LOGINดวงตาคู่สวยของอัจฉราเบิกกว้าง หัวใจเต้นระรัวจากการกระทำและคำพูดที่ไม่คาดคิดของนทีเมื่อครู่ มือบางกำผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่อีกฝ่ายพึ่งโยนให้เมื่อครู่แน่น ขณะที่แววตาฉายแววสับสนและตกใจออกมาอย่างซ่อนไม่มิด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่คิดว่าชายหนุ่มจะทำ เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยังคงยืนนิ่งงันทำตัวไม่ถูกราวกับรูปปั้น
นทีเลิกคิ้วเล็กน้อย เขามองร่างบางที่ยืนทำหน้าเป็นลูกกวางที่ตื่นภัย ตกใจแสงไฟจากหน้ารถตอนที่มันจะข้ามถนนอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่คิดที่จะแก้ตัวอะไร มิหนำซ้ำยังยืนจ้องกดดันเธอต่อไปไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีกด้วย เขาคลายเนกไทรอบคอออกเล็กน้อย ก่อนจะถามเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเหมือนเก่า “จะยืนอยู่แบบนั้นทั้งคืนเลยไหม?” อัจฉราสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกทักติง นัยน์ตาสียางไม้ไหววูบราวกับคนที่พึ่งจะตื่นจากฝัน และความจริงทำให้เธอเพิ่งจะค้นพบว่ากำลังสบตากับนทีอยู่จะจะ อัจฉรารีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที ก่อนจะรีบก้มหน้าลงมองพื้นที่มีคราบน้ำเจิ่งนอง เพราะเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มของเธอ กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากัน มือที่ถือผ้าขนหนูรีบดึงกลับเข้าหาตัวกอดรวมเอาไว้กับครุยของทนายหนุ่ม ที่ตอนนี้ทำเปียกไปหมดแล้ว “เอ่อ... เปล่าค่ะ” เสียงหวานเบาหวิวจนแทบจะต้องเงี่ยหูฟัง แต่ทุกถ้อยคำของเธอไม่อาจรอดพ้นไปจากโสตประสาทของนทีได้เลยสักคำ ชายหนุ่มมองปฏิกิริยานั้นของเธอ สายตาของเขาไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ มุมปากกระตุกเบา ๆ แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว “เปล่า... เปล่าแล้วจะยืนอยู่อีกทำไม” นทีเอาคำตอบของเธอมาย้อนถาม ทว่าเพียงแค่ลมปากที่เปล่งออกมาเป็นคำพูดธรรมดา ๆ กลับทำให้อัจฉราสะดุ้งได้เสียอย่างนั้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้นของหล่อน มันทำให้ใจเขากระตุกด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย โดยไม่รู้สาเหตุ... ขวัญอ่อนเสียจริงนะแม่คุณ “เนย... เนยไม่กล้าเดินเข้าไปค่ะ กลัวทำพื้นเปียก” อัจฉราที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาและความคิดของนทีตอบกลับไป ราวกับกลัวว่าหากเว้นช่วงให้เงียบนานไปจะทำให้ต้องอึดอัดไปมากกว่านี้ สายตาที่เอาแต่มองพื้นแอบช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าตา หัวใจที่เต้นระรัวพลันเต้นผิดจังหวะอย่างแรง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อพบว่าเขายังคงมองเธออยู่ไม่วางตา อัจฉรากลืนน้ำลายอย่างเหนียวคอ มือที่สั่นอยู่น้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัวเผลอกำผ้าทั้งสองผืนแน่นขึ้นด้วยความประหม่า จนมันแทบจะจมหายเข้าไปในอกหากเกิดขึ้นได้จริง ๆ “เปียกก็เช็ดทีหลังได้... ดีกว่ามายืนตัวสั่นอยู่แบบนั้น” ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ได้ ทันทีที่ดวงตาคู่สวยของอัจฉราบังเอิญสบสายตาเข้ากับเขา แต่นทีกลับไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตาหล่อนแม้แต่น้อย ยังคงจ้องเข้าไปราวกับกำลังค้นหาทุกอย่างที่เธอซ่อนเอาไว้หลังม่านตาสียางไม้คู่นั้น จนหล่อนต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปเองอีกครั้ง นทีถือเอาโอกาสนี้ใช้สายตากวาดมองอัจฉราอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นผมแดงสีแสบสันต์ของเธอที่ชื้นน้ำ จนสีซึมเปื้อนคอเสื้อยืดสีอ่อนของหล่อน ที่ตอนนี้ก็เปียกแนบไปทุกสัดส่วนของเธอเช่นกัน หล่อนมอมแมมเหมือนลูกนกตกน้ำไม่มีผิด เกินกว่าที่จะรู้สึกมีอารมณ์พิศวาสอะไรด้วยได้ ด้วยเสียงแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ นทีก็ยอมละสายตาไปจากเธอในที่สุด “ดึกแล้ว... ไปพักเถอะ อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” นทีฝากคำพูดทิ้งไว้ประโยคสุดท้าย พูดจบเขาก็ไม่สนใจลูกนกตัวสั่นอีกต่อไป เขาไม่รอให้หล่อนได้ตอบอะไรก็เดินออกมา ทิ้งให้หล่อนจมอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ยังไม่อ่อนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสร้างเอาไว้เอง อาจรวมไปถึงความสับสน และความหวั่นไหวด้วยก็ได้... ใครจะไปรู้ได้ถ้าไม่ใช่เจ้าตัว อัจฉราเงยหน้าขึ้นมามอง กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ความกะทันหันของนทีทำให้เธอตามเขาไม่ทัน จากที่ตามเขาไม่เคยจะทันอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้สับสนหนักกว่าเก่า ก่อนหน้าเขายังทำท่าเหมือนจะดุอยู่เลย แต่แล้วเขาก็กลับมาทำเหมือนไม่มีอะไร แต่มีทั้งสองอย่างที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงในสายตาของอัจฉรา นั่นก็คือความเย็นชาของเขา... ความรู้สึกเหมือนหนังสือสูงค่าเล่มหนาเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจ และเกินกว่าที่จะเอื้อมมือไปคว้าเอามาครอบครองเป็นของตัวเอง เพื่อใช้เวลาอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ นทีเป็นแบบนั้นเป็นคนที่น่าสนใจ มีแรงดึงดูด แต่ก็ดูเข้าถึงได้ยากในเวลาเดียวกัน และเพราะแบบนี้ มันถึงได้ทำให้อัจฉราละสายตาไปจากเขาได้อยาก อยากรู้จัก แม้ว่าความรู้สึกจะถูกทำให้ฟุ้งซ่านมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่เคยรู้สึกสนใจเขาน้อยลงเลย แต่ก็รู้จักเจียมตัวขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อนเยอะ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ที่ปัญหาชีวิตมีเข้ามารุมเร้ามากมายไปหมด มากจนเธอตกต่ำลงเรื่อย ๆ ถอยห่างจากจุดที่เอื้อมไม่ถึงมากขึ้นทุกวัน ๆ หญิงสาวมองตามร่างของชายหนุ่มไปจนลับสายตา ตลอดจนแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อผ้าเนื้อดีนั้นหายเข้าไปในมุมมืดแล้ว ความอึดอัดระคนหวั่นไหวเมื่อครู่ก็คลายลงให้หล่อนพอจะผ่อนลมหายใจออกมาได้บ้าง อัจฉราเม้มปาก ความรู้สึกแห้งผากทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายอีกกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ แต่เมื่อก้มมองทั้งผ้าขนหนูและครุยเนติในกำมือ โดยที่ไม่รู้ตัวรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็แต้มดวงหน้าอ่อนล้าให้เห็นบางเบา เขาแค่เป็นคนดีคนหนึ่งเท่านั้น ใจดีไม่ได้ความว่าเขาจะสนใจเธอ กับคนอื่นเขาก็ทำแบบนี้เป็นปกติ... อัจฉราพยายามเตือนตัวเอง แต่รู้ทั้งรู้อยู่แล้วหัวใจเจ้ากรมมันก็ยังแอบหวังใฝ่สูงอยู่ร่ำไป “คนละโลกกันขนาดนั้น...” เสียงหวานพร่ามัวติดสั่นเล็กน้อยกระซิบกับตัวเอง รอยยิ้มบางเบาหายไปแม้ว่าใจจะยังเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ก็ตาม เธอรีบจัดการตัวเองในครั้งนี้ ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำตามีตัวตามที่จำเป็น ก่อนที่จะก้มหยิบรองเท้าคู่เปียกขึ้นมา และหันไปหยิบปิ่นโตเถาน้อยที่วางอยู่บนคอนโซลมาถือเอาไว้ สองมือเต็มไปด้วยข้าวของซึ่งส่วนใหญ่ใช่ว่าจะเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ อัจฉราหอบทุกอย่างพะรุงพะรังเต็มมือเดินผ่านโถงใหญ่เพื่อที่จะไปยังห้องพักคนใช้ซึ่งอยู่หลังบ้าน ทุกอย่างก้าวของหญิงสาวเต็มไปด้วยความทุลักทุเล กลัวว่าจะเผลอทำให้ของมีราคาในบ้านและพื้นต้องเปียกเพราะตัวเอง เสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบก็ทำให้ตกใจบ้างบางครา จากพายุภายนอกที่ยังคงรุนแรง ชนิดที่ว่าคืนนี้เห็นทีคงจะไม่ยอมสงบลงง่าย ๆ พายุในใจหล่อนก็ด้วย ทว่าอย่างน้อยคืนนี้ก็คงไม่ได้เป็นคืนที่แย่ที่สุดของอัจฉราเหมือนกันทุกคืนที่ผ่านมาแล้ว แม้อาจจะเป็นแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นก็ได้... แต่ก็ดีแล้วที่ยังมี ดีกว่าไม่มีความสงบอะไรเลยจริง ๆ ในเงามืดร่างสูงของนทียืนพิงกรอบประตูห้องครัวที่เปิดอ้าอยู่ แสงไฟสลัวที่อยู่คนละมุมกันทำให้คนที่พึ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่ไม่ทันสังเกต แต่กับเขามันตรงกันข้าม ชายหนุ่มกำลังสังเกตและเฝ้ามองหล่อนอยู่ ในทุกการกระทำและวิธีที่หล่อนแสดงออกผ่านทางสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นการถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก รอยยิ้มบาง ๆ ที่แต่งแต้มใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังคงสวยจัดของหล่อน กระทั่งแววตาที่เป็นประกายขึ้นมาชั่วครู่แล้วก็วูบหายไป คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะตัดพ้อกับตัวเอง ‘คนละโลกงั้นเหรอ’ มันเหมือนเป็นสิ่งที่นทีเคยเห็นมาหมดแล้ว เล่นฉากเดิม ๆ เมื่อก่อนอัจฉราก็เป็นแบบนี้ เป็นมาตลอด แต่เขาไม่เคยคิดที่จะมาสนใจหรือว่าจับตามองมาก่อนเหมือนกับครั้งนี้ แต่เมื่อก่อนเธอสดใสกว่านี้เสีย อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ว่าตอนนี้อัจฉราดูเหมือนคนที่มีอะไรในใจตลอดเวลา ทั้งที่นทีคิดว่าเขารู้จักคนอย่างอัจฉราดีมากพอแล้ว แต่ดูเหมือนว่านิยายรักอย่างเธอที่เขามองว่าอ่านง่ายไม่ซับซ้อนคงจะไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้วนี่สิ หน้าปกสดสวยประกอบคำโปรยหวานฉ่ำของเธอ ดูเหมือนจะมีอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว... น่าสนใจจนไม่แน่ใจอีกแล้วจะปล่อยทิ้งเอาไว้หรือหยิบขึ้นมาเปิดอ่านดี “คนละโลก... พูดแบบนี้แสดงว่ารู้ตัวมาตลอดสินะ...” นทีแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างไม่มีเหตุผล เขายืนมองจนกระทั่งอัจฉราหายไปจากสายตาเหมือนกัน มุมปากหนาหยักยิ้มพลางส่ายหัวเบา ๆ แต่เมื่อเขาผ่อนลมหายใจออกมา รอยยิ้มนั้นก็หายตามไปทันที ชายหนุ่มหันตัวกลับเข้าไปห้องครัวที่เปิดไฟเอาไว้พอแค่ให้มองเห็น สายตาของเขามุ่งไปยังถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่เดี่ยว ๆ บนเคาน์เตอร์หินอ่อนโดยไม่ต้องคาด เขาเดินเข้าไปใกล้เครื่องกระเบื้องที่หุ้มปากถ้วยเอาไว้อย่างดีด้วย บนแผ่นพลาสติกใสไม่พ้นโพสต์อิทสีหวาน ที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือเดิม ๆ ปกติแล้วทั้งพลาสติกและโพสต์อิทจะถูกเขาขย้ำและทิ้งไปเลย ทว่าคืนนี้เขากลับเลือกที่จะดึงกระดาษสีหวานขึ้นมาอ่าน ‘เนยทำให้ใหม่ก่อนกลับบ้าน คุณนทีอุ่นก่อนทานนะคะ’ นทีอ่านออกเสียงในใจ แววตาสะท้อนตัวอักษรน้ำหมึกนั้นชัดเจน แต่ราบเรียบจนน่าใจหาย เขาอ่านมันแล้วก็จริงแต่จุดจบยังคงทำเหมือนเดิม ขย้ำมันเป็นก้อนไปกับพลาสติกใสและโยนมันลงถังขยะไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะเอาข้าวต้มถ้วยดังกล่าวเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ ยืนพิงขอบเคาน์เตอร์เงียบ ๆ ฟังเสียงฝนตก ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความปกติที่สงบอีกครั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นนั่นร้ายกาจไม่ใช่เล่น คำพูดของเธอในครั้งนี้กระทบใจนทีอย่างจัง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจพูดหรือไม่ก็ตาม รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า บรรยากาศที่เคยร้อนระอุเย็นเยียบขึ้นถนัดตา“หึ... กล้าถามขนาดนี้ แสดงว่ายังไม่สิ้นฤทธิ์”น้ำเสียงทุ้มกดต่ำลงอย่างอันตราย เรียบเหมือนผิวน้ำที่กำลังโหมคลื่นใหญ่อยู่ก้นบึ้ง ปลายนิ้วโป้งกดลงบนริมฝีปากอิ่มของอัจฉราด้วยแรงที่ทำให้กลีบเนื้ออ่อนนุ่มนั้นเผยอออกและอุทาน ‘โอ๊ย’ ออกมาด้วยความเจ็บก่อนจะพลิกร่างเล็กกลับขึ้นมาและคร่อมเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว โดยไม่สนว่าทั้งคู่จะเปลือยเปล่า โน้มหน้าลงไปจนปลายจมูกชนกัน ผสานลมหายใจที่ร้อนระอุเข้ากับจังหวะหายใจที่ขาดห้วงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นของอัจฉรา“เธอมองว่าฉันเป็นคนดีมาตลอดเหรอ? หึ... นั่นแหละที่ทำให้เธอไม่แตกต่างจากคนอื่น... มองแค่ผิวเผิน... ใจง่ายไปเอง ทั้งที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้ด้วยซ้ำ”นัยน์ตาสีนิลแข็งกร้าว แต่ก็มีชั่วแวบหนึ่งที่มันฉายประกายอย่างซับซ้อน คล้ายกับความเจ็บปวดจากบางอย่าง ทว่าก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว นทีกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นความหวาดหวั่
“อึก... อื้ออ...” สองมือยึดสะโพกเอาไว้มั่น ขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาแหงนหน้าขึ้นฟ้า ปล่อยธารรักอุ่นร้อนพุ่งเป็นสายหนาเคลือบแผ่นหลังเนียนที่บัดนี้เต็มไปตราประทับกลีบกุหลาบและรอยขบกัด สะท้านสะเทือนเพราะแรงรักที่เขาปรนเปรอให้ใจจริงนทีอยากที่จะปลดปล่อยเคลือบผนังกำมะหยี่ แต่เขาก็รักษาคำพูดของตัวเองพอที่จะไม่ลดตัวลงไปฝากน้ำรักของเขาในกายของหล่อน... ถ้าเกิดพลาด อัจฉราท้องขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่“อ่าห์... โคตรดี... เธอเป็นของฉันแล้วนะ เนย”เสียงทุ้มพร่ากระซิบชิดกับใบหูที่ร้อนผ่าวของคนใต้ร่าง หลังจากที่ปลดปล่อยจนสุดทางรัก ทรุดตัวลงนอนทับเธอ โดยระวังน้ำหนักไม่ให้ทับคนตัวเล็กกว่าจนร่างแหลกไปเสียก่อนเขายกยิ้มอย่างพึงพอใจ พลางเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นไปตามแนวสีข้างของเธอ จนมาถึงข้างแก้มที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีแดงบดบังใบหน้าของคนที่เขาอยากเห็นสีหน้าที่สุดจนมองไม่เห็น“พูดอะไรบ้างสิ... หรือว่าโดนของฉันไปเลยจุกพูดไม่ออก”นทีถามเสียงเย้าแหย่ แต่แฝงความเป็นเจ้าของที่เพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิม รู้สึกพึงพอใจที่สามารถยึดครองร่างกายเธอมาเป็นของเขาได้ด้วย
พรึ่บ! นทีไม่สนท่าทีที่กลับมาขัดขืนงอัจฉรา เขากระชากกางเกงยีนและกางเกงในตัวจิ๋วลงไปกองรวมกันอยู่ที่ข้อเท้าเล็กอย่างไม่ปรานี เผยให้เห็นเงาสามเหลี่ยมที่ซ่อนอยู่หว่างขาขาว เท่านั้นยังไม่พอใจ กวาดสายตามองร่างเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท่าสายตาจวบจ้วงนั่นทำให้หญิงสาวหัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวและความอายอย่างถึงที่สุด เธอพยายามถดตัวหนี ปิดบังตัวเองด้วยมือและแขนอย่างน่าสมเพช แต่มันกลับดูยั่วยวน กระตุ้นความอยากของนทีอย่างร้ายกาจคว้าข้อเท้าเล็กทั้งสองข้างเอาไว้มั่น รับรู้ได้ถึงแรงต้านที่พยายามจะหนีบขาเข้าหากัน แต่พละกำลังที่มากกว่าก็สามารถจับเรียวขาสวยของเธอแยกออกจากกันได้ไม่ยาก เผยให้เห็นกลีบเนื้ออวบอูมที่บัดนี้ฉ่ำวาวแล้ว“ไม่นะ! อย่ามอง!”“แฉะแล้ว... อย่าหลอกตัวเองเลยเนย...”.นทีเลียกลืนน้ำลาย สายตาจับจ้องส่วนรับของอัจฉราอย่างกระหาย ความงามของเธอเกือบทำให้ลืมหายใจ นัยน์ตาสีนิลวาวโรจน์ รีบแทรกกายเข้าไประหว่างขาของเธอ รับรู้ถึงความปวดร้าวของตัวเองที่ร้องหาปลดปล่อยใต้เนื้อผ้า“คุณนที... ฮึก...”น้ำตาของเธอ... ร้องไห้อีกแล้ว ความปรารถ
“คุณนทีอย่า!”อัจฉราประท้วงเสียงเครือ ดวงตาคู่ฉ่ำน้ำใส ไหวสั่นระริก ความร้อนซ่านประดับพวงแก้มใสราวกับผลตำลึงสุก ทั้งอายและอัปยศอย่างถึงที่สุด หลังจากที่นทีเปิดเผยร่างกายท่อนบนของเธอ มองเขาด้วยสายตาที่อ้อนวอน ผิดจากความดื้อรั้นก่อนหน้า“อย่านะคะ... ฮึก... เนยขอร้อง”เธอขอร้องทั้งน้ำตา ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อ หายใจติดขัด ภาพตรงหน้าของนทีช่างดูน่าสงสาร เขากำลังทำร้านอัจฉราย่อมรู้ดี แต่ความต้องการของเขามันบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปหมด สำคัญเขากำลังมองว่าความอ่อนแอของเธอมันน่าขย้ำให้จมเขี้ยว เหมือนสัตว์ตัวน้อย ๆ อ่อนแอ หวาดกลัว... สิ้นหวังแต่ก็ยังดิ้นรนที่จะขอร้อง“อย่าร้องไห้...”เขายื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่อาบหน้าคนใต้ร่างอย่างแผ่วเบา สัมผัสเย็นเยียบไม่ใกล้เคียงกับคำว่าปลอบใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งใช่... นทีไม่ได้กำลังปลอบประโลม“คุณนที... เนยขอร้องนะ... อย่าทำแบบนี้เลย”ร่างเล็กตัวสั่น สัมผัสของปลายนิ้วที่เฉียดผ่านแก้มเนียนยามที่เขาเช็ดน้ำตาให้ แม้รู้ดีว่ามันคือการกระทำเสแสร้งที่สุด ทว่ากลับรู้สึกสะท้านใจอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเปิดเปลือ
“น่ารำคาญมากไหมคะ... ฮึก... เนยน่ารำคาญในสายคุณนทีมากไหมคะ?”นทีชะงักจริง ๆ ในครั้งนี้ ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ตอบคำถามแต่กลับจ้องใบหน้าที่เปื้อนหยาดน้ำใสจากตาของเธอ ก่อนที่รอยยิ้มร้ายกาจจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง น้ำตาของเธอ... ทำให้รู้สึกเดือดในใจอย่างประหลาดพร้อมด้วยเสียงหัวเราะต่ำ เขาปล่อยมือออกจากคางของเธอ ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของหล่อนด้วยน้ำเสียงเย็นจัดตรงข้ามกับสัมผัส“มาก... จนอยากปิดปากเธอให้เงียบเลยล่ะ”พูดจบก็ก้มลงประกบจูบอัจฉราอย่างแรง แบบไม่ให้เธอทันได้ตั้งตัว ดวงตาชุ่มน้ำเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจท่ามกลางความรู้สึกเจ็บปวด ขณะที่นทีเลื่อนมือมาล็อกกรามของเธอเอาไว้ บังคับให้เงยหน้ารับจูบได้ถนัดมากขึ้น“อืม...”เสียงทุ้มคำรามในลำคออย่างขัดใจเล็กน้อย ที่กลีบปากนุ่มของหญิงสาวเม้มแน่น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาบีบกรามเธอแน่นขึ้นจนอัจฉราแย้มริมฝีปากออกด้วยความเจ็บ นทีใช้จังหวะนั้นสอดลิ้นร้อนเข้าไปลิ้มรสความเค็มของน้ำตาผสมกับความหวานหอมของคนใต้ร่างอย่างดุเดือดกวาดต้อนลิ้นเ
อัจฉราหยุดฝีเท้าที่ปลายบันได แผ่นหลังบางตั้งตรงแม้จะสั่นไหวจากการร้องไห้ก็ตาม ดวงตาคู่สวยคมกล้าขึ้นเหนือความบอบบางที่เจ็บลึกสุดใจ “เนยไม่ได้หนี... แต่ถ้าจะหนีแล้วมันเรื่องอะไรของคุณนทีคะ?” เสียงหวานเครือย้อนถามคนข้างหลังโดยไม่หันไปมอง พูดจบหล่อนไม่รอคำตอบรับ หญิงสาวก็เคลื่อนไหวลงบันไดไปอีกครั้ง ทว่าเร็วไม่พอ ไม่ง่ายอย่างที่คิดนทีกล่าวไว้ไม่มีผิด “กล้าดีนี่!” หมับ! มือใหญ่ยื่นออกมาคว้าข้อมือเล็กของอัจฉราได้อย่างแม่นยำ พร้อมกันนั้นก็รวบร่างบางด้วยแขนอีกข้างที่ว่างเข้ามาหา ก่อนจะปล่อยมือออกจากข้อมือของหญิงสาว แล้วยกเธอขึ้นอุ้มทันที โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามหรือแรงขัดขืน “คุณนที! ปล่อยเนยนะ!” “ปล่อยเหรอ?! จะให้ปล่อยไปไหนล่ะ? ไปเสนอตัวให้ไอ้เจ้าหนี้ของเธอทำเมียหรือไง” น้ำเสียงทุ้มต่ำอันตรายยิ่งกว่าครั้งไหน เขาจับร่างเล็กพาดบ่าอย่างมั่นคง ก่อนจะหันกลับขึ้นบันได ตรงไปยังห้องนอนที่ประตูยังคงเปิดอ้าอยู่จากเมื่อครู่ ดวงตาสีนิลมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัว ส







