LOGINกี่ปีแล้วกับการทุ่มเททั้งกายใจให้เขา ทว่าเขากลับเห็นความรักที่นางมอบให้เป็นเพียงสิ่งไร้ค่ายิ่งกว่าเศษดิน เช่นนั้นคงถึงเวลาแล้วที่นางควรพอเสียที...
View More"ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอตัวก่อนนะเจ้าคะ" เสียงใสเอ่ยบอกบิดาและมารดา พร้อมกับก้าวขาลงจากเรือนไปโดยไม่ได้รอให้ทั้งคู่อนุญาต
"ลูกสาวของพวกเรา นางรีบร้อนออกไปที่ใดรึ"
"เฮ้อ จะที่ใดได้ล่ะเจ้าคะ ถ้าไม่ใช่จวนตระกูลโจว" ฮูหยินเซียวตอบสามี หลังถอนหายใจอย่างระอา นี่ก็เกือบสองปีแล้วนับตั้งแต่บุตรสาวของนางได้พบกับรองแม่ทัพโจวหรือคุณชายเฟิ่งฉีที่แม่นางทั้งหลายเคยเรียกบุรุษรูปงามเช่นเขา ก่อนจะเข้ารับราชการในตำแหน่งรองแม่ทัพ
"ฮูหยิน เจ้าจะถอนใจไปไย หากม่านเหม่ยชอบพอรองแม่ทัพโจวมากถึงเพียงนี้พ่อแม่อย่างเราจะทำอันใดได้ นอกเสียจากคอยดูอยู่ห่าง ๆ"
"แต่ลูกเราเป็นสตรีนะเจ้าคะ มีแต่จะเสียหาย วัน ๆ นางเอาแต่วิ่งตามท่านรองแม่ทัพ แม่อย่างข้าเห็นแล้วก็อดทุกข์ใจไม่ได้"
"คอยดูอีกสักหน่อยเถิด หากรองแม่ทัพโจวมีใจให้ลูกสาวเราพอถึงตอนนั้นข้าจะออกหน้าขอเกี่ยวดองกับตระกูลโจวด้วยตัวเอง"
"แล้วถ้าหากท่านแม่ทัพไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับนาง ท่านพี่จะทำเช่นไร"
"ข้าจะทำเช่นไรได้เล่า ถ้าเป็นดังที่เจ้าว่าก็ถือเสียว่าทั้งคู่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเคียงคู่กัน"
จวนตระกูลโจว
ม่านเหม่ยเดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกล ยามรู้ว่าคนที่ตนมาหาตอนนี้อยู่ที่จวน
"แม่นางเซียว มาหาท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ" สาวใช้ในเรือนชายหนุ่มทักขึ้น
"ท่านแม่ทัพอยู่ที่เรือนรึไม่" นางพยักหน้าถาม ก่อนจะถามประโยคถัดมาเพื่อความแน่ใจ
"เอ่อ คือ" สาวใช้มีอาการอึกอักอย่างเห็นได้ชัด นางจึงรู้ได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่เรือนแน่นอน
"ช่างเถอะ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด"
คล้อยหลังสาวใช้ผู้นั้น หญิงสาวมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางจวนแทบจะทันที
"ท่านแม่ทัพ ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีไหมเจ้าคะ"
"ข้าสบายดี"
"ตอนนี้ข้าย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงถาวรแล้ว พวกเราคงได้เจอกันบ่อยขึ้น"
"ยินดีกับเจ้าด้วย ในที่สุดใต้เท้าเยว่ก็ได้ย้ายกลับมาที่เมืองหลวง"
"ว่าแต่ท่านเถิด เหตุใดถึงได้กลายเป็นรองแม่ทัพได้ล่ะเจ้าคะ ทั้งที่เมื่อก่อนท่านเคยบอกว่าไม่อยากเข้ารับราชการ" เยว่อินถามบุรุษตรงหน้า
"ข้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว หากข้าไม่รับราชการแล้วผู้ใดกันจะรับหน้าที่นี้"
"ท่านรองแม่ทัพคงฝืนใจน่าดู"
"เลิกเรียกข้าว่าท่านรองแม่ทัพเสียที"
"แล้วจะให้ข้าเรียกว่าท่านว่าอะไรหรือ"
"เจ้าเรียกข้าเหมือนในอดีตเถิด"
"เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ ท่านพี่เฟิ่งฉี" นางบอกพร้อมกับฉีกยิ้มให้
ม่านเหม่ยมองเห็นภาพทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมด้วยความน้อยอกน้อยใจ เพราะนางไม่เคยได้รับโอกาสนี้จากเขาแม้แต่ครั้งเดียว
"คุณหนู" ฝูเยี่ยนเอ่ยเรียกเจ้านายของตนราวกับจะปลอบใจ
"ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ว่าแต่เจ้ารู้จักสตรีผู้นั้นหรือไม่"
"นางคือบุตรสาวคนโตของใต้เท้าเยว่ บ่าวได้ยินนายท่านพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ว่าตระกูลเยว่เพิ่งย้ายกลับมาที่เมืองหลวง"
"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง"
"แม่นางเซียว มาหาท่านแม่ทัพหรือขอรับ" เป็นเหลียนอี้ที่เอ่ยทักก่อนผู้ใด
"ใช่"
"เช่นนั้นเชิญเข้าไปด้านในก่อนขอรับ"
"เหลียนอี้ ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วมิใช่รึว่าวันนี้ข้าไม่อยากพบผู้ใด" เฟิ่งฉีตำหนิบ่าวรับใช้คนสนิททันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาหา
"ท่านรองแม่ทัพอย่าได้ตำหนิเหลียนอี้เลยเจ้าค่ะ เป็นเพราะข้าไม่รู้ว่าท่านไม่อยากพบแขกถึงได้มาหาท่านที่เรือน"
"ท่านพี่ นางเป็นใครหรือเจ้าคะ" เยว่อินถามพลางส่งยิ้มทักทาย
"จะเป็นใครได้เล่า นอกจากบุตรีของใต้เท้าเซียว" เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนคนที่ได้ฟังถึงกับกำหมัดแน่น
"แม่นางเซียว ข้าชื่อเยว่อิน ข้ารู้สึกยินดียิ่งนักที่ได้พบท่านที่นี่"
"แต่ข้าไม่ยินดีสักนิดที่ได้พบหน้านาง" ยังไม่ทันที่ม่านเหม่ยจะได้ตอบอะไรกลับไปเขาได้แทรกขึ้นเสียก่อน
“เอ่อ แม่นางเจ้าอย่าได้ถือสาท่านรองแม่ทัพเลย แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนเช่นนี้” เยว่อินบอกหญิงสาวตรงหน้า
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าไม่นำมาใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าเคยบอกเจ้าไปตั้งหลายหนแล้วว่าอย่าทำตัวน่ารำคาญเช่นนี้อีก”
“พี่เฟิ่งฉี ท่านพูดกับนางแรงเกินไปรึไม่”
“หึ! นี่ถือว่าเบาแล้วด้วยซ้ำ หากเทียบกับสตรีอื่นที่เคยวิ่งตามติดข้าราวกับปลิงก็มิปาน”
“คุณชายหยวน ท่านอย่าพูดเพ้อเจ้อ ประเดี๋ยวจะทำให้นางเสียหาย” “เป็นห่วงเป็นใยนางเสียเหลือเกิน ข้าจะรอดูว่าในอนาคตสตรีที่ท่านแต่งเข้าจวนจะเป็นผู้ใดกันแน่” “เช่นนั้นข้าคงต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว เพราะข้ายังไม่คิดแต่งฮูหยินเข้าจวน” “โบราณว่าเกลียดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้น ข้าว่าท่านระวังไว้หน่อยก็ดี หากผิดพลาดขึ้นมาได้แต่งกับสตรีอีกคนจะทำอย่างไร” “...” โจวเฟิ่งฉีขี้คร้านจะตอบโต้กับชายหนุ่มตรงหน้าจึงได้เดินหนีไปอีกทาง ทางฝั่งของโถงจื่อรุ่ยที่รวบรวมแขกสตรีทุกคนมาไว้ที่นี่ ทุกคนต่างคุยกันออกรสออกชาติราวกับว่ามิได้พานพบกันเสียนาน “แม่นางเซียว ท่านกับแม่นางเยว่แต่งตัวต่างกันราวฟ้ากับดินเลยนะเจ้าคะ” แม่นางอีกคนเอ่ยขึ้น พลันทำให้ทุกคนที่ได้ยินคำกล่าวเมื่อครู่หันมามองนางเป็นตาเดียว “จริงด้วย หรือว่าครอบครัวของนางถังแตก ทำให้แม้แต่เสื้อผ้าดี ๆ ยังไม่มีใส่ หากข้าเป็นนางข้าคงไม่กล้าก้าวเท้าออกจากจวนแน่” “ข้าว่าไม่น่าเป็นดังที่เจ้าพูด เมื่อไม่นานมานี้สกุลเซียวเพิ่งได้กำไรก้อนโตจากการขายเกลือให้พระราชวังมิใช่หรือ”
“ช่วยหยิบชุดที่ท่านแม่ให้คนสั่งตัดเพื่อใช้ในงานเลี้ยงครั้งนี้มาที รวมทั้งเครื่องประดับด้วย” “เจ้าค่ะ” ท้ายที่สุดหญิงสาวไม่อาจทัดทานคำสั่งของมารดาจึงได้สวมอาภรณ์พร้อมเครื่องประดับราคาแพงเหล่านั้นอย่างจำยอม แม้ไม่พอใจอยู่บ้างแต่จะทำอันใดได้ เดิมทีนางหวังเพียงว่าจะไม่ถูกคนในงานเลี้ยงหาว่านางแต่งตัวโอ้อวดฐานะจนเกินหน้าเกินตาผู้อื่นถึงได้คิดแต่งตัวเรียบง่าย ในใจของนางย่อมรู้ดีกว่าผู้ใดว่ามารดาของนางเป็นคนทะเยอทะยานมากเพียงใด แม้ภายนอกดูสูงส่งแต่ภายในคนในสกุลเยว่และสกุลไห่ย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ผู้คนมองเข้ามาบางทีอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เซียวม่านเหม่ยได้รับเทียบเชิญจากตระกูลเยว่ด้วยเช่นกัน คืนนี้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงเพียงคนเดียว เหตุเพราะบิดาและมารดาเดินทางไปถือศีลที่วัดเพื่อขอพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าหยวนหายป่วยในเร็ววัน “คุณหนู ท่านแต่งตัวเรียบง่ายเกินไปรึไม่” ฝูเยี่ยนถาม เมื่อเห็นการแต่งกายของเจ้านาย นางสวมเพียงอาภรณ์ธรรมดาที่ไม่ได้มีราคาแพงหากเทียบกับชุดของบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงทั้งยังสวมใส่เครื่องประดับไม่กี่ชิ้น “ทำไมหรือ” นาง
ครั้นถึงเวลาอาหารเย็นสามคนพ่อแม่ลูกได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน "ท่านแม่ หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือเจ้าคะ" นางถาม ยามเห็นมารดาเอาแต่จ้องหน้าไม่วางตา "เฮ้อ เจ้าน่ะไม่อยากออกเรือนข้ากับพ่อเจ้าหาได้บังคับ แต่เจ้าควรทำตัวเป็นสตรีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนบ้างเถิด มีสตรีใดบ้างที่ทำเช่นเจ้า สองปีผ่านไปแล้วข้ายังไม่เห็นท่าทีว่ารองแม่ทัพ โจวจะมีใจให้เจ้าสักนิด" "ฮูหยิน" ใต้เท้าเซียวเรียกน้ำเสียงนิ่งงันประดุจสายน้ำเงียบสงบ ดูเอาเถิดบุตรสาวคนเดียวของเขาน้ำตาแทบจะไหลร่วงลงบนชามข้าวอยู่แล้วยามได้ยินคำพูดนั้นของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดา แม้จะเป็นความจริงแต่เขามิอาจทนเห็นน้ำตาของนางได้ "ท่านพี่ ที่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพราะเป็นห่วงนางนะเจ้าคะ ลูกสาวเราหาใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ บุรุษในเมืองหลวงต่างอยากแต่งนางเป็น ฮูหยินด้วยกันทั้งนั้น แต่นางกลับไม่ไยดี มัวแต่สนใจบุรุษที่ไม่ได้รักตัวเอง" "เจ้าพูดเกินไปแล้ว" "ความทุ่มเทของข้าจะต้องสำเร็จในสักวันเจ้าค่ะ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นข้าจะไม่ละความพยายามเป็นอันขาด" "แม้ว่าเจ้าจะแก่ชราจนผมกลาย
“แม้ท่านจะพูดจาร้ายกาจกับข้า แต่ข้าไม่มีวันยอมแพ้หรอกเจ้าค่ะ แม้จะต้องใช้เวลานานเท่าใดก็ตามข้าจะทำให้ท่านมีใจให้ข้าให้ได้” “เช่นนั้นเจ้าก็จงฝันไปก่อนเถิด ข้าไม่มีวันคิดเช่นนั้นกับเจ้าแน่” “คุณหนู” บ่าวรับใช้จวนตระกูลโจววิ่งหน้าตั้งมาหาม่านเหม่ย “เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” “ใต้เท้าให้บ่าวรับใช้เรียกท่านกลับจวนขอรับ” “ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามาก ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อนนะเจ้าคะ” นางหันไปบอกชายหนุ่ม ทว่าไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา “…” หลังจากที่เซียวม่านเหม่ยกลับไปแล้ว เยว่อินได้ซักไซ้เขาต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด “ดูท่าแล้วนางคงชอบพอท่านน่าดู แล้วเหตุใดท่านถึงได้แสดงท่าทีหยาบคายใส่นางมากถึงเพียงนั้น” นางถาม เหตุเพราะตั้งแต่รู้จักเขา ไม่เคยมีสักคราที่ชายหนุ่มจะหยาบคายใส่ผู้ใดอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้มาก่อน “เป็นเพราะนางตามตอแยข้าไม่เลิก สตรีอื่นเพียงแค่ข้าเอ่ยปากไล่อ้อม ๆ พวกนางก็วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง แต่มิใช่กับเซียวม่านเหม่ย ข้าไล่นางนับครั้งไม่ถ้วน เคยบอกนางตามตรงตั้งหลายหนแ











