โปรแกรมเมอร์สาวอย่างหลินอวิ๋นเอ๋อร์ต้องทะลุมิติเข้าไปในเกมที่ตัวเองกำลังเล่น แถมเธอยังต้องไปอยู่ในร่างของพระชายาหลินซินอวิ๋นผู้โหดเหี้ยม ชายาผู้ไม่เป็นที่รักของท่านอ๋องห้า เกมในวังหลังครั้งนี้ มีหัวใจของท่านอ๋องผู้แสนเย็นชาเป็นเดิมพัน!
View Moreแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทอดยาวบนโต๊ะไม้แบบมินิมอล สติ๊กเกอร์คำว่า “เล่ห์รักวังบุปผา เซิร์ฟทานตะวัน” แปะเด่นบนขอบจอ หลินอวิ๋นเอ๋อร์ โปรแกรมเมอร์สาวผมรวบสูงในเสื้อยืดกางเกงวอร์ม นั่งขัดสมาธิกับเก้าอี้เกมมิ่งเหมือนนักบวชพร้อมออกกรรมฐาน เธอคลิกเมาส์อย่างฉับไว แถบพลังชีวิตของตัวละครบนหน้าจอไต่ขึ้นลงดุจกราฟหุ้นในวันประกาศงบ
“อ๊าย ขวาซ้ายขวาซ้าย หลบสกิลกุ้ยเฟยให้ได้ทีเถอะ!”
อวิ๋นเอ๋อร์กัดริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกาย ลมหายใจถี่เร็วราวกับวิ่งสปรินต์ในที่ร่ม
“อีกนิดเดียวจะเคลียร์เควสปิดซีซันแล้ว!”
ในเกม จ้าวเยี่ยนฝู อ๋องห้าผู้เย็นชาในชุดเกราะดำแบบเงาวาวก้าวเข้าลานพิธี ท่วงท่าสงบนิ่งแต่แฝงอำนาจจนแม้แต่พิกเซลก็เกรงใจ เสียงเขาในเกมทุ้มนุ่มนวลแต่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง
“ผู้ใดกล้าแตะต้องคนของข้า อย่าหวังว่าจะรอด!”
“อ๊าย หล่อขนาดนี้ไม่ให้ฉันหลงยังไงไหว!”
เธอหัวเราะจนตาหยี มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัวเป็นจังหวะ EDM มือขวาจิ้มเมาส์รัวจนไส้ในแทบระเบิด
“ท่านอ๋องห้า ท่านคือสามีแห่งชาติของฉันในจักรวาลนี้! กรี๊ดดด!!”
หน้าจอกะพริบ คำว่าเคลียร์เควส! ผุดขึ้นพร้อมดอกไม้โปรยทิพย์ ทว่าไม่ทันให้เธอเฮ ภาพหน้าจอกลับกระตุก เสียงไฟฟ้าซู่ซ่าดังขึ้นจากในเครื่องอย่างไม่ชอบมาพากล แล้วหน้าจอก็มืดสนิท
“เอ๊ะ!? ค้างเหรอ”
อวิ๋นเอ๋อร์เลิกคิ้ว มือเอื้อมไปหาปุ่มรีสตาร์ต ยังไม่ทันแตะ กระแสไฟสีครามก็พุ่งพล่านเหมือนริบบิ้นแสงพาดผ่านห้อง แล้วโลกทั้งห้องก็เอียงเหมือนเรือโดนคลื่นซัด เธอรู้สึกเหมือนมีมือยักษ์มาดึงคอเสื้อ กระชากเธอหลุดออกจากเก้าอี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นแสงสีขาวจ้า
เสียงกลองพิธีดังตุ้ม ๆ กลิ่นกำยานลอยเข้าจมูก ก่อนที่สายตาจะปรับรับแสงได้ เธอรู้สึกได้ว่าข้างแก้มสัมผัสกับผ้าไหมเย็นจัด เพดานไม้แกะสลักลายมังกรกับเมฆหมุนวนอยู่เหนือศีรษะ พู่ไหมสีชาดห้อยระโยงระยางปลิวไหวเบา ๆ ตามลม
นี่ไม่ใช่ห้องของเธอ ไม่ใช่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเล่นเกม ไม่ใช่ศตวรรษเดียวกันกับที่เธออยู่...
“ทรงโปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ! หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!”
เสียงหญิงสาวสะอื้นไห้คุกเข่ากลางโถงกว้าง บ่าวไพร่อีกหลายคนก้มหน้า สีหน้าซีดเป็นกระดาษ ต่างแนบหน้ากับพื้นศิลาอย่างสิ้นหวัง
ลมหายใจของอวิ๋นเอ๋อร์สะดุด เธอกะพริบตาถี่ ข้างในหัวดังก้อง ภาพคัตซีนที่เธอเคยเล่นมากี่ร้อยรอบก็ไม่รู้ซ้อนทับอยู่ตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่มันฉาก “บทลงโทษของพระชายาหลิน” ในเกมเล่ห์รักวังบุปผาชัด ๆ !
ร่างของเธอนั่งพิงตั่งไม้ลายเมฆ ด้านข้างมีถ้วยชาอุ่นยังมีไอจาง ๆ สะท้อนดวงหน้าที่ไม่ใช่เธอในโลกเดิม แต่สวยคมจนบ่าวไพร่ไม่กล้าสบตา หลินซินอวิ๋น ชายาเอกของอ๋องห้า นางคือสตรีผู้ลือชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม
สัญชาตญาณคนเล่นเกมบอกให้เธอ “กดข้ามคัตซีน” แต่ชีวิตจริงมันไม่มีปุ่มนั้น
“ลงโทษโบยยี่...”
คำสั่งเก่าหลุดจากริมฝีปากอย่างอัตโนมัติ ราวกับสคริปต์ฝังลึกในกล้ามเนื้อ อวิ๋นเอ๋อร์หยุดตัวเองได้ทัน เธอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง มองใบหน้าของสาวใช้ที่กำลังจะถูกลงโทษ เด็กคนหนึ่ง เสียงสั่นจนแทบหายใจไม่เป็น
หัวใจเธอหดเกร็ง “เดี๋ยวก่อน”
เสียงของเธอไม่ได้แหลมคมอย่างในจินตนาการ แต่กลับนิ่ง ชัดถ้อยชัดคำ พาให้ทั้งโถงนิ่งกว่าลมหนาว
“หยุดการลงโทษทั้งหมด!” เธอสั่ง
เสียงสูดหายใจดังพร้อมกันทั้งโถง ราวกับคนทั้งห้องเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังมีปอด อวิ๋นเอ๋อร์รวบสติ เธอสแกนสถานการณ์เหมือนดีบักโค้ด ข้อมูลไม่พอ หลักฐานไม่มี พยาน? กระบวนการ? เดิมทีฉากนี้ในเกมมีไว้เพื่อตอกย้ำภาพว่า พระชายาหลินเป็นคนโหดเหี้ยม แต่นี่คือชีวิตคนจริง ๆ ไม่ใช่พิกเซล
“ของหาย ใครกล่าวหาใคร มีหลักฐานอะไรบ้าง”
เธอถามสั้น ตรงไปตรงมา ใส่โทนเสียงที่แม้แต่เจ้านายบริษัทสตาร์ตอัปยังต้องเงียบฟัง
“หากไม่มี ข้าไม่อนุญาตให้ลงโทษแม้แต่ไม้เดียว”
บ่าวหลายคนเงยหน้าขึ้นอย่างไม่แน่ใจ หญิงตัวเล็กหน้าใสที่ยืนอยู่ริมเสา ดวงตากลมกลอก ยกมือค้าง ๆ
“พะ...พระชายาเพคะ คะ...คือ บัญชีคลังวันนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบเรียบร้อยดีเพคะ อาจจะบันทึกผิด”
“ดี” อวิ๋นเอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าชื่ออะไร”
“ม่ออี๋ เพคะ”
“ม่ออี๋ เจ้าตามข้าไปที่คลัง” เธอหันกวาดตาดูผู้คน
“ตั้งแต่วันนี้ ใครกล่าวหาใคร ต้องแนบหลักฐาน ถ้าใส่ความผู้อื่น ลงโทษคนใส่ความแทน เข้าใจหรือไม่”
เสียงตอบ “เพคะ!” กระจัดกระจายรอบห้อง บางคนยังสะอื้นอยู่ไม่จาง
ยังไม่ทันก้าวลงตั่ง บานประตูงาช้างก็เปิดช้า ๆ เงาสูงใหญ่ในชุดเกราะคล้ำก้าวเข้ามาทีละฝีเท้า ดวงตาคมกริบกวาดมองเพียงชั่ววูบ ความเย็นจากสายตานั้นเหมือนทำให้พู่ไหมหยุดไหว
อวิ๋นเอ๋อร์รู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีคำบรรยายใต้ภาพเขาผู้นั้นก็คือ จ้าวเยี่ยนฝู หรือท่านอ๋องห้า
“โห! ในเกมว่าหล่อแล้ว ตัวจริงหล่อกว่าอีก” นางคิดในใจ
เขาหล่อแบบที่รูปวาดสกรีนเซฟเวอร์ยังต้องขอเคล็ดลับความหล่อ
“ในเรือนเจ้าเปลี่ยนกฎแล้วหรือ”
น้ำเสียงเรียบง่ายราวถามสภาพอากาศ แต่ความเย็นชานั้นกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ อวิ๋นเอ๋อร์ตั้งไหล่ตรง
“ไม่ใช่กฎใหม่ เป็นเพียงกฎที่ควรมีมาตั้งแต่แรก ความยุติธรรมเพคะ”
คิ้วเข้มของเขากระตุกเพียงเสี้ยววินาที ก่อนปากจะคลี่ยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม มองแล้วใกล้เคียงคำว่าหึ!มากกว่าเสียอีก คำว่าความยุติธรรมในเรือนของพระชายาหลินประโยคเดียว แต่ทั้งโถงรู้ว่านั่นคือการเหน็บแนม
เธออยากปาข้าวของใส่กำแพงซะจริง ถ้าเป็นที่โลกปัจจุบันของเธอคงได้วีนแตกใส่คนที่ทำสีหน้าแบบนี้ใส่เธอไปแล้ว แต่ที่นี่คือสมัยไหนก็ไม่รู้ เธอสูดหายใจสั้น ๆ ก่อนจะตอบ
“หากท่านอ๋องไม่ขัดข้อง หม่อมฉันขอสอบสวนเอง”
“ตามใจ”
เขาเอียงหน้าเล็กน้อย สายตามองเลยผ่านเธอ แต่สะกิดอะไรบางอย่างในหัวใจเธออย่างจัง ก่อนเขาจะก้าวผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลิ่นลมเย็นวาบตามหลัง
อวิ๋นเอ๋อร์แอบเบะปากในใจ คิดว่าหล่อแล้วจะหยิงยังไงก็ได้รึไง เอาเถอะ เดี๋ยวแม่จะจัดการให้อยู่หมัดเลยคอยดู!
เธอเปลี่ยนรองเท้าตามระเบียบเรือนและก้าวไปยังคลังกลางพร้อมม่ออี๋ ทางเดินโรยหินขาวทอดยาวผ่านสวนไผ่ เสียงใบไผ่เสียดสีกันดังซู่ ๆ แสงแดดอ่อนลอดผ่านหลังคากระเบื้องเก่าสาดลงพื้นเป็นลายตารางพอดิบพอดี
“พระชายาเพคะ เมื่อตะกี้ท่านช่างต่างจากเมื่อก่อนเหลือเกิน” ม่ออี๋เอ่ยเสียงเบา ดวงตาพลางเหลือบซ้ายขวา
“เอ่อ...หม่อมฉันต่างในทางดีนะเพคะ”
“ข่าวลือมีสองแบบ” อวิ๋นเอ๋อร์ยิ้ม “แบบที่เกิดจากความจริง และแบบที่เกิดจากความกลัว เราจะตัดรากข่าวลือด้วยข้อมูลก่อน”
เธอเกือบเผลอพูดคำว่าดาต้าไปซะแล้ว แต่ดีนะที่คิดได้ทัน
คลังกลางเป็นอาคารกว้างผนังไม้ เคลือบด้วยน้ำมันยางมะตอยกลิ่นฉุน อวิ๋นเอ๋อร์ให้ทุกคนหยุดมือ เธอเริ่มจากกระสอบข้าว ชั่ง นับ จดบันทึกเทียบใบเบิก ยักไหล่เมื่อพบตัวเลขที่ไม่ตรงกัน
“ขาดหายไปสามถัง”
“ขะ...ขออภัยเพคะพระชายา! เมื่อครู่คนยกของ...”
“ช้าก่อน ห้ามดุใครจนกว่าจะเห็นเส้นทางหล่นหาย” เธอชี้ปลายคางไปที่สมุดบัญชี
“เรียงชื่อคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงคลังตามลำดับเวลา ใครเซ็นรับ ใครเฝ้าเวร”
“ซะ...เซ็น? คืออะไรหรือเพคะ”
“เอ่อ...ลงชื่อน่ะ”
ไม่นาน รายชื่อห้าหกคนก็ถูกวางตรงหน้า เธอลากนิ้วไปตามทีละแถวเหมือนไล่โค้ดทีละบรรทัด
“นี่ จุดนี้ผิดปกติ” เธอแตะหนึ่งชื่อที่มีรอยหมึกเลอะ ๆ
“ทำไมลงชื่อเหมือนแก้ไขเลย”
ม่ออี๋กัดริมฝีปาก “เขาชื่ออาซวนเพคะ เป็นคนเฝ้าประตูด้านทิศตะวันตก เมื่อคืนเขาเมาเพคะ”
“กฎข้อหนึ่งของเรือนนี้ต่อจากนี้” อวิ๋นเอ๋อร์ยกคางนิด ๆ
“คนเฝ้าคลัง ห้ามดื่มสุราแม้หยดเดียว ใครฝ่าฝืน ข้าจะตัดเบี้ยหวัดและเปลี่ยนคนใหม่มาทำหน้าที่แทน”
เธอเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นหลายคนพยักหน้าแรงราวกับหาคนพูดแทนใจเจอ
เธอขอให้คนเฝ้าประตูสองทิศสาธิตการแลกเปลี่ยนเวรยาม เวรยามเดินทวนรอย ผลคือทิศตะวันตกมุมมืดติดซอกผนังมีช่องเล็กพอให้ขวดน้ำและถุงเล็ก ๆ ลอดได้
“นี่แหละ จุดที่หล่นหาย”
ไม่กี่คำสั่ง กระสอบเล็กถูกคุ้ยออกจากพงไผ่ รอยข้าวที่เกลี่ยพรางเอาไว้กระจายบนพื้น ชายคนหนึ่งหน้าซีดเผือดคุกเข่าทันที
“พระชายา ข้าน้อยผิดไปพ่ะย่ะค่ะ! ขะ...ข้าน้อยคิดเพียงจะเอาไปแลกสุรา ไม่ได้คิด...”
“ไม่มีใครบอกเจ้าให้คิดหรือไม่คิด” อวิ๋นเอ๋อร์ตอบเรียบ
“ของหลวงก็คือของหลวง!”
เธอเงียบครู่หนึ่ง ในเกม ชายาหลินนางจะสั่งโบยบ่าวผู้นั้นจนเลือดท่วมพื้น แต่ในหัวใจของเธอที่มาจากศตวรรษอื่นรู้ว่า ความผิดแรก แก้ไขได้ดีกว่าประหารความเป็นคน
“ลงโทษตามกฎของจวนอ๋อง ใช้แรงงานชดใช้สามเท่า หักเบี้ยหวัดหนึ่งเดือน แล้วย้ายไปให้พ้นจากหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคลัง”
ชายคนนั้นซบหน้าลงกับพื้น “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นเหมือนใครเปิดหน้าต่างให้อากาศใหม่เข้ามา บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างงุนงงและแปลกใจว่าเหตุใดพระชายาหลินจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้...
เช้าวันนัด บนท้องฟ้ามีเมฆบาง ๆ เคลื่อนช้าเหมือนใครตั้งใจยืดเวลาออกให้นานที่สุด ลมหลังฝนพัดเย็นจนใส่สูทแล้วพอดี หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนหน้ากระจกในห้อง ทำผมหางม้าสูงเรียบร้อย ลองยิ้มเบา ๆ ที่ไม่ตึงเกินและไม่อ่อนปวกเปียกเกินไป จากนั้นสูดลมหายใจยาว ครั้งหนึ่งเพื่อบอกหัวใจว่า นี่คือโลกของความจริง ไม่ใช่วังหลังที่เธอเคยไปอยู่เธอสวมต่างหูมุกเม็ดเล็ก เหลือบมองสมุดไดอารี่ปกผ้าลินินบนโต๊ะ“ไปด้วยกันนะ”เธอเอ่ยกับสมุดเหมือนคุยกับเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่สมุด ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปสีน้ำตาลเข้ม กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่น เธอพร้อมแล้วสำหรับวันนี้...ย่านธุรกิจยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนเต็มกำลัง รถยังไหล เธอลงจากแท็กซี่หน้าตึกบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ตึกกระจกสูงสะท้อนเมฆสีเทาอ่อนเหมือนผืนไหมแผ่ปกท้องฟ้า เสี้ยววินาทีที่ยกหน้าเงย เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนเสียงกลองยามล็อบบี้หินอ่อนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้ความมั่นใจแปลก ๆ เสียงรองเท้าหนังของผู้คนจังหวะต่างกันสับสน แต่ทุกคนมีทิศทางของตัวเอง บนผนังหน้าจอแอลอีดีฉายฉากไฮไลต์จากเกมดัง“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ” เลขาหน้าตาคมในชุดสูทครีมก้าวเข้ามาหา ยิ้
เช้าวันฝนตก เมฆครึ้มเหนือเมืองหลวงทอเงาหนาแน่นไปทั่วตึกสูงเรียงราย ถนนใหญ่เต็มไปด้วยรถที่เคลื่อนช้า ๆ ฝนโปรยละอองบางจนกระจกแท็กซี่พราวน้ำ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งเบาะหลัง กำเอกสารแฟ้มสีน้ำเงินแน่น แล็ปท็อปถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบหรูที่เธอเพิ่งซื้อเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่รถเคลื่อนผ่านตึกสูง จนกระทั่งแท็กซี่หยุดหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมระดับท็อปของภูมิภาค ตึกกระจกสูงกว่าสี่สิบชั้นสะท้อนท้องฟ้าสีหม่น แต่โลโก้สีทองรูปมังกรพันวงล้อเกมกลับเปล่งประกายชัดเจนเหนือประตูใหญ่ เธอลงจากรถ สูดลมหายใจลึก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่คือวันที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปทั้งชีวิต สู้ ๆ นะ”โถงล็อบบี้โอ่อ่าตกแต่งด้วยหินอ่อน เงากระจกใสสะท้อนภาพพนักงานในชุดสูทยุคใหม่สลับกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ฉายตัวอย่างเกมดัง ๆ ของบริษัท เสียงพนักงานต้อนรับเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ? เชิญที่ชั้น 15 ห้องประชุมใหญ่เลยค่ะ ทีมพัฒนารออยู่”“ขอบคุณค่ะ”เธอยกมือไหว้เล็กน้อยก่อนก้าวเข้าสู่ล
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดหลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอได้เผชิญมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย การลาออกไปพักกายพักใจ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ บางทีการได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะช่วยให้หายเศร้าไก้บ้าง ถึงแม้ว่าหัวหน้าของเธอจะพยายามบอกให้เธอตัดสินใจใหม่ แต่หลินอวิ๋นเอ๋อรก็ยังคงยืนกรานคำเดิม“ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะอยู่ทำงานต่ออีก 2 สัปดาห์ เคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จค่ะ”“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว งั้นก็โชคดีนะอวิ๋นเอ๋อร์ เธอเป็นคนเก่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จแน่”“ขอบคุณนะคะหัวหน้าที่เข้าใจฉัน และก็ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีมาตลอดค่ะ”เวลา 2 สัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะทำงานถูกเก็บอย่างเรียบร้อย เธอเอ่ยลาเพื่อนร่วมทีมทีละคน“ไว้เจอกันนะ”“ไปพักให้เต็มที่ อย่าคิดถึงที่นี่ก็กลับมาได้เสมอ” หัวหน้าเอ่ยกับเธออีกครั้ง“ส่งรูปทะเลมาอวดด้วยนะ” เพื่อนอีกคนเอ่ยแซวหลังจากกอดลาทุกคนเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปยังหน้าลิฟต์ได้อย่างไม่โหวกเหวก แต่พอประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวร่างบางเล็กที่กำล
ค่ำคืนที่ออฟฟิศปิดไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์สาดลงบนใบหน้าซีดของเธอ นิ้วพิมพ์ไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็หยดลงบนคีย์บอร์ด เธอหัวเราะทั้งน้ำตา“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ เธอนี่บ้าจริง ๆ ถึงขนาดคิดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงไปซะได้”เช้าวันจันทร์ฝนพรำ รถไฟฟ้าแน่นขนัดจนเธอต้องขยับเท้าตามแรงเบียด เหงื่อคนอื่นผสมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยปะทะ เธอตรึงสายตาไว้กับประกาศสีฟ้า “สถานีถัดไป” เหมือนตั้งใจจ้องอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจหลุดไปไกลกว่านี้ แต่ระหว่างเสียงรถลากรางโลหะ เธอกลับได้ยินเสียงกลองยามเสียดขึ้นแทรกมาในหัวอย่างดื้อดึง จังหวะนั้นเองที่เธอก้มลงมองมือขวาของตัวเอง มือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกุมแน่นไว้ใต้ศาลาดอกเหมย แล้วรีบชักสายตาหนี ราวกับการมองนานจะทำให้ความทรงจำกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกประตูรถเปิด ชุดทำงานพรืดไหลลงชานชาลา เธอก้าวเร็ว ๆ ฝนเม็ดเล็กกระทบแก้ม เธอแอบขำกับตัวเอง ฝนในโลกนี้ก็เย็นเหมือนฝนในโลกนั้น แต่ทันทีที่วูบนึกถึงคำว่า “โลกนั้น” หัวใจเธอก็ร่วงวูบเหมือนยืนอยู่บนโถงหินว่างเปล่าทันทีออฟฟิศกระจกสูงสะท้อนท้องฟ้า บัตรแตะประตูดังติ๊ด ไฟสีเขียวสว่างขึ้น เธอฝืนยิ้มทักทีม“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”เธอกล่าวทักทายเพื่อนร่
เสียงพัดลมคอมหมุนเบา ๆ ภายในห้องเงียบงัน ต่างกับเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงกลองและเสียงเอ่ยถวายบังคม เธอก้มลงกอดเข่า น้ำตาไหลพรั่งพรู“นี่มันแค่ความฝันจริง ๆ หรือว่า ข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้วใช่ไหม ท่านอ๋อง...”หน้าจอสี่เหลี่ยมวาวแสงสีฟ้าจาง ๆ สะท้อนเงาใบหน้าซีดของหลินอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาแดงฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา ขนตาเปียกชิดกันเป็นแพ เธอยังนั่งท่าเดิม มือซ้ายคาเหนือแป้นพิมพ์ มือขวาวางทับเมาส์ เหมือนโลกทั้งใบเพิ่งถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่เธอยังหายใจเข้าไม่สุดเธอเหลือบสายตาไปมุมจอ นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลา 03:17 น. ตัวเลขนิ่งสนิทจนทำให้หัวใจเจ็บยิ่งขึ้น เพราะเวลาตี 3 ของโลกนี้ ไม่ใช่ยามสามของวังหลังที่เธอเคยได้ยินเสียงฆ้องยามจากหอระฆังดังกังวานก้องบนหน้าจอเกมเล่ห์รักวังบุปผาค้างอยู่ที่ฉากสุดท้าย กล่องข้อความกรอบทองหม่นกึ่งโปร่งปรากฏอยู่กลางจอ ปุ่มยืนยันกะพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้ง สายตาเธอถูกตรึงด้วยบรรทัดเดียวที่เย็นชากว่าดาบ“จบสิ้นแล้ว”เธอขยับนิ้วโป้งไถแป้นเมาส์เล็กน้อย ความเคยชินบอกให้ลองคลิก คลิกเพื่อย้อน คลิกเพื่อหาเส้นทางลับ คลิกเพื่อเปิดอะไรสักอย่างที่พาเธอกลับไป แต่หน้าจอกลับ
ท้องพระโรงวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่เรียงรายตามลำดับชั้น จ้าวเยี่ยนฝูและหลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนเคียงกันต่อหน้าพระพักตร์ สายตาผู้คนจับจ้องพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายเว่ยหลางก้าวออกมากลางลาน ก้มคำนับแล้วรายงาน“กระหม่อมได้หลักฐานยืนยันจากกรมอาญาและหมอหลวง ว่ากระปุกยาที่พบในเรือนของพระชายา ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง หากแต่เป็นเพียงยาล่อให้คนเข้าใจผิด อีกทั้งพบปิ่นปักผมของสาวใช้สกุลไป๋ ที่กำแพงฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ เซวียนเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไป๋ก็ได้สารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นคำสั่งของนาง”เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ไป๋เยี่ยนหรงถูกนำตัวเข้ามา นางยังคงแต่งกายงดงามแต่ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาแดงกร้าวจ้องหลินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ปิดบัง“เป็นเจ้า! นังสารเลว! นังคนชั่วที่มาแย่งสิ่งที่ควรเป็นของข้า!” เสียงของนางก้องสะท้อน สั่นไปทั่วท้องพระโรงหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หวั่นไหว นางก้าวออกมายืนกลางลาน ใบหน้าอ่อนโยนแต่สายตาแน่วแน่“สิ่งที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามาแต่ต้นคือหัวใจของเขา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งที่จะปล้นหรือบังคั
Comments