บทที่ 7
‘อำเภอเป่ยตู’
.
.
“ท่านพี่ฉิน ท่านจะไปไหน?” ถังซีเยว่รีบมาขวางหน้าของหยวนฉินเอาไว้ แขนข้างที่ไม่ได้หักกางออกเพื่อขวางทางเขา
“หลบไปเสี่ยวเยว่ ข้าต้องรีบไป”
“ข้าไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายหรอก”
“แต่ข้าต้องไปช่วยเหลือเสี่ยวชาง”
หยวนฉินกล่าวด้วยสีหน้าร้อนใจเพราะเขาไม่รู้เลยว่าเย่ซูชางอาสาไปอำเภอเป่ยตูที่กำลังประสบภัยโรคระบาด เมื่อวานเขาควรจะถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่กลับชวนนางทะเลาะจนไม่พูดกันอีก เมื่อเช้าไปจวนสกุลเย่ถึงได้รู้ว่าเย่ซูชางออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืดตอนนี้คงไปไกลแล้ว
“แต่อำเภอเป่ยตูมีโรคระบาด คนที่ไปส่วนมากก็ตายน้อยนักจะรอดกลับมา ข้าไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงหรอก”
“หลบไปเสี่ยวเยว่”
“ทำไมท่านต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนแบบเย่ซูชางด้วย!”
“เย่ซูชางคือคู่หมั้นหมายของข้า อนาคตก็เป็นภรรยาของข้า”
“นี่ท่านรักนางไปแล้วหรือ?”
หยวนฉินที่ได้ฟังคำถามก็นิ่งเงียบลงเพราะเขาก็ไม่แน่ใจนักแต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงเย่ซูชางมากไม่สามารถปล่อยนางไปเผชิญทุกข์ภัยผู้เดียว
“ข้าไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้ข้าเป็นห่วงนางมาก และปล่อยนางไปเผชิญอันตรายผู้เดียวไม่ได้”
“ข้าขอร้องท่านพี่ฉิน ที่นั่นอันตรายเกินไปท่านอย่าไปเลย” ถังซีเยว่ยังคงขอร้องเช่นเดิมเพราะนางเป็นห่วงเขาและไม่เห็นว่าจะมีคุณค่าตรงไหนที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงช่วยสตรีชั่วแบบเย่ซูชาง
“ข้าคงทำตามคำขอของเจ้าไม่ได้”
ว่าจบหยวนฉินก็เลือกจะกระชับห่อผ้าเข้าแขนแล้วรีบเดินเลี่ยงออกมาทันทีโดยไม่ได้สนใจเสียงขอร้องของถังซีเยว่อีก เขากระโดดขึ้นอาชาสีดำขนเงางามแสนสง่างามของตนทันทีแล้วเริ่มบังคับบังเหียนให้เจ้าม้าคู่ใจควบขี่ออกไปอย่างรีบร้อนเพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันเย่ซูชาง
……….
.
อำเภอเป่ยตู
“ท่านหญิง ท่านไม่ต้องลงไปหรอกขอรับ” นายอำเภอเป่ยตูพยายามห้ามเย่ซูชางที่กำลังจะลงไปดูคนที่ติดโรคระบาดเพราะกลัวว่านางจะติดไปด้วยแล้วหัวของตนจะไม่อยู่บนบ่า
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาช่วยผู้ประสบภัยโรคระบาด ถ้ามัวแต่อยู่ในเรือนรับรองแล้วจะให้ข้าเดินทางมาไกลทำไม”
เย่ซูชางไม่ได้สนใจเสียงห้ามปรามของนายอำเภอเป่ยตูเพราะนางมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ในนิยายบอกว่าที่นี่ติดโรคระบาดที่ชื่อว่าไข้จับสั่นถ้าภาษาทางการในปัจจุบันก็คือไข้มาลาเรียที่พาหะเป็นยุงก้นปล่อง พื้นที่แถบนี้อยู่ติดป่าฝนมีฝนตกมากกว่าพื้นที่อื่นทำให้มีแหล่งน้ำแหล่งชื้นแฉะเพาะพันธุ์ยุงได้เยอะ และป่าชื้นก็มักจะก่อเชื้อโรคได้ง่ายกว่าจึงไม่แปลกใจนักที่เมืองนี้จะเกิดโรคระบาดเพราะมันมีปัจจัยครบถ้วน
นางก้าวเท้าลงมายังเขตกักกันผู้ติดเชื้อก็ลมแทบจับเพราะการเป็นอยู่แบบนี้ไม่แปลกเลยที่โรคจะระบาดรุนแรง พื้นเป็นดินชื้นแฉะมีน้ำขัง ให้นอนกับพื้นบนเสื่อขาด ๆ แบบตามเวรตามกรรม ผ้าห่มก็ไม่มีต้องเอากองฟางมาห่มตัวเอาไว้แล้วแบบนี้จะป้องกันอะไรได้
“เจ้าให้คนไปตามหมอมาพบข้าที”
“ขอรับ” นายอำเภอเป่ยตูรีบวิ่งออกไปทันที
“พวกเจ้าไปหาดินแห้งมากลบหลุมน้ำให้หมด”
เย่ซูชางเอ่ยสั่งเหล่าทหารที่กำลังเดินไปเดินมาแต่เจ้าพวกนี้ก็ยืนเฉย มิหนำซ้ำยังทำหน้าฉงนอีกเหมือนกำลังสงสัยว่านางเป็นใคร มาจากไหน และมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง
นางถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะหยิบป้ายหยกที่เอวขึ้นมาโชว์ให้ทุกคนดู ก็ทำตามในซีรีส์อะเห็นเวลาจะเบ่งอำนาจอะไรพวกตัวละครก็มักจะเอาป้ายหยกที่ห้อยเอวไว้มาโชว์ตลอด และเหมือนจะได้ผลเพราะพวกทหารหน้าซีดเชียวที่เห็นป้ายของนางที่ไม่ใช่ป้ายหยกธรรมดาแต่มีขอบทองซะด้วยเรียกว่าระดับ V.V.I.P
“ไสหัวไปเอาดินแห้งมาถมหลุมน้ำพวกนี้ให้หมด ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาหัวพวกเจ้ามาถมแทน!”
“ขอรับ!” เหล่าทหารรีบแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งคนละทิศคนละทางทันที
‘สั่งดี ๆ ไม่ชอบ ต้องให้ร้ายแบบนางร้ายสินะ ไอ้พวกนี้นี่!’
“หมอมาแล้วขอรับท่านหญิง” นายอำเภอเป่ยตูกลับมาพร้อมท่านหมอสองคน
“มีหมอสองคนเองหรือ?”
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย คนเจ็บป่วยเยอะถึงเพียงนี้แต่หมอสองคน ไม่แปลกเลยทำไมถึงคนตายเยอะก็มันดูแลไม่ทั่วถึง เผลอ ๆ ใครอาการหนักคงปล่อยตายตามเวรตามกรรมแน่
“เมืองหลวงส่งมาสี่คนแต่ป่วยไปแล้วสองคนขอรับ” ท่านหมอหนุ่มผู้หนึ่งกล่าว
“เจ้ายังอายุน้อยอยู่เลย ได้เป็นหมอของราชสำนักแล้วหรือ?”
“เรียนท่านหญิง ผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของข้าเองขอรับ ตามมาที่นี่ก็หวังจะตามมาเรียนรู้งานจากข้าขอรับ” หมอวัยกลางคนที่ยืนข้างกันกล่าวขึ้น
“อ๋อ” นางพยักหน้ารับ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย มีเมียหรือยังเนี่ย กลัวจะเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ
“เรามาคุยเรื่องโรคระบาดกันดีกว่า พวกเจ้ามีชื่อเรียกโรคนี้หรือยัง?”
“เราเรียกมันว่าจั้งชี่ขอรับ อาการของคนป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว บางคนมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร และหนาวสั่นขอรับ”
“พวกเจ้ารักษาอย่างไร?”
“ต้องรักษาตามอาการไปขอรับ แต่บางรายอาการหนักก็ไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตไว้ได้จริง ๆ ขอรับ”
นางที่ได้ฟังก็พอจะเข้าใจเพราะยุคสมัยโบราณการแพทย์ยังไม่พัฒนา ยังไม่มีการเจาะเลือดเพื่อเอาไปตรวจหาเชื้อจึงระบุโรคที่เฉพาะเจาะจงไม่ได้ ตัวยาที่ใช้รักษาก็มีแต่ยาสมุนไพรเท่านั้น คงได้แต่รักษาตามอาการใครปวดหัวก็กินสมุนไพรที่มีฤทธิ์แก้ปวดหัว ใครหนาวสั่นก็กินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนช่วยให้ร่างกายอบอุ่นแบบนั้น
“การรักษาโรคระบาดไม่ใช่แค่รักษาที่ตัวของผู้ป่วยแต่ว่าต้องรู้จักป้องกันด้วยเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการที่ทรุดลง และไม่ให้คนที่ยังไม่ป่วยติดโรคระบาด ถ้าเอาแต่รักษาแต่ไม่รู้จักป้องกันรักษากันทั้งชีวิตก็คงไม่หายเสียที”
“ท่านหญิงโปรดชี้แนะด้วยขอรับ” หมอหนุ่มโค้งหัวลงอย่างนอบน้อมจนเย่ซูชางชักชอบใจที่เขารู้จักยอมรับความเห็นผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ยึดความคิดตนเองอย่างเดียว
“อย่างแรกเลย โรคนี้มีพาหะนำเชื้อโรคเป็นยุง”
“ยุงตัวเล็ก ๆ น่ะหรือขอรับ?”
ทุกคนต่างแปลกใจเพราะยุงมันตัวนิดเดียวตบก็ตายแล้ว
“ถึงมันจะตัวเล็กแต่พวกเจ้าก็ไม่ควรดูถูก ยุงหนึ่งตัวที่กัดคนป่วยหนึ่งครั้ง มันสามารถแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้นับสิบ ยามที่มันกัดลงบนผิวของพวกเจ้าก็จะนำเชื้อโรคที่กัดจากคนป่วยเข้าไปในตัวพวกเจ้าด้วย มันเป็นหลักการง่าย ๆ ของการแพร่เชื้อเลย กัดต่อ ๆ กันไปก็แพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายคนไม่ป่วยต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่มันยังไม่โดนตีตาย”
เมื่อทุกคนได้ฟังก็คิดตามแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ท่านหมอหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยจึงหันมาถามเย่ซูชางต่อ
“แล้วแบบนี้เราควรจะป้องกันเช่นใดขอรับ”
“ง่ายมาก” เย่ซูชางยกยิ้มหวานก่อนจะชี้นิ้วไปยังหลุมที่มีน้ำขังอยู่ “หลุมที่มีน้ำขังพวกนี้ต้องถูกกลบให้หมดอย่าให้มีน้ำขัง ภาชนะต่าง ๆ หม้อไหกะละมังห้ามมีน้ำขังเด็ดขาด น้ำในโอ่งเททิ้งให้หมดแล้วเอาน้ำสะอาดมาใส่จากนั้นต้องปิดฝาโอ่งให้มิดชิดอย่าเปิดอ้าหรือมีช่องรูแม้แต่นิดเดียว”
‘ถ้าเป็นประเทศไทยจะต้องแจกทรายจีพีโอด้วยนะ’
นางเดินเข้ามาในโรงนอนของผู้ป่วยที่ไม่มีการป้องกันอะไรเลยหน้าต่างเปิดโล่ง คนป่วยนอนกับพื้น
“ให้เอาเสื่อมาปูที่พื้นให้หมดเพื่อปิดช่องที่ไม้กระดานไม่ให้ยุงบินขึ้นมาจากใต้ถุน ประตูหน้าต่างเปิดเอาไว้ได้แต่จะต้องมีผ้าบางปิดกั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ยุงบินเข้ามาได้ แล้วคนป่วยทุกคนก็ต้องนอนในมุ้งด้วย จริง ๆ ก็ไม่ใช่แค่คนป่วยแต่คนไม่ป่วยก็ต้องนอนในมุ้งทุกคน”
“ถ้าทำเช่นนั้นต้องใช้งบประมาณไม่ใช่น้อยเลยขอรับ เรามีงบประมาณจำกัด” นายอำเภอเป่ยตูกล่าวสีหน้าเคร่งเครียด
‘นั่นสินะ จะปรับปรุงทั้งหมดก็ต้องใช้งบประมาณเยอะ’
“ไม่เป็นไร เอาเงินทองข้าไปให้หมด”
“ตะ… แต่ว่า”
“ไม่ต้องแต่ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เงินทองของนอกกายไม่ตายก็ยังหาใหม่ได้ข้าไม่ยึดติด เอาชีวิตคนให้รอดก่อนก็พอจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ข้าก็ยินดีจ่าย ขอแค่พวกเจ้าทำในสิ่งที่ข้าสั่งได้ก็พอแล้ว”
ทุกคนที่ได้ฟังก็ซาบซึ้งในน้ำใจของท่านหญิงเย่รีบคุกเข่าขอบคุณกันถ้วนหน้า “ขอบคุณท่านหญิงเย่ขอรับ ท่านช่างประเสริฐยิ่งนัก!”
“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้น” เย่ซูชางที่ได้รับการชื่นชม แล้วต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังคุกเข่าสรรเสริญนางเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่นักเพราะปกติเจอแต่คนสาปแช่งเสียมากกว่า
“พวกเจ้ารีบไปจัดการตามที่ข้าสั่งเถิด นายอำเภอท่านหาผ้าฝ้ายมาเยอะ ๆ ถ้าต้องซื้อจากเมืองอื่นก็ให้ซื้อมาไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง ข้าจะจัดหามาให้ แล้วก็หาสตรีที่ตัดเย็บเป็นมาช่วยกันทอมุ้งแจกจ่ายชาวบ้านหน่อย”
“ขอรับ”
“ท่านหมอข้าวานท่านช่วยหาชิงเฮามาให้หน่อย หาได้เท่าไหร่เอามาให้หมด เยอะ ๆ ยิ่งดี เราจำเป็นต้องใช้เยอะ”
“ขอรับท่านหญิง”
“ข้าขอไปพักหน่อยแล้วกัน เดินทางมาไกล เหนื่อยยิ่งนัก”
เมื่อสั่งการแจกจ่ายงานให้ทุกคนเสร็จแล้ว นางก็หันตัวเดินออกมาเพื่อหวังจะกลับไปยังเรือนรับรองพักผ่อนเสียหน่อย ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีก็ได้แหละมั้งที่ตัวนางทะลุมิติมาจากโลกในยุคสมัยใหม่ที่ความรู้การแพทย์มันกว้างขวางแล้ว คนรู้จักไข้มาลาเรียเป็นอย่างดีว่าเกิดจากอะไรและควรป้องกันยังไง ถึงจะรักษาให้มันหายไปจากโลกใบนี้ไม่ได้แต่ก็สามารถป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้ ถ้ารักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี