หนิงอ้ายได้ชวนลู่ซีเดินเที่ยวตลาดเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลหวังมากนัก ด้วยระยะทางที่สั้นเพียงนี้ในตอนแรกหนิงอ้ายตั้งใจว่าจะเดินเท้าไปเพื่อที่จะได้ซึมซับเอาบรรยากาศต่าง ๆ ของมหานครแคว้นเต่าดำ เเต่ลูซีเห็นต่างไปว่าหากนั่งรถม้าไปย่อมสามารถที่จะเลือกจับจ่ายซื้อของได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเอากลับจวนตระกูลหวังอย่างไร
อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานประลองของแคว้นแล้ว คาดการณ์ว่าคงมีผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศเข้ามาร่วมงานประลองมากเป็นแน่เนื่องจากว่าของรางวัลสำหรับผู้ชนะในครั้งนี้ ทางแคว้นเต่าดำที่รับเป็นเจ้าภาพจัดงานค่อนข้างที่จะทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเลยทีเดียว ของรางวัลสำหรับผู้ชนะทั้งสิบอันดับเป็นไปดังนี้
ผู้ชนะอันดับหนึ่งการประลองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ และบทเวทย์ระดับสูงอีกสามบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลจำนวนสองหมื่นเหรียญทอง
ผู้ชนะอันดับที่สองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอย่างละหนึ่งบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลทั้งสิ้นจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทอง
ผู้ชนะอันดับที่สามจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอีกอย่างละหนึ่งบทเวทย์ บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับกลางอย่างละสามบทเวทย์ และได้เงินรางวัลจำนวนทั้งสิ้นเจ็ดพันเหรียญทอง
ผู้ชนะอันดับที่สี่จะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอีกอย่างละหนึ่งบทเวทย์ บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับกลางอย่างละสองบทเวทย์ อีกทั้งเงินรางวัลจำนวนทั้งสิ้นห้าพันเหรียญทอง
ผู้ชนะอันดับที่ห้าจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอีกอย่างละหนึ่งบทเวทย์ บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับกลางอย่างละหนึ่งบทเวทย์เช่นกันอีกทั้งยังได้เงินรางวัลจำนวนสามพันเหรียญทอง
และสุดท้ายสำหรับผู้ชนะอันดับที่หกถึงสิบจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอีกอย่างละหนึ่งบทเวทย์และเหรียญทองจำนวนสองพันเหรียญ
ผลประโยชน์จากงานประลองแคว้นครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การสร้างชื่อเสียงของสำนักศึกษาที่มีลูกศิษย์เข้าร่วมและได้รับอันดับที่ดีเพียงเท่านั้น ผู้ที่ชนะอันดับหนึ่งถึงสิบย่อมได้รับการยอมรับนับถือโดยทั่วไปไม่ต่างกับบรรดาขุนนางในราชวงศ์เสียด้วยซ้ำ และเป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่ตระกูลตนยิ่งนัก กล่าวได้เลยว่าผู้ฝึกตนที่ได้เข้าร่วมการประลองของแคว้นในแต่ละครั้งหากได้เเสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์และได้อันดับที่ดีในการประลองแล้ว ย่อมเป็นที่น่าจับตามองอาจจะมีการทาบทามเเม่สื่อเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมความสัมพันธ์เพิ่มความมั่นคงของสองตระกูล
นอกจากนั้นแล้วกิจการน้อยใหญ่ของแคว้นที่มีการประลองระหว่างแคว้นเช่นนี้ต่างได้รับผลตอบรับที่มหาศาล มีกำไรเพิ่มขึ้นหลายเท่ายิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกิจการเหลาอาหารน้อยใหญ่ที่มีและไม่มีชื่อเสียงกิจการโรงเตี๊ยมที่ถูกจองจนเต็มไม่เพียงพอต่อความต้องการ กิจการร้านขายเสื้อผ้าที่ถูกสั่งตัดอย่างเร่งด่วน หรือแม้กระทั่งแผงร้านขายสินค้าต่าง ๆ ที่อยู่ในตลาดติดสนามประลองก็มีรายได้มากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน
ข่าวของรางวัลในการประลองนี้ได้แพร่ไปให้ทราบโดยทั่วกันแล้ว จึงทำให้การประลองแคว้นครั้งนี้ได้ดึงดูดผู้ฝึกตนจากทุกแคว้นเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนพเนจรตระกูลน้อยใหญ่ที่ขึ้นชื่อของแต่ละแคว้นรวมไปถึงสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงและต้องการแสดงความเป็นที่หนึ่งของสำนักศึกษา ที่ต่างเตรียมส่งศิษย์ที่มีฝีมือดีที่สุดในสำนักของตนให้เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ แม้ว่ารางวัลของแต่ละอันดับจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การลงประลองครั้งนี้ก็จริง นอกจากนั้นหากคุณชายของตระกูลใดได้ลงประลองแสดงฝีมือรวมไปถึงศิษย์ของสำนักศึกษาใดที่ได้ลำดับต้น ๆ ของการประลอง ทางสำนักศึกษาที่ผู้เข้าประลองสังกัดอยู่ก็จะมีชื่อเสียงมากขึ้นได้รับการยอมรับและดึงดูดผู้ฝึกตนให้เข้าสังกัดในสำนักของตนเช่นกัน
บรรยากาศของตลาดเมืองหลวงยามเย็นนี้ช่างเป็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจของหนิงอ้ายกับลู่ซีไม่น้อย ระหว่างทางที่รถม้าได้ผ่านมานับได้ว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างจากตลาดในแคว้นหงส์เเดงที่พวกเขาทั้งสองนั้นมักจะออกเดินเที่ยวเล่นเป็นบางครั้งที่ผ่านมา
''ผู้คนมากมายออกมาจับจ่ายซื้อของ อาจด้วยเพราะพรุ่งนี้จะมีงานประลองของแคว้นแล้วจึงทำให้มีชาวยุทธภพแฝงตัวมาเดินตลาดไม่น้อยเช่นนี้...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับสังเกตไปโดยรอบ
''งานประลองระหว่างแคว้นเป็นการร่วมมือของแคว้นใหญ่ทั้งหมดสี่แคว้น ย่อมเป็นงานที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศเข้ามายังแคว้นที่รับเป็นเจ้าภาพในแต่ละครั้ง ท่านตากล่าวว่างานประลองระหว่างแคว้นครั้งนี้เป็นการครบรอบการจัดประลองในรอบห้าร้อยปี ดังนั้นรางวัลปีนี้เห็นว่ามีความพิเศษจึงทำให้มีผู้คนมากกว่าปกติ...''
''หยุดรถม้า!!''
''ข้าขอจัดการตนเองสักครู่ขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำการร่ายบทเวทย์ปลอมเเปลงที่ได้ศึกษามาก่อนหน้านี้ ท่านตาบอกว่า บทเวทย์กายาพักตร์ทวีอนันต์ เป็นบทเวทย์ปลอมเเปลงระดับเทวะของตระกูลหวังที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ยากนักที่จะสำเร็จวิชาดังกล่าวนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรบทเวทย์นี้สามารถปลอมแปลงรูปลักษณ์ของผู้ใช้ให้เป็นไปตามใจนึก
เส้นผมสีขาวเงินยาวสลวยที่ถูกมัดรวบกลางหลังได้เปลี่ยนเป็นสีดำปีกกาที่มีความเงางามดูนุ่มลื่น ดวงตาเรียวหงส์กลมโตที่เคยเป็นสีฟ้าราวกับอัญมณีอันล้ำค่าได้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนประกายความซุกซน ใบหน้าที่ปกติจะดูงดงามราวกับนางเซียนด้วยเพราะหนิงอ้ายคล้ายคลึงกับมารดาของเขามากถึงแปดส่วน ได้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ดูหล่อเหลาคมคายหากมองว่าเป็นบุรุษก็งดงามดั่งหยกเนื้อดี สัดส่วนร่างกายตอนนี้ดูโตขึ้นเล็กน้อยแม้อาจไม่ได้สูงใหญ่ดั่งเช่นกับลู่ซีก็ตาม
หลังจากใช้บทเวทย์กายาพักตร์ทวีอนันต์เพื่อปลอมแปลงตัวตนเสร็จเเล้ว หนิงอ้ายจึงส่งสัญญาณให้แก่ลู่ซีว่าทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมจะเดินเที่ยวชมตลาดเเห่งนี้เเล้ว ในตอนเเรกลู่ซียอมรับว่าไม่ค่อยคุ้นชินกับรูปลักษณ์ของหนิงอ้ายในยามนี้เท่าไหร่นัก เเต่อย่างไรเเล้วหนิงอ้ายได้บอกว่าตัวเขานั้นย่อมที่จะไม่ใช้รูปลักษณ์ปลอมแปลงนี้ไปตลอด เพราะหลังจากที่ได้เข้าสถานศึกษาและมีระดับพลังวิญญาณที่สูงพอป้องกันตัวเองได้ย่อมกลับมาใช้รูปลักษณ์ที่เเท้จริงตามเดิม
หนิงอ้ายที่อยู่ในรูปลักษณ์เดิมในโลกเก่าเมื่อตอนอายุสิบห้าปีก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย อีกทั้งยังตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศของตลาดในโลกจีนโบราณเช่นนี้ แม้ว่าสิ่งของที่นำขายจะมีความใกล้เคียงกันทว่าวัฒนธรรมของเเต่ละที่ต่างมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาที่เป็นคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ อยู่เเล้วนับได้ว่าถูกใจเป็นอย่างมาก
หนิงอ้ายกับลู่ซีต่างเดินเที่ยวชมตลาด สำรวจบรรดาเหล่าสินค้าที่มีการวางขายด้วยความเพลินเพลิน ท่านตาของพวกเขาได้ส่งผู้ติดตามมาคอยดูเเลจำนวนสองคนเท่านั้น ในคราเเรกหวังจิ่งหลงต้องการที่จะออกไปเที่ยวชมตลาดกับหลานทั้งสองของตนเสียด้วยซ้ำ เเต่ยังดีที่ลู่ซีได้เอ่ยห้ามก่อนเพราะกลัวว่าจะเป็นการโดดเด่นจนเกินไป
เเต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทั้งสองต่างได้รับการจดจ้องและถูกให้ความสนใจจากบรรดาผู้ที่เดินเที่ยวชมตลาดรวมไปถึงเหล่าบรรดาพ่อค้าเเม่ค้า ด้วยความที่ทั้งสองคนหลังจากลงจากรถม้าของตระกูลหวังสายหลัก ทุกคนต่างรับรู้กันว่าประมุขตระกูลหวังสายหลักหวังจิ่งหลงมีบุตรีเพียงคนเดียวคือหวังเยว่ซินที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในยอดพธูของแคว้น แต่เมื่อราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปีก่อนนางได้มีการตบแต่งให้กับตระกูลจางหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้นั้นผู้คนในแคว้นเต่าดำต่างรับรู้กันทั่วทั้งสิ้น
ดังนั้นยามที่เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีสองคนที่แต่งกายคล้ายกับคุณชายตระกูลใหญ่มาเดินเที่ยวชมตลาด อีกทั้งมีหลายคนเช่นกันที่เห็นว่าคุณชายทั้งสองได้ลงมาจากรถม้าของตระกูลหวังสายหลัก เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงได้เเต่คาดเดากันไปต่าง ๆ ว่าคุณชายทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหวังเช่นไรกัน
ลู่ซีเดินนำหนิงอ้ายตรงไปยังร้านขายอาวุธวิเศษดังกล่าวที่อยู่ใจกลางตลาดมหานครแคว้นเต่าดำ เมื่อใกล้ถึงจุดหมายเเล้วความรู้สึกเเรกที่ตนมองเห็นร้านดังกล่าวนี้ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ด้านหน้าของร้านถูกประดับด้วยหินหยกแกะสลักเป็นรูปร่างของอาวุธที่หลากหลายและมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป เจ้าของกิจการนี้ช่างมีความคิดลึกล้ำยิ่ง เพียงเเค่เห็นหินหยกแกะสลักที่มีการจัดวางตบแต่งหน้าร้านก็สามารถทำให้ผู้คนรับรู้ได้ว่าเป็นร้านขายอาวุธอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นทางเข้าของร้านมีชายสองคนร่างกายสูงใหญ่ยืนปักหลั่นอย่างมั่นคง ที่ข้างตัวของทั้งสองคนหนึ่งเป็นมีดสั้นสลักสวยงามถนัดมือส่วนอีกคนเป็นกระบี่ที่อยู่ในฝักสีดำที่มีการวาดลวดลายอย่างง่าย ๆ เเต่ดูเข้ากับตัวคนอย่างพอดี
หนิงอ้ายใช้เนตรสวรรค์จึงได้รู้ผู้คุ้มกันทั้งสองคนนี้ต่างเป็นราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงทั้งคู่ สิ่งนี้ทำให้รู้สึกตื่นตะลึงไปไม่น้อยเพราะหากผู้ที่มีหน้าที่เฝ้าหน้าร้านยังมีระดับพลังที่สูงเช่นนี้ เเล้วผู้เป็นเจ้าของกิจการเล่าจะมีระดับพลังวิญญาณราชทินนามในเขตขั้นใดกัน เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในร้านดังกล่าวนี้เเล้วก็พบว่าหากดูจากภายนอกเข้ามาจะพบว่าร้านนี้มีขนาดที่ใกล้เคียงกับร้านอื่น ๆ ในเขตตลาดนี้ปกติ ทว่าคงมีการใช้บทเวทย์ขยายเขตพื้นที่ร้านด้วยเพราะด้านในแม้จะเป็นเพียงเเค่ชั้นเดียวเเต่กลับมีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทางซ้ายมือจะเป็นอาวุธทั่วไปที่มีความหลายหลายสำหรับการใช้งานเช่นมีดสั้น มีดยาว ธนู กระบี่เนื้อดีซึ่งมีราคาเริ่มต้นไม่กี่ตำลึงเงินจนไปถึงราคาหลายเหรียญทอง
สำหรับด้านขวามือนั้นจะเป็นอาวุธวิเศษต่าง ๆ ที่มีการทำขึ้นจากวัสดุที่หลายหลายเช่นผลึกธาตุระดับต่ำจนไปถึงระดับสูงมีความพิเศษที่แตกต่างกัน รวมไปถึงอาวุธวิเศษที่ทำขึ้นด้วยวัสดุหายากและถูกกำกับด้วยบทเวทย์ที่ทรงพลังจนสามารถสัมผัสได้โดยที่หนิงอ้ายนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เนตรสวรรค์ตรวจสอบเสียด้วยซ้ำ ด้วยเพราะอาวุธวิเศษเเต่ละชิ้นนั้นได้มีการการแผ่พลังวิญญาณออกมาอ่อน ๆ แม้จะบางเบาเเค่ไหนเเต่ด้วยความที่ประสาทสัมผัสการรับรู้ของหนิงอ้ายได้เพิ่มขึ้นไปตามระดับพลังวิญญาณนั่นเอง
สำหรับอาวุธวิเศษนั้นจะทำขึ้นจากผลึกปราณธาตุต่าง ๆ อีกทั้งอาวุธวิเศษดังกล่าวนี้จะมีการลงกับบทเวทย์กำกับผูกขาดไว้เสมอในทุกชิ้น กล่าวคือหากอาวุธวิเศษชิ้นใดมีการผูกพันธะกับตัวเจ้าของเเล้ว ผู้อื่นย่อมไม่สามารถใช้อาวุธวิเศษนั้นได้เหมือนกับว่าเพียงเเค่ถืออาวุธทั่วไปเพียงเท่านั้น ไม่อาจใช้พลังวิเศษของอาวุธเหล่านี้ได้ เชื่อกันว่าอาวุธวิเศษจะสามารถมีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในการผูกพันธะเช่นเดียวกับการมีอสูรรับใช้ ดังนั้นแม้ผู้ฝึกตนที่มีต้นกำเนิดเกิดจากตระกูลใหญ่ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเหล่าบรรดาองค์ชายรวมไปถึงเชื้อสายของราชวงศ์จำนวนมาก ที่อาจมีอาวุธวิเศษที่อยู่ในการครอบครองอยู่อย่างมากมายก็จริง เเต่น้อยนักที่จะทำการเลือกผูกพันธะในทันทีด้วยเพราะเกรงว่าในอนาคจะต้องเสียโอกาสในการครอบครองอาวุธวิเศษชิ้นอื่นนั่นเอง
หลังจากได้ของที่ต้องการเเล้ว หนิงอ้ายจึงเอ่ยชวนลู่ซีกลับจวนตระกูลหวัง ไว้โอกาสหน้าพวกตนค่อยมาเยี่ยมชมตลาดเเห่งนี้อีกครั้งเเล้วกันเนื่องจากว่าตอนนี้ใกล้ได้เวลาทานสำรับเย็นเเล้ว การให้บรรดาผู้ใหญ่ต้องรอนานคงไม่ค่อยสมควรเท่าใดนัก ทันทีที่ทั้งสองคนรวมไปถึงผู้ติดตามได้ขึ้นรถม้าที่มีตราประทับของตระกูลหวังสายหลักและมุ่งตรงไปยังจวนตระกูลหวังที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดเมืองหลวงแห่งนี้ บรรดากลุ่มชาวบ้านพ่อค้าเเม่ค้าหรือชาวยุทธภพบางคนที่พอรู้เรื่องราวความเป็นมาของตระกูลหวังสายหลักต่างได้มีการจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างคึกคัก แม้เเต่ผู้คนที่มาเดินตลาดเเห่งนี้ยังสังเกตได้จึงอดใจไม่ไหวในการเข้าร่วมพูดคุย
กลุ่มคนดังกล่าวนี้ยังได้มีการคาดเดาไปแตกต่างกันออกไปมากมาย บ้างก็ว่าคุณชายทั้งสองคงเป็นบุตรลับ ๆ ของประมุขตระกูลหวังกับสตรีอื่นเสียแล้วกระมัง บ้างก็ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้อาจเป็นญาติทางฝั่งของฮูหยินตระกูลหวังก็เป็นไปได้ ทว่ามีไม่น้อยเช่นกันที่ต่างคาดเดากันว่าทั้งสองคนอาจจะเป็นบุตรชายของหวังเยว่ซินอดีตคุณหนูตระกูลหวังผู้นั้น เพราะหากเป็นเช่นนี้เเล้วข่าวลือที่พวกตนเคยได้ยินมาว่านางได้หย่าขาดจากประมุขตระกูลจางคงเป็นความจริงซึ่งคงได้เเต่รอการเคลื่อนไหวของทางตระกูลหวังต่อไป
เพียงไม่กี่เค่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนถึงจวนของตระกูลหวัง หลังจากทานสำรับเย็นเสร็จหนิงอ้ายได้กลับมาในเรือนพักผ่อนของตนโดยทันทีเพื่อทำการนั่งสมาธิดูดซับพลังปราณฟ้าดินรวมไปถึงผลึกปราณธาตุที่ท่านตาได้มอบให้พร้อมกับตำราเวทย์ระดับสูงในช่วงเช้าที่ผ่านมา เนื่องจากว่าตัวเขาเองได้ทำการปลุกพลังวิญญาณขึ้นมาได้เพียงไม่นานเท่านั้น อีกทั้งมีเวลาในการเพิ่มพลังยกระดับวิญญาณรวมไปถึงการต่อสู้และบทเวทย์ต่าง ๆ ที่น้อยมากกว่าผู้ที่ทำการปลุกพลังวิญญาณสำเร็จตั้งเเต่เจ็ดขวบปี ดังนั้นเวลายามว่างที่เหลือก่อนที่จะถึงงานประลองของแคว้น เขาจะต้องใช้ให้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด...
บนระเบียงชั้นสองของโรงน้ำชา
''เจ้ามองสิ่งใดอยู่รึ?'' บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาที่ใบหน้านั้นมักจะมีรอยยิ้มเล็กน้อยอยู่เสมอราวกับคุณชายเจ้าสำราญของตระกูลใหญ่ที่มีการสวมใส่ชุดที่ดูเป็นเฉพาะของตระกูลได้เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่าสหายตรงหน้าได้เพ่งมองไปยังจุดหนึ่งโดยมีท่าทีที่เเสดงออกถึงความสนใจอย่างยิ่งที่ทำเอาเขานั้นอดที่จะเเปลกใจไม่น้อย
''มีอะไรก็รีบเอ่ยออกมา ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอีกมาก...'' บุรุษที่ใส่หน้ากากพยัคฆ์สีดำเมื่อถอนสายตาออกมาแล้วจึงหันมาเอ่ยกับคู่สนทนาของตนในทันทีด้วยน้ำเสียงที่ฟังได้ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ยุ่งเรื่องของตน
''ข้าเป็นสหายเจ้านะ ก็ได้ๆ เมื่อพร้อมเเล้วค่อยเล่าให้ข้าฟังละกัน...'' หลังจากกล่าวจบบุรุษคนเดิมจึงเอ่ยสิ่งที่ต้องการพูดในการนัดหมายครั้งนี้โดยที่ไม่รู้ว่าบุรุษที่ใส่หน้ากากพยัคฆ์สีดำนั้นหาได้ฟังที่เขาเอ่ยขึ้นไม่...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต