“มีเรื่องอะไรหนักใจ กระเต็นบอกพี่ได้นะครับ พี่ยินดีรับฟัง และเต็มใจเป็นที่ปรึกษาให้” ภาสกรยื่นมือออกไปกุมมือบางที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาบีบเบาๆ มองหญิงสาวด้วยสายตาหวานเชื่อม
พลอยไพลินยิ้มแหยๆกับการถึงเนื้อถึงตัวเธอของเขา หญิงสาวชักมือกลับช้าๆ ไม่ให้เป็นการดูเสียมารยาท
“ขอบคุณพี่กรนะคะ แต่ไม่เป็นไร เต็นทำได้แน่นอนค่ะ” พลอยไพลินค่อยๆเลื่อนสองมือลงจากโต๊ะวางไว้บนตัก ซุกซ่อนมันจากการฉวยโอกาสของเขา
ภาสกรมองตามอย่างแสนเสียดาย เพราะแม้ว่าพลอยไพลินจะยอมรับนัดเขาบ่อยๆ หรือกระทั่งเธอเป็นคนนัดเขาเอง แต่หญิงสาวก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้แตะเนื้อต้องตัวเลย แม้เธอจะดูเป็นปาร์ตี้เกิร์ลแต่เธอก็ไว้ตัวราวกับนางพญา
“น้องกระเต็นของพี่เก่งอยู่แล้ว พี่เชื่อว่าทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดีแน่นอน”
“ค่ะ” พลอยไพลินยิ้มแหยอีกครั้งกับคำว่า น้องกระเต็นของพี่ อยากจะถามเขาเหลือเกินว่า ฉันไปเป็นของคุณตั้งแต่เมื่อไรกันยะ เธอรู้สึกว่า คิดผิดเสียแล้วที่เลือกโทรหาอีตานี่ให้มาเป็นเพื่อนกินข้าวฟังเพลง
ตอนแรกๆที่ผู้ใหญ่แนะนำให้รู้จักกันก็เห็นเขาเป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติ ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอ เธอก็เลยไว้ใจ แต่พอมาวันนี้ชักจะไม่ใช่อย่างที่คิดแล้ว เขาไม่น่าไว้วางใจ และเธอจะไม่ให้โอกาสเขาอีกแน่นอน อารมณ์ยิ่งกำลังไม่เข้าที่เข้าทางอยู่ด้วย พอมาเจอคนฉวยโอกาสแบบนี้ เลยพลอยทำให้ไอ้ที่เครียดอยู่แล้ว ก็ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่…เธออยากกลับบ้านแล้ว
“กระเต็น” เสียงเรียกคุ้นเคยที่ได้ยินชัดเจนเต็มสองหู ทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆ และร้อนวาบไปทั้งสันหลัง
พลอยไพลินรีบเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะด้วยสายตาตื่นตระหนก
“พี่โย!” หญิงสาวบอกไม่ถูกว่าจะดีใจหรือตกใจกันแน่ที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้ เธอกำลังอยากกลับบ้านก็จริง แต่เธอไม่อยากกลับกับเขา แต่เธอก็รู้ดีว่าเมื่อเขามายืนอยู่ตรงนี้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะได้กลับบ้านเอง หรือแม้กระทั่งได้นั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกเกินห้านาที
“พี่มารับน้องกลับบ้าน” ใบหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงทุ้มน่าเชื่อถือ ประกอบกับรอยยิ้มมีมารยาท และท่าทางที่ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วของคนที่อ้างว่ามารับน้องกลับบ้านทำให้ภาสกรอึ้งไปชั่วครู่ ชายหนุ่มรู้ว่าผู้ชายคนนี้คือวาโย เขาเป็นเครือญาติต่างสายเลือดของพลอยไพลิน ผู้ชายคนนี้ได้รับการยอมรับ และได้รับความไว้วางใจให้เข้านอกออกในบ้านของคุณเพชรเพทายและคุณตวิษา ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของหญิงสาว แถมเขายังได้รับเกียรติจากบิดาของหญิงสาว ด้วยการให้ลูกๆทั้งสามนับถือเขาในฐานะพี่ชายด้วย ไม่นับที่เขาเป็นพี่ชายต่างมารดาของหยาดพิรุณ ซึ่งเป็นบุตรสาวบุญธรรมที่ผู้ใหญ่ทั้งสองชุบเลี้ยงมาแต่เด็ก ก่อนที่วาโยจะตามหาน้องสาวต่างมารดาจนเจอเมื่อปีที่แล้ว ความสัมพันธ์ของวาโยกับครอบครัวของพลอยไพลินค่อนข้างแน่นแฟ้น ดังนั้นการที่เขามาเอ่ยปากบอกว่าจะพาน้องกลับบ้าน ภาสกรจึงไม่กล้าขัด
ใบหน้าน่ารักงอหงิก ปากจิ้มลิ้มเม้มแน่น จมูกเหมือนมีไฟพ่นออกมาทุกครั้งที่หายใจออก ดวงตาคู่งามราวกับมีกองเพลิงลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ทว่าเธอก็ต้องจำยอมนั่งมาในรถยุโรปคันหรูของคนเป็นต่อ ยิ่งชำเลืองตามองฝ่าแสงสลัวภายในรถแล้วเห็นรอยยิ้มเยาะของเขา เธอก็ยิ่งโมโห อยากจะข่วนหน้าหล่อๆกวนๆสักสิบที หน้าตาแบบนี้จะเห็นเฉพาะเวลาเขาอยู่กับเธอสองต่อสองเท่านั้น คนอื่นน่ะเหรอ...คงเคยเห็นแต่ใบหน้าเคร่งขรึมน่าเชื่อถือ และรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตรของเขา ไม่มีใครรู้หรอกว่า เขาเป็นเสือซ่อนเล็บ ซ่อนจนมิด จนไม่มีใครสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเขา มีแต่เธอนี่แหละ ถูกเสือตัวโต เขี้ยวยาว เล็บคมอย่างเขาทั้งตะปบทั้งกัดขย้ำจนบอบช้ำไปแทบจะทั้งตัวแล้ว เกลียด! ...คนเจ้าเล่ห์ คนชอบสร้างภาพ
“ไปกินข้าวไปเป็นเพื่อนพี่ก่อน”
“ไม่ค่ะ เต็นจะกลับบ้าน”
“พี่แค่บอก ไม่ได้ถามว่าเต็นอยากไปไหนสักหน่อย”
น้ำเสียงราบเรียบกับรอยยิ้มบางบนใบหน้าหล่อเหลาทำให้พลอยไพลินอยากจะกรี๊ดให้ลั่นรถ หากแต่การต้องอยู่กับเขาสองต่อสองแบบนี้ ไม่เป็นการดีเลยถ้าเธอจะทำอย่างนั้น เธอเรียนรู้ว่าพี่โยเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ เขาจำเพาะเจาะจงเอาแต่ใจกับเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น และเขามีวิธีทำโทษที่ทำให้เธอไม่กล้าหือ ไม่กล้าขึ้นเสียงสักแอะ พลอยไพลินยังจำได้ดีถึงตอนที่เธอถูกเขาทำโทษครั้งแรก
ตอนนั้นบริษัทของเขามีหน้าที่รับผิดชอบงานรักษาความปลอดภัยงานแฟชั่นโชว์เครื่องประดับและอัญมณี ซึ่งบริษัทของครอบครัวเธอก็ได้นำเครื่องเพชรไปโชว์ในงานด้วย ในงานนั้นเธอโกหกเขาว่าพลอยชมพูหรือกระติ๊บน้องสาวของเธอโทรมาบอกว่าเครื่องเพชรของบริษัทถูกปล้น เพราะต้องการแยกเขาออกจากน้ำฝน เพื่อเปิดโอกาสให้พี่เพลิงได้ลักพาตัวน้องสาวบุญธรรมของเธอกลับไร่ภูอิงฟ้าไปปรับความเข้าใจกัน เธอโกหกเขา พาเขาเดินวกไปวนมา เขาเองก็ยอมเดินตาม ทั้งที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีการปล้นเกิดขึ้น กระทั่งเธอพลาดที่พาเขาเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว
“ไหนล่ะกระติ๊บ” วาโยวิ่งตามพลอยไพลินเข้ามาถึงห้องส่วนตัวที่หยาดพิรุณใช้แต่งตัวก่อนเริ่มงาน
“เอ่อ...สงสัยอยู่อีกห้องหนึ่ง หรืออาจจะอยู่ที่ลานจอดรถ อืม...เต็นว่าเราไปที่ลานจอดรถกันเถอะค่ะ”
ร่างบางเดินกลับไปยังประตูที่เพิ่งเปิดเข้ามาได้ครู่เดียว แต่วาโยกลับเดินมาขวางไว้ ชายหนุ่มกอดอกส่งสายตาดุมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างประเมิน
เมื่อได้รับการส่งสัญญาณว่าป๋าฟ้าหลับแล้ว เขาก็ค่อยย่องขึ้นบ้านแอบเข้าไปหาเธอ หรือบางคืนเธอก็แอบลงไปหาเขา กระต่ายน้อยรู้ว่าพ่อตาคงระแคะระคายเรื่องนี้อยู่ แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไร เขาเองก็ตีเนียนทำเป็นไม่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะหากมันจะทำให้เขาได้มาเจอเธอทุกครั้งที่มีเวลาว่างจากงานหนักรัดตัว โดยที่ไม่ถูกพ่อตาไล่ตะเพิดกลับไป จะให้เขาซุกหัวนอนตรงไหนเขาก็ยอมเมื่อเข้าไปอยู่ในห้องกับเมียตามลำพัง เขาก็คว้าร่างอวบอิ่มที่ยืนหันหลังให้มากอดไว้แนบอก กระต่ายน้อยวางมือลงบนหน้าท้องนูนป่องของภรรยา เขาลูบเบาๆ แล้วถอนหายใจอย่างเป็นสุข“ลูกดื้อไหม”หนูจ๋าหัวเราะคิกกับคำถามของเขา“ไม่ค่ะ ไม่ดื้อ”“อย่าดื้อให้มากนักนะตัวยุ่ง แม่ยิ่งตัวเล็กๆอยู่” กระต่ายน้อยบอกลูก ทั้งลูบมือไปทั่วหน้าท้องเมียรัก ดูเหมือนว่าตัวยุ่งของเขาจะรับรู้สิ่งที่เขาบอก หน้าท้องนูนใหญ่ของคุณแม่ขยับยุกยิกคล้ายๆกับว่าหนูน้อยในท้องกำลังประท้วงคนเป็นพ่อ ที่บังอาจกล่าวหาว่าดื้อด้วยการทั้งเตะทั้งถีบจนหน้าท้องของคนเป็นแม่บิดเบี้ยวหนูจ๋าเงยหน้าขึ้น หันกลับไปมองสบตา
กระต่ายน้อยฝังใบหน้ากับซอกคอหอมกรุ่น เขาเองก็แทบคลั่ง เมื่อน้องทั้งเอาใจ ทั้งออดอ้อนน่ารัก ชายหนุ่มขยับโยกหนักแน่นรัวเร็ว เร่งแรงผลักดัน เพื่อนำพาน้องและตัวเองไปยังปลายทางบทเพลงรัก เสียงครางแว่วหวานและเสียงครางทุ้มต่ำดังขึ้นต่อเนื่อง จังหวะสอดประสานเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆกระต่ายน้อยกอดรัดร่างนุ่มเต็มอ้อมแขน หนูจ๋าจิกท่อนแขนที่รัดรึงเธออยู่ไว้แน่น สองร่างโยกคลอนไปพร้อมกัน กระทั่งความหวามไหวโอบล้อมสองกาย ปลายทางความสุขสมอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือคว้า กระต่ายน้อยเร่งกระชั้นกายเข้าหา โถมถั่งกลางซอกสาว กระแทกความรู้สึกน้องให้แตกกระจาย หนูจ๋ากรีดร้องระงม ครวญครางเสียงสั่นพร่า ร่างสาวสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรง วาบหวามแปลบปลาบ ซาบซ่านจนแทบขาดใจหลังจากส่งน้องไปยังปลายทางสุขสมแล้ว กระต่ายน้อยเร่งผลักดันระรัวเร็ว ตัวตนแห่งชายโจนจ้วงเร่งเร้าไม่หยุดหย่อน กระทั่งถึงจุดสิ้นสุดความอดกลั้น กระต่ายน้อยฝังใบหน้าลงกับซอกคอน้อง เขาดูดเนื้อนุ่มบริเวณลำคอสุดแรง วงแขนแข็งแรงกอดร่างน้องแนบอก ฝากฝังความแข็งแกร่งสลักลึกแน่นิ่ง ก่อนพร่างพรมหยาดน้ำในซอกอุ่นนุ่มรัดรึง ให้เธอรีดเค้นจนเขาสำลักความสุขแสนอ
หนูจ๋าระบายลมหายใจออกแผ่วเบา หญิงสาวเลื่อนสองแขนลงกอดลำตัวเขาแนบกาย ก่อนเผยอฝีปากออก ยอมรับจูบจากเขา จูบที่เธอเองก็เฝ้ารอมาเนิ่นนาน จูบที่เธอเองก็โหยหามันไม่ต่างจากคนที่กำลังมอบจูบหวานๆให้เธออยู่เลยคนป่วยกำมะลอล่อหลอกน้องด้วยจูบแสนหวาน ขณะมือซุกซนปลดเปลื้องชุดนอนออกจากร่างสาวอย่างรีบเร่ง แล้วค่อยประคองน้องเอนกายลงนอนบนเตียงนุ่ม กระต่ายน้อยผู้อดอยากปากแห้งหิวโซมานานรีบผละออกไปยืนข้างเตียง เขาถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างว่องไว แถมสะบัดเท้าถีบส่งอย่างไม่ไยดีร่างสูงเซ็กซี่ปราศจากไขมัน กล้ามเนื้อทุกส่วนสัดสวยงามน่าลูบไล้ทำให้หนูจ๋ามองตาปรอย เธอรู้ดีว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่ง และเร้าใจแค่ไหน เพียงแค่มอง เธอก็น้ำลายสอ ซอกส่วนความเป็นหญิงบีบรัดเรียกร้องรุนแรง“พี่กระต่าย...” หนูจ๋าเอ่ยเรียกเขาเสียงแหบพร่าและอัดแน่นไปด้วยแรงอารมณ์ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อเขาทาบกายลงมาหา เธอกางแขนอ้ารับ และกกกอดเขาไว้เต็มวงแขนทันทีที่สองกายแนบสัมผัสกัน แม้จะอายอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธความต้องการอันรุนแรงที่ปะทุอยู่ภายในได้ เธอโทษฮอร์โมนการตั้งครรภ์แล้วกัน ที่มีส่วนทำให
“พี่ใส่ชุดครบแล้วทั้งท่อนบนท่อนล่างครับ ถ้าหนูจ๋าจะกรุณาคนป่วย ก็ช่วยเดินไปหยิบยาที่อยู่บนโต๊ะมาให้พี่กินหน่อยครับ”หนูจ๋าหันกลับไปมองคนบนเตียงช้าๆ เธอหลับตาข้างหนึ่งด้วยแต่พอเห็นว่าเขาสวมชุดครบอย่างที่ว่าจริงๆ เธอจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วสะบัดค้อนวงน้อยๆให้คนขี้แกล้งไปหนึ่งครั้ง ก่อนเดินไปหยิบยาที่โต๊ะพร้อมกับรินน้ำใส่แก้วมาให้เขาเพชรนิลรับยาจากน้องมากิน เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาปวดเมื่อยไปทั้งตัว อาการปวดหัวก็ยังคงอยู่ แต่เพราะมีกำลังใจดี ก็เลยมีแรงฮึดสู้หนูจ๋านำแก้วน้ำไปเก็บ แล้วเดินกลับมาที่เตียง เมื่อเห็นพี่กระต่ายกำลังจะเตรียมตัวลงนอน เธอก็ รีบเดินเข้าไปช่วยประคองเขาให้เอนตัวลงนอนบนเตียง แล้วบริการดึงผ้าห่มมาคลุมให้“พี่กระต่ายนอนพักผ่อนนะคะ พรุ่งนี้หนูจะมาเยี่ยมอีก” หนูจ๋าว่าแล้วเตรียมหมุนตัวจะเดินออกจากบ้านหลังเล็กไป ทว่าข้อมือบางก็ถูกจับไว้เสียก่อน หญิงสาวหันกลับมามองคนที่นอนทำหน้าตาเศร้าสร้อยน่าสงสารบนเตียง“พี่จะรอหนูจ๋ามาเยี่ยมอีกนะครับ” กระต่ายน้อยบอกน้อง แล้วดึงมือน้องมาแนบแก้มที่ร้อนผ่าวเพราะฤทธิ์ไข้“อยากกอด อยากจูบ แต
“เอ่อ...พี่กระต่ายถอดเสื้อออกก่อนนะคะ ไม่งั้นมันเช็ดไม่สะดวกค่ะ” หนูจ๋าบอกเสียงเบา หลบตาเขินอาย เธอเป็นคนบอกเขาถอดเสื้อ แต่เธอก็ต้องกลายเป็นคนหน้าแดงเสียเอง หนูจ๋าก้มหน้ามองผ้าในมือ ขณะรอให้คนป่วยถอดเสื้อ“พี่ปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยครับ ไม่มีแรงยกแขนเลย หนูจ๋าช่วยถอดเสื้อให้พี่หน่อยได้ไหมครับ” พ่อคนได้ที อ้อนน้องเสียงอ่อนเสียงเบาน่าสงสารหนูจ๋าเงยหน้าสบตาเขา หญิงสาวทำปากยื่นบ่นอุบอิบ แต่ก็ยอมทำตามที่เขาขอร้อง“ก็ได้ค่ะ ยกแขนขึ้นสิคะ”กระต่ายน้อยยกแขนขึ้น อำนวยความสะดวกให้น้องถอดเสื้อยืดสีขาวด้วยความเต็มใจ เขาเป็นผู้ป่วยนิสียดี ให้ความร่วมมือกับน้องทุกอย่างหนูจ๋าก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวให้เขาอย่างเบามือ ระหว่างเช็ดตัวให้เขาหนูจ๋าไม่กล้ามองสบตาด้วย แม้ยามถูกรุมเร้าไปด้วยพิษไข้ แต่สายตาคมปลาบของเขาก็ยังคงทำให้เธอเขินสะเทิ้นอายได้เหมือนเดิมหนูจ๋าเช็ดหน้าอก หลัง และแขนเรียบร้อย หญิงสาวจึงลุกขึ้นยืนถือกะละมังขึ้น เพื่อจะเอาไปเก็บในห้องน้ำ แต่คนป่วยก็รีบคว้าข้อมือเธอไว้ก่อน“หนูจ๋ายังเช็ดไม่เสร็จเลย” กระต่ายน้อยว่าแล้วหลุบตามองท่อนล่างของตน พยาบา
“คงไม่เป็นไรหรอก ดูท่าทางแล้วแข็งแรงอยู่ คงออกกำลังกายประจำ ดูๆไปก่อนถ้าพี่เขาไม่ไหวจริงๆค่อยบอกให้มานั่งพัก” เจ้าดินบอกให้น้องๆสบายใจ เพราะพอเจ้าไฟบอกว่าคุณแม่จะจัดการขั้นเด็ดขาด สีหน้าของน้องๆอีกสองคนก็เปลี่ยนไปทันที มีความหวาดกลัวฉาบฉายอยู่บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด ก็อย่างที่รู้ๆกัน แม้คุณป๋าผู้สั่งการให้พวกเขานั่งเฝ้าพี่เขยทำงานจะเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่เหนือคุณป๋าก็ยังมีคุณแม่ที่คอยกำกับดูแล และเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านเพชรนิลต้องขุดดินตากแดดตลอดทั้งวัน ขนาดช่วงพักเที่ยงเขายังไม่ได้กลับบ้าน ป๋าฟ้าสั่งให้คนงานเอาข้าวกลางวันมาให้เขาและเหล่าสี่กุมารถึงท้ายไร่ ความหวังว่าจะเห็นหน้าเมียสักแป๊บหนึ่งเพื่อเป็นกำลังใจก่อนจะทำงานต่อภาคบ่ายเป็นอันต้องพับเก็บไปได้เลย จะบ่นมาก จะโวยวาย จะประท้วงก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าหากทำอะไรให้เป็นที่ไม่พอใจของพ่อตาแล้ว ท่านจะไล่เขากลับบ้าน แล้วยกเอาเหตุผลที่เขาทำงานได้ไม่ตลอดรอดฝั่งทั้งวันมาเป็นข้ออ้างได้ว่า งานแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาดูแลลูกสาวท่านได้กระทั่งตะวันตกดิน เจ้าสี่กุมารขับซาเล้งพาเขากลับบ้าน เพชรนิลสู้อุตส่าห์รีบอาบน้ำเ