสียอย่างนั้น คนใจแคบ
เฉิงซินกล่าวอ้อมแอ้มเบาหวิว “ข้าไปรักคนเช่นท่านได้อย่างไรกัน โอกาสที่ได้รับหนนี้ ข้าจะมาหย่ากับท่าน! แม่ทัพงี่เง่า ปล่อยข้า!” ก่อนที่นางจะม่อยหลับไปเพราะความอ่อนล้าทั้งที่ตนถูกมัดตรึงอยู่เช่นนั้น
เพราะเฉิงซินปักใจรักบุรุษผู้นี้มาเนิ่นนาน รักเสียจนหน้ามืดตามัว นางจึงยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งแย่งชิงคนรักของผู้อื่น ก่อนงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของเฉิงซินบุตรสาวเสนาบดีสำนักตรวจราชการ นางพยายามอ้อนวอนบิดาเพื่อขอเชิญชวนแม่ทัพเว่ยมาร่วมงานให้จงได้
และเมื่องานเลี้ยงมาถึงเฉิงซินจึงลอบมอมยาเว่ยจวินอี้ หลังจากนั้นนางจึงจัดฉากเล่นละครตบตาผู้คน ว่าตนได้ตกเป็นฉันสามีภรรยากับแม่ทัพเว่ยเข้าแล้ว เสนาบดีสำนักตรวจราชการโมโหจัดเสียจนแทบเกิดลมจับ เขาทราบดีว่าบุตรสาวของตนชื่นชอบแม่ทัพเว่ยผู้นี้เพียงใด เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะรีบเร่งทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกรวดเร็วและน่าอับอายปานฉะนี้
เว่ยจวินอี้บังเกิดโทสะ กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธภาพที่ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนได้ งานหมั้นของคุณหนูช่ายจี้ถงและเขาจึงถูกยกเลิก ซ้ำยังต้องรับสมรสพระราชทานเพื่อวิวาห์กับเฉิงซิน ทั้งที่ตนกระทำสิ่งนั้นลงไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำ
เว่ยจวินอี้เกลียดชังเฉิงซินมาโดยตลอด นางทำให้เขาต้องพรากจากคนที่รัก ไม่ว่าเวลาผันผ่านมานานหลายปี เว่ยจวินอี้ล้วนไม่เคยแตะต้อง หรือร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางแม้แต่ปลายเส้นผม
ผู้ใดก็ว่าฮูหยินจวนแม่ทัพนั้นไร้ยางอายยิ่งนัก นางถูกผู้เป็นสามีรังเกียจเดียดฉันท์ เพราะใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนเพื่อให้ได้ตบแต่งเข้ามาแย่งชิงตำแหน่งฮูหยินจวนแม่ทัพเว่ย จากคุณหนูช่ายจี้ถงซึ่งชอบพอกันอยู่กับแม่ทัพมานานนมไปอย่างหน้าด้านหน้าทน
สามปีต่อมาแม่ทัพเว่ยชนะศึกใหญ่ จึงได้รับสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทอีกหน คือคุณหนูช่ายจี้ถง เพื่อขึ้นเป็นฮูหยินรอง พิธีการดำเนินไปอย่างราบรื่น ขณะที่คำนับฟ้าดินในงานพิธี ฮูหยินใหญ่เกิดคลุ้มคลั่ง นางถือมีดสั้นเข้าไปหมายจะเอาชีวิตคุณหนูช่ายจี้ถง ด้วยสัญชาตญาณนักรบแม่ทัพเว่ยจึงเผลอปักมีดพกข้างกายตัดขั้วหัวใจฮูหยินใหญ่ของตนจนสิ้นชีพ
"อย่า!"
เฉิงซินสะดุ้งตื่น ทว่ากลับพบว่าตนยังถูกมัดติดกับเสา ด้านนอกเริ่มเกิดแสงสว่างแล้ว นัยน์ตาของนางหรี่เล็กลงเรื่อย ๆ
“ข้ากลับมาอีกครั้งจริง ๆ สินะ แล้วเหตุใดจึงไม่มาตอนยังไม่แต่งงานเล่า ย้อนคืนยามนี้ข้าจะแก้ไขมันอย่างไร”
เฉิงซินถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก
ปึง!
ประตูบานหนาล้มลงเสียจนฝุ่นตลบ
“สติฟั่นเฟือนหรือไร เหตุใดต้องทำลายข้าวของ” เฉิงซินแผดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์
จุดจบคราก่อนเป็นเช่นไรนางย่อมรู้ดีแก่ใจ กลับมาครานี้นางไม่มีทางเดินบนเส้นทางสายเดิมอย่างแน่นอน
โคมไฟดวงกลมห้อยระย้าสีแดงสาดสะท้อนประดับประดาเต็มรายทางและบ้านเรือน บรรยากาศดูละเมียดละไมอบอุ่น บุหลันสีนวลตาเปล่งลำแสง รอบด้านโอบล้อมด้วยดวงดาวพราวระยับ วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท้องถนนเบื้องหน้าจึงแลดูครึกครื้นเป็นพิเศษ หนึ่งสตรีร่างบางทว่าโอบประคองท้องกลมสวยเดินเคียงคู่บุรุษร่างสูง ราวกับภาพบนผนังลายวิจิตรเลิศตา"ท่านพี่ ดูนั่นสิเจ้าคะ"เว่ยจวินอี้ทอดสายตามองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังขนมไหว้พระจันทร์ลวดลายดอกไม้งามตา เขาคลี่ยิ้มอ่อนอย่างนึกเอ็นดู ตอนนี้มือทั้งสองของเขาแทบไม่เหลือที่ว่างให้สามารถหอบหิ้วสิ่งใดได้แล้ว"เจ้าอยากกินหรือ ที่ซื้อไปนี่เจ้าว่าจะทานหมดหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยอบอุ่นเฉิงซินยู่หน้าเล็กน้อย "ข้าไม่ได้หิวเสียหน่อย เป็นเจ้าตัวเล็กต่างหากเล่าเจ้าคะที่กำลังหิวอยู่" เฉิงซินลูบไล้ไปยังท้องของตนซึ่งยื่นออกมากลมดิก พลางแหงนหน้ามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ผู้เป็นสามี"ก็ได้ เช่นนั้นเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เล่า อย่าเที่ยวเดินสุ่มสี่สุ่มห้า"เฉิงซินฉีกยิ้มกว้างดีใจ "เจ้าค่ะท่านพี่"เว่ยจวินอี้เดินเข้าไปยังร้านที่มีผู้คนต่อแถวกันให้เนืองแน่น แม้เขาจะมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ก็มิได้ใช้
บรรยากาศภายในห้องสงบเงียบ แสงจากเชิงเทียนกลางโต๊ะกำลังส่องสว่างริบหรี่ เฉิงซินกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบาดแผลบนต้นแขนของเว่ยจวินอี้ ส่วนเขาก็เอาแต่นั่งจ้องคนที่กำลังดูแลบาดแผลให้ตนอย่างขะมักเขม้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย"เหตุใดเจ้าจึงอยากหย่ากับข้าเช่นนั้นหรือ" เว่ยจวินอี้กล่าวทำลายความเงียบสงัดเฉิงซินชะงักมือลงชั่วครู่ นางไม่ได้แหงนหน้ามองเขา เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ท่านเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ขมวดคิ้ว "รู้? ข้ารู้เรื่องใดเล่า หลังจากวันแต่งงานได้เพียงคืนเดียว ยามเช้าเจ้าก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาจ้องจะหย่ากับข้าให้ได้"การดูแลรักษาบาดแผลสิ้นสุดลง เฉิงซินเก็บข้าวของเรียบร้อย นางไม่ได้ตอบอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เว้นระยะเล็กน้อย แล้วจึงช้อนดวงตาขึ้นสบประสานกับดวงตาคมกริบที่ไม่คิดละสายตาออกจากตน"แม่ทัพเว่ย...""ท่านพี่"เฉิงซินนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงกล่าวอีกครั้ง "เรียกว่าท่านพี่""เอ่อ...ท่านพี่"เว่ยจวินอี้ยกโค้งมุมปากอย่างพึงพอใจ "ว่าอย่างไรเล่า""ที่ข้าอยากหย่ากับท่าน เดิมทีท่านก็ไม่เคยมีใจให้แก่ข้า""เจ้ารู้ได้อย่างไร" เว่ยจวินอี้เลิกคิ้ว นัยน์ตาพยายามกวาดมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาราว
ไม่รู้เช่นกันว่าค่ำคืนนี้นางนึกอุตริใดจึงพกมีดสั้นเอาไว้ เมื่อเห็นว่ามันหายไปจากเอวของตนและด้วยความเป็นกังวลจะเกิดอันตรายต่อแม่ทัพ นางจึงมุ่งหน้าตามอีกฝ่ายมา แม้ระหว่างทางอาจไขว้เขวเส้นทางไปบ้าง ทว่าโชคยังดีที่การเดาสุ่มของนางก็นำพาตนมาจนถึงที่แห่งนี้เสวียนเฉิงฮุย "เฉิงซิน"เฉิงซินช้อนดวงตามองคนตรงข้ามที่ยืนนิ่งเป็นหินผาไปเสียแล้ว รองแม่ทัพเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกข้าว่าอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ข้ากำลังช่วยเจ้าให้สมปรารถนา ทว่าเจ้าก็ยังวิ่งรี่กลับมาหาเขาตามเดิม ข้าไม่เข้าใจ""เฉิงฮุย นี่มันวิธีการใดของท่าน ข้าอยากหย่า แต่ท่านก็ไม่ต้องทำถึงเพียงนี้หรือไม่" เฉิงซินกล่าวตำหนิ"ข้าล้วนทำเพื่อเจ้า""ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าขอร้องพวกท่านทั้งสอง ถึงอย่างไรท่านก็คือสหายของข้า ส่วนท่าน..." เฉิงซินแหงนหน้ามองผู้ที่ยืนนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงจดจ้องดวงตาของนางตอบอย่างรอถ้อยคำเฉิงซินพ่นลมหายใจอ่อน "แม้ข้าอยากหย่ากับท่าน ทว่าในใจลึก ๆ ข้าไม่เคยลืมท่านได้เลย ข้าเพียงต้องการหลุดพ้นจากวงโคจรแห่งความเจ็บปวด..."เว่ยจวินอี้นิ่วหน้า "ข้าทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้นเช
ภายในป่าอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ เว่ยจวินอี้ไล่ตามชายชุดดำจนลึกเข้ามาถึงป่าไผ่สูงชะลูด เขายืนเยือกนิ่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาไผ่ต้นยาว เสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียดสีของลำต้นโงนเงนไปมาตามแรงลม เสริมความวังเวงให้น่าหดหู่มากยิ่งขึ้น เว่ยจวินอี้หอบหายใจเข้าออกถี่กระชั้น บ่งบอกถึงระยะทางที่เขาใช้แรงกายวิ่งออกมาไกลลิบ เส้นผมซึ่งถูกปล่อยสยายลงกลางหลัง และแขนเสื้อสีขาวกว้างปลิวล้อสายลมยามราตรีขับเน้นความหล่อเหลาทว่าน่าเกรงขามอยู่ในที เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ"มัวหลบซ่อนราวสุนัขหดหัว ไม่อายบ้างหรืออย่างไร ออกมาเสีย!"เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงฝีเท้าจึงค่อย ๆ ย่างกรายเนิบนาบมาจากมุมอับสายตาอันมืดมิดด้านหนึ่ง ชายร่างสูงสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีดำเข้ม ปกปิดหน้าครึ่งใบ ในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง เว่ยจวินอี้เขม้นมองของสิ่งนั้นอย่างสนใจใคร่รู้"เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้าเช่นนั้นหรือ ไฉนจึงตามระรานไม่เลิก"เว่ยจวินอี้ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะจากลำคอของอีกฝ่าย "เรื่องนั้นสำคัญด้วยเช่นนั้นหรือ""หึ" เว่ยจวินอี้แค่นยิ้ม "ต่อให้เจ้าไม่บอกคิดว่าข้าไม่รู้เช่
ซุนอี้เหวินยื่นช้อนจ่อไปยังริมฝีปากเว่ยจวินอี้ นางรู้สึกประหม่าจิตใจเต้นอึกทึก ดวงตาที่ไม่มีผ้าคาดปกปิดมานานเพียงนี้ราวกับว่าเขากำลังจดจ้องมาที่นางโดยไม่ละสายตา กลิ่นขมของยาโชยปะทะโพรงจมูกของเขา เว่ยจวินอี้รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องกลืนของเหลวรสย่ำแย่นี้แล้วจริง ๆ"ข้าไม่กินยาแล้วได้หรือไม่"ซุนอี้เหวินไม่ได้คะยั้นคะยอใด นางวางถ้วยลงและยื่นมือไปยังข้อมือของเว่ยจวินอี้ เขารู้เจตนาของนางดีว่าต้องการทำสิ่งใด เว่ยจวินอี้ยังคงนั่งสงบนิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจวัดชีพจรของตนอย่างใจเย็น ซุนอี้เหวินขมวดคิ้ว หัวใจของนางเริ่มเต้นดังโครมคราม เหงื่อเย็นผุดพราวราวพบเจอเรื่องน่าประหวั่นเข้าให้เสียแล้ว ก่อนจะทันได้ผละออก จู่ ๆ ข้อมือของนางก็ตึงวืด กายลอยหวือนั่งแหมะลงบนตักแกร่ง ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าแพรผืนบางถูกดึงลงแทบลืมหายใจ ซุนอี้เหวินเบิกตากว้างตะลึงลาน ส่วนผู้กระทำการอุกอาจกลับยิ้มลอยหน้าลอยตาไม่อนาทรร้อนใจใด"ซุนอี้เหวิน อา...ไม่ใช่กระมัง เฉิงซิน… หากเจ้าเป็นห่วงข้าก็ควรบอกเป็นห่วง ไฉนต้องทำถึงเพียงนี้กันเล่า"ผู้ที่ถูกจับได้ถึงกับใจเต้นกระหน่ำเรือนกายแข็งดั่งรูปสลักหินผาอยู่เช่นนั้น ริมฝีปากซึ่งไม
"หลายวันนี้ลำบากท่านแล้ว อากาศเช่นนี้ท่านชอบหรือไม่"ซุนอี้เหวินพยักหน้า"ข้าขอถามท่านหมอหนึ่งสิ่งได้หรือไม่"นางแหงนหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ครุ่นคิด แล้วจึงพยักหน้าเป็นการตกลง"ท่านมีสามีแล้วหรือไม่"ดั่งอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ซุนอี้เหวินยืนตัวแข็งทื่อหยุดฝีเท้าลงเดี๋ยวนั้น'สามีหรือ เกรงว่าสามีของนางคงไม่ยอมรับนางเป็นภรรยากระมัง'ซุนอี้เหวินจึงตัดสินใจยกฝ่ามืออีกฝ่ายขึ้นและเขียนบางสิ่ง'เหตุใดท่านจึงต้องการรู้เล่า'เว่ยจวินอี้คลี่ยิ้มบาง "ท่านไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง"ซุนอี้เหวินกะพริบดวงตางุนงง"ครั้งหนึ่งมีนายทหารและคุณหนูตระกูลใหญ่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ทั้งสองดูเหมือนรักใคร่กันดี แต่ที่จริงแล้วคุณหนูผู้นี้ต้องการหย่ากับเขายิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ชมชอบเขา ทว่าสาเหตุที่นางต้องการหย่านายทหารผู้นั้นก็สุดจะรู้ วันหนึ่งเขาต้องออกไปรบรายังชายแดน เมื่อกลับมาก็พบว่าตนดั่งผู้พิกลพิการ ดวงตามืดบอดไม่อาจมองเห็นใบหน้าอันงดงามของภรรยาตนได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้คุณหนูผู้เป็นภรรยาที่รักต้องลำบากและจมปลักไร้อนาคต จึงตัดสินใจเขียนใบหย่ายื่นให้นาง หลังจากนั้นท่านว่านาง
เวลาล่วงเลยมาได้หนึ่งสัปดาห์ดวงตาของเว่ยจวินอี้กลับไม่ดีขึ้นเลย นางพร่ำถามเขาเสมอว่ามองเห็นบ้างหรือไม่ เขากลับตอบว่ายังมองไม่เห็น ทั้งที่นางตรวจวัดชีพจรของเขาแล้วดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติเกือบทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมองเห็นบ้างเลือนราง ทว่าคำตอบที่ได้แต่ละวันข้ามองยังไม่เห็นนางก็ทำได้เพียงทอดถอนใจก้มหน้าทำหน้าที่ของตนต่อไปทั้งที่คลางแคลงใจแต่ไม่อาจละทิ้งผู้ป่วย"ท่านแม่ทัพมีเทียบเชิญไปงานวิวาห์คุณหนูจี้ถงขอรับ" โจวหมิงเดินรี่เข้ามา พลางยื่นเทียบงานแต่งให้กับเว่ยจวินอี้ซุนอี้เหวินที่อยู่ตรงนั้นด้วยได้ยินเข้าก็แอบสะดุ้ง พลางแปลกใจพิกล'มิใช่ว่าคุณหนูจี้ถงอยากแต่งงานกับแม่ทัพหรอกหรือ'เว่ยจวินอี้เอ่ยราวกับรู้ใจนาง "จี้ถงจะแต่งงานแล้วหรือ เฮ้อ...นี่สิหนา ผู้ใดเขาจะอยากจมปลักอยู่กับแม่ทัพตาบอดเช่นข้ากันเล่า แม้แต่ฮูหยินของข้ายังหนีไปแล้วเช่นกัน"ซุนอี้เหวินหน้าเผือดสีลง ทว่านางยังคงทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งเหล่านั้น ปล่อยผ่านเลยไปเช่นเสียงหวีดหวิวของลมพัด"ท่านจะไปหรือไม่ขอรับ" โจวหมิงเอ่ยถามเขาเหลียวหน้ามองไปตามเสียง เว่ยจวินอี้ฉีกยิ้มดูเบิกบานใจเสียด้วยซ้ำ "ข้าย่อมต้องไปอยู่แล้ว"จู่ ๆ
ด้วยองศาที่ต้องเอียงมองเบื้องหลัง จึงทำให้ใบหน้าของนางแนบชิดเว่ยจวินอี้ยิ่งนัก ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดเข้ามาเสียจนขนอ่อนลุกเกรียว ไม่รู้ว่าซุนอี้เหวินหูฝาดไปเองหรือไม่ นางได้ยินเสียงหัวเราะหึซึ่งอีกฝ่ายมักขบขันตนเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จิตใจของนางกระสับกระส่ายมากยิ่งกว่าเดิมนัก อกด้านซ้ายพลอยกระหน่ำโลดเสียจนแทบหยุดเต้น"แกะไม่ได้หรือ"จู่ ๆ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ซุนอี้เหวินสะดุ้งตัวโยน เว่ยจวินอี้รับรู้ถึงแรงกระตุกน้อย ๆ นั้น "ขออภัยท่านหมอ ไฉนขวัญอ่อนเพียงนี้เล่า"'ใครให้อยู่ ๆ อยากพูดก็พูด อยากเงียบก็เงียบเล่า'นางอยากออกจากห้องนี้โดยเร็วเหลือเกิน รู้สึกอึดอัดจนแทบหยุดหายใจลงไปเดี๋ยวนั้น ในที่สุดผ้าที่พยายามยื้อยุดแกะคลายมานานก็ถูกปลดลงเสียที ซุนอี้เหวินระบายลมหายใจโล่งอก นางค่อย ๆ ถอยห่างจากอีกฝ่ายช้า ๆ หัวใจเต้นอึกทึกด้วยความประหม่า'ซุนอี้เหวิน อย่าได้กลัวไป เขายังไม่หายวันหายพรุ่งหรอกน่า'นางพยายามปลอบประโลมตนเองทั้งที่ใบหน้าซีดขาวลงไปกว่าครึ่งแล้ว แม้นางสามารถรักษาคนได้ก็จริง ทว่านางห่างหายเรื่องการรักษามานานมากโข นาน ๆ ทีจะได้ไปหาอาจารย์ คาดไม่ถึงว่าต้องมาคอยดูแ
ม่านหมอกแห่งราตรีกาลคลี่คลุมลงมาบดบังแสงจากดวงตะวัน คืนนี้ช่างหนาวเย็นยิ่งนัก วันนี้ซุนอี้เหวินต้องเตรียมปลดผ้าคาดดวงตาให้กับเว่ยจวินอี้ นางแอบหวั่นใจอยู่บ้าง จุดประสงค์ของนางต้องการรักษาดวงตาแม่ทัพให้หายดีก็จริงอยู่ แต่ทว่าหากดวงตาของเขาหายแล้วนางควรทำเช่นไรต่อไปเล่า เพราะนางก็มีบางสิ่งที่กำลังซ่อนเร้นคนผู้นี้เช่นเดียวกัน หากวันนั้นมาถึงนางคงต้องรีบตะบึงกลับออกไปเดี๋ยวนั้นกระมัง เดินครุ่นคิดไปตลอดทางซุนอี้เหวินพลันมาหยุดยืนที่เบื้องหน้าห้องของเว่ยจวินอี้เมื่อใดก็สุดจะรู้ ฝ่ามือผุดซึมไปด้วยเหงื่อเย็น ข้างในช่างเงียบสงัด หรือว่าแม่ทัพเว่ยนั้นหลับไปแล้ว วันนี้ควรเลื่อนออกไปก่อนดีไหมเล่า ซุนอี้เหวินตัดสินใจหมุนกายตั้งท่าก้าวห่างออกไปราวกับที่แห่งนี้ไม่สมควรรั้งอยู่นาน ทว่าเสียงทุ้มจากด้านในกลับดังแทรกขึ้นเสียก่อน"ท่านหมอ มาแล้วเหตุใดยังยืนอยู่ตรงนั้นเล่า"ซุนอี้เหวินตัวแข็งค้างนางหยุดฝีเท้าลงฉับ พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากลำบนดั่งผู้ทานอาหารแล้วพบเมนูไม่ถูกปาก แขนขาสั่นเทาโดยไร้สาเหตุ เวลาชั่วประเดี๋ยว คนด้านในคงไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหว เขาจึงเอ่ยออกมาอีกครา"หรือท่านกริ่งเกรงต่อสถาน
Comments