LOGINหม่าจิ่วเหลียนฮวาสตรีคนสุดท้ายของตระกูลหม่าโดนสังหารเก้าชั่วโครต ไร้พ่อขาดแม่ ไร้ญาติขาดมิตร ตอนอายุ 20 หนาวนางได้เจอกับเทพบุปผา ได้ทราบว่าตนมีชะตาแมวเก้าชีวิตต้องตายเก้าครั้งถึงจะหวนสู่แดนบุปผาได้
View Moreบทที่ ๑
สตรีคนสุดท้ายของตระกูลหม่า
‘ทาสซักล้าง’
ประจำตำหนักเทียนหลุนจือเล่อขององค์ชายรองแคว้นจินตกเป็นของจิ่วเหลียนฮวาตั้งแต่วันแรกที่นางเกิดจนตอนนี้อายุ 20 หนาว
เด็กกำพร้าว่าน่าสงสารแล้ว แม้แต่ญาติสนิทหรือมิตรสหายก็ไม่มีกลับน่าสงสารยิ่งกว่า
เครง!
“จิ่วเหลียนฮวา เจ้าตั้งใจชนข้าหรือ…ตายจริง! ผ้าองค์ชายรองตกพื้นแล้ว บังอาจยิ่งนัก!”
เจ้าของนามไม่กล่าวสิ่งใด ดวงตาคู่โตแฝงด้วยความเศร้าหมองหลุบมองชุดที่นางกำลังเอาไปซัก วันนี้เจ้าของตำหนักกลับวังหลวงครั้งแรกในรอบสามปี
เจ้านายอยู่ตำหนักแท้ ๆ ยังถูกกลั้นแกล้ง ไม่ต้องพูดถึงยามที่องค์ชายรองจินเทียนหลุนไม่อยู่ตำหนัก
“ขออภัย ข้าไม่ทันได้ระวัง”
แม้จะไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่นางก็ยังเอ่ยขออภัย ก้มลงเก็บผ้าที่อยู่บนพื้น
ซี๊ด~
แต่จังหวะที่นางเอื้อมมือไปหยิบผ้านั้น มือหยาบจากการทำงานหนักสารพัดอย่างก็ถูกเหยียบด้วยเท้าของนางกำนัลที่มีเบื้องหลังสนับสนุนอยู่
“ใครใช้ให้เจ้ายื่นมือออกมาตอนที่ข้ากำลังจะก้าวเท้าเดินเล่า ช่างสมกับเป็นนางกำนัลระดับล่าง”
จิ่วเหลียนฮวาสูดหายใจเข้าลึก ไม่ใช่เพราะโกรธที่ถูกสหายนางกำนัลในตำหนักเดียวกันเหยียบย่ำ แต่น้อยใจที่ตนเป็นสตรีคนสุดท้ายในตระกูลหม่า
ตระกูลขุนนางต้องโทษที่ถูกประหารเก้าชั่วโครต!
“อู่อิง ทางที่เจ้าจะไปเป็นพระภูษา…”
น้ำเสียงเรียบเฉยเอ่ยเพียงเท่านั้น เงยหน้าขึ้นสบตาอู่อิงที่กำลังกอดอกมองนางด้วยสายตารังเกียจเหมือนยามที่สุกรกำลังกินเศษข้าวบูด
“แล้วอย่างไร!”
“เจ้าคิดจะเดินข้ามพระภูษาเช่นนั้นหรือ”
อู่อิงหน้าซีด เมื่อสหายที่อยู่ข้าง ๆ สะกิดนางก็กระซิบถาม
“อี้ถง หากนางเอาไปฟ้ององค์ชายจะทำอย่างไร”
อี้ถงจอมยุยงใจเด็ดกว่าอู่อิงที่เป็นคนลงแรง ฟังแต่คำยุยงของอี้ถง
“ระหว่างเรานางกำนัลที่ครอบครัวบริสุทธิ์กับนางกำนัลตระกูลต้องโทษเช่นนั้น องค์ชายต้องเชื่อเรามากกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว”
อู่อิงได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจ เรียกท่าทางเชื่อมั่นกลับมาได้อีกครั้ง เชิดหน้าใส่จิ่วเหลียนฮวา
“หึ! คนที่เจ้าไม่ควรเอ่ยถึงที่สุดคือองค์ชาย”
จิ่วเหลียนฮวาหยิบผ้าใส่ในถังน้ำก่อนที่จะหยัดกายขึ้นเต็มความสูง รู้เลยว่าอู่อิงจะพูดถึงเรื่องอะไร
“องค์ชายคือคนที่จะไม่ปกป้องเจ้าที่สุด อย่าคิดว่าพระภูษาจะคุ้มกะลาหัวเจ้าได้ ให้เจียมตัวเอาไว้บ้างว่าเจ้าคือคนที่ต่ำต้อยที่สุดในแคว้นจิน”
“...”
จิ่วเหลียนฮวาไม่พูดอะไร มือบีบถังไม้ไว้แน่น ดวงตาจดจ้องอู่อิงไม่ละสายตา
“โกรธหรือ รับความจริงไม่ได้หรือ”
จิ่วเหลียนฮวาหรือจะรับความจริงไม่ได้ คำพูดเหล่านี้นางฟังมามากกว่าสามพันครั้งแล้ว
“...มีอะไรจะพูดกับข้าอีกหรือไม่”
“นี่เจ้า!”
“ถ้าไม่มีแล้ว ขอตัว”
อู่อิงเหยียดยิ้ม แต่เดิมพวกนางก็แค่อยากแกล้งจิ่วเหลียนฮวาเล่นพอหอมปากหอมคอจึงได้ปล่อยนางไป
ตุบ!
แต่ก่อนที่จะปล่อยไปก็ขอขัดขาจิ่วเหลียนฮวาอีกครั้ง ทั้งคนและถังน้ำล้มลงไปกองที่พื้น ก่อนที่พวกนางจะหัวเราะให้กับความสำเร็จเล็ก ๆ แล้วเดินจากไป
จิ่วเหลียนฮวายกมือที่เจ็บแปลบขึ้นมาดู ทำเพียงสะกิดเศษหินปูนที่ติดอยู่บนมือออก ไม่ใส่ใจเลือดที่ซึมผ่านเนื้อถลอกเลยสักนิด
มีนางกำนัลหลายคนเดินผ่านนาง แต่ไม่มีใครคิดจะช่วยนางเก็บผ้าที่อยู่บนพื้นหรือช่วยพยุงนางให้ยืนขึ้นเต็มความสูง ที่แย่กว่านั้นคือเดินผ่านนางไปราวกับว่านางไม่มีตัวตน สำหรับนางแล้ว…
แบบนี้เจ็บปวดกว่าแผลที่อยู่บนมือเสียอีก!
ณ ลานซักล้างท้ายตำหนัก
แผลที่อยู่บนมือเมื่อโดนน้ำแสบไม่น้อย แต่ไม่นานความแสบก็หายไปพร้อมกับใจแห้งเหี่ยว
ไม่มีบิดามารดาน่าเศร้าแล้ว ไม่มีแม้แต่ญาติมิตรยิ่งเศร้าเป็นทวีคูณ
จิ่วเหลียนฮวาถูกเลี้ยงดูโดยนางกำนัลประจำตำหนักองค์ชายรอง แปดปีแรกนางยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของการมีผู้เลี้ยงดูอยู่บ้าง จนกระทั่งนางกำนัลอาวุโสจากไป นางจึงกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
“เสี่ยวจิ่ว ซักเสร็จแล้วไปช่วยกันทำความสะอาดจวนจือเล่อด้วยเล่า”
“จวนจือเล่อหรือเจ้าคะ”
“ใช่ เจ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้องค์ชายรองทำพิธีสวมกวาน[1] ได้รับพระราชทานตำแหน่งชินอ๋อง อีกเจ็ดวันจะย้ายออกไปอยู่จวนจือเล่อ เจ้าก็เตรียมเก็บของด้วยเล่า ข้ารับใช้ทั้งหมดในตำหนักจะย้ายออกนอกพระราชวังด้วย”
จิ่วเหลียนฮวานิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าจะถามออกไปดีหรือไม่ ซึ่งมู่หมัวมัว[2]ที่มาสั่งงานนางก็ไม่มีความอดทนพอที่จะรอฟัง วางถังผ้าม่านกองใหญ่ลงก็จากไป
“ข้าอยากถามว่า ย้ายไปอยู่นอกวังแล้ว ออกจากจวนได้อย่างอิสระมากกว่าเดิมแล้วใช่หรือไม่”
น่าเสียดายที่คำถามนี้ไม่ได้รับคำตอบ!
จิ่วเหลียนฮวาเริ่มซักพระภูษาของชินอ๋องก่อน เจ้าของตำหนักเพิ่งกลับวังผ้าจึงยังไม่เยอะ ในตอนที่นางซักชุดสีดำ ผ้าเนื้อดีไม่ปักลาย หว่างคิ้วเรียวพลันมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นรอยขาดลากยาวที่หัวไหล่
“บาดเจ็บเช่นนั้นหรือ”
จิ่วเหลียนฮวาดึงผ้าขึ้นเหนือน้ำเพื่อดูสี เมื่อเห็นว่าน้ำเพียงขุ่นขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้สีเข้มขึ้นมากจึงเดาว่าองครักษ์ของเจ้านายได้ทำความสะอาดก่อนที่จะส่งมาให้ซักล้างแล้ว
“นอกจากข้าแล้วยังมีกบฏเหลืออยู่อีกหรือ”
จิ่วเหลียนฮวาเอ่ยอย่างติดตลกแล้วขยี้ผ้าในน้ำด่างที่ใช้ขี้เถ้าพืชละลายกับน้ำ นางมีหน้าที่ซักตากเท่านั้น หน้าที่อบผ้าให้ความหอมเป็นของนางกำนัลคนอื่น
“...เสี่ยวจิ่ว ซักผ้าปูโต๊ะให้ด้วย พรุ่งนี้จะเอาประดับห้องบรรทมท่านอ๋อง”
จิ่วเหลียนฮวาเงยหน้าขึ้นเอ่ยปฏิเสธ
“แต่มู่หมัวมัวบอกข้าว่า ซักเสร็จแล้วให้ไปช่วยทำความสะอาดที่จวนจือเล่อ”
“มู่หมัวมัวกล่าวว่าหลังซักผ้าเสร็จ เจ้าซักกองนั้นเสร็จแล้วก็ซักของข้าต่อก็ได้ หากมู่หมัวมัวถามก็บอกเพียงว่ายังซักไม่เสร็จ”
“แต่ว่า…”
“นางกำนัลซักล้างมีเพียงเจ้า หากเจ้าไม่ซักใครจะซัก แต่จวนจือเล่อไม่มีเจ้าทุกคนก็ทำความสะอาดกันได้”
จิ่วเหลียนฮวาหลุบตาลงเพราะเถียงไม่ได้
จะบอกว่าทุกคนเห็นนางเป็นคนสำคัญก็ไม่ใช่ เพราะอากาศหนาวเหน็บแบบนี้ใครก็ไม่อยากซักผ้า หน้าที่นี้จึงเป็นของนางที่ถูกวางตัวเป็นคนซักล้างตั้งแต่กำเนิด
ดีที่ไม่ถูกใช้ให้ล้างถังอาจม!
“เข้าใจแล้ว เอาวางไว้ ข้าจะทำเอง”
“เสี่ยวจิ่วเป็นคนดีจริง ๆ ข้าไปแล้วนะฝากด้วย”
จิ่วเหลียนฮวายิ้มบาง แอบขบขันที่เวลาจะใช้งานนางแล้วเรียกด้วยความสนิทสนม แต่พอเวลานางถูกกลั่นแกล้งไม่แม้แต่จะสนใจไยดี
“ไม่โทษเจ้า ใครจะอยากใกล้ชิดกับตระกูลต้องโทษ ซักผ้าของเจ้าต่อไปจิ่วเหลียนฮวา”
คิดได้เช่นนั้นนางก็ซักผ้าต่อไป น้ำอุ่นทำให้นางไม่ทรมานในการซักผ้ามากนัก อีกอย่างนางชินแล้ว ต่อให้ซักผ้าจนเลือดออกมือ นางก็ต้องทำต่อไป
“จิ่วเหลียนฮวา”
ใบหน้างามเงยขึ้นตามเสียงเรียก แปลกใจเล็กน้อยเพราะนางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย
“ไยมองข้าเช่นนั้น”
บุรุษหนุ่มในชุดสีดำสนิทผ้าตัดเย็บอย่างดีตามสถานะองครักษ์ประจำพระองค์เดินเข้ามาใกล้นางมากขึ้นแล้วย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ ไม่สนใจว่าพื้นที่ตรงนี้จะเลอะไปด้วยน้ำซักล้าง
“ข้ามั่นใจว่าเราไม่รู้จักกันมาก่อน”
ใบหน้าที่จัดว่าหล่อเหลากว่าคนทั่วไปฉีกยิ้มมุมปากให้สาวน้อย ดวงตาที่จดจ้องมาที่นางนั้นแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู อยู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าเจอญาติสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ความรู้สึกของการมีญาติเมื่อ 12 ปีก่อนพาให้นางยกมือขึ้นทาบหน้าอกตัวเอง
“เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเจ้า หม่าจิ่วเหลียนฮวา สตรีที่เป็นศัตรูของราชวงศ์”
[1]พิธีสวมกวานเป็นพิธีสวมเครื่องประดับศีรษะในวัฒนธรรมจีนโบราณโดยเฉพาะในชนชั้นสูง กวาน ไม่ใช่หมวกที่สวมครอบทั้งศีรษะ แต่เป็นเครื่องประดับที่สวมครอบมวยผม พิธีนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงสถานะจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ พร้อมทั้งความรับผิดชอบและสิทธิที่เพิ่มขึ้น
[2]หมัวมัว (嬷嬷) ในบริบทของวังหรือตำหนักของจีนโบราณ หมายถึงพี่เลี้ยงหรือผู้ดูแลเด็กในวัง หรือผู้หญิงที่มีอายุและมีความใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ จะใช้คำนี้ในวังหรือบ้านขุนนางใหญ่ก็ได้
บทที่ ๙๐ความทรงจำที่สวยงามไม่มีลืมเลือนทุกชาติห้าปีผ่านไป…จิ่วเหลียนฮวาชีวิตสนุกมากเมื่อมีลูกน้อยทั้งหลายมาคอยล้อมหน้าล้อมหลัง แม้แต่จินเทียนหลุนยังเข้าไม่ถึงตัวนาง เพราะเช่นนี้เขาถึงฝากลูกไปเลี้ยงกับคนนั้นที คนนี้ทีเพื่อจะได้ใช้เวลาส่วนตัวกับชายารักบ้างเสี่ยวกั่วกัวท่านหญิงใหญ่ถูกฝากเลี้ยงกับหยางเซียงยี่ เสี่ยวน่ายน่ายถูกนางกำนัลของไทเฮามารับตัวไปเล่นในวังเกือบทุกวัน เช่นเดียวกับเสี่ยวน่ายกัวที่แทบจะกินนอนอยู่ที่ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้จินจิ่นฟู่จวิ้นอ๋องที่อยากอยู่กับหลานเช่นกันแต่ไม่มีโอกาสนั้นเลยถึงกับออกปากกับหลานชายว่าให้เขามีหลานให้อีกสักสองคนจะได้ครบกันหนึ่งปีต่อจากคลอดแฝดสาม จิ่วเหลียนฮวาก็ตั้งครรภ์อีกครั้งเป็นแฝดชายหญิง ชื่อเล่นเสี่ยวผิงผิงและเสี่ยวปิงปิงบุตรชายเสี่ยวผิงผิงตกเป็นของจวิ้นอ๋อง บุตรสาวเสี่ยงปิงปิงตกเป็นของจื่อเจี่ยนเฉิงจวิ้นอ๋องและจื่อเจี่ยนเฉิงยังมีแรงพอจะสร้างทายาท ทว่าพวกเขากลับไม่คิดแต่งงานหรือ
บทที่ ๘๙พระนัดดารุ่นแรกของราชวงศ์เก้าเดือนแห่งการตั้งครรภ์แฝดสามไม่ง่าย!ดีว่าจิ่วเหลียนฮวามีพลังเทพปกป้อง ทั้งยังมีคนดูแลอย่างดีทั้งคนจากไทเฮา สมุนไพรบำรุงครรภ์จากคลังหลวง สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นพิษอย่างหยางเซียงยี่และการดูแลที่ดีจากสวามีในยามค่ำคืนจินเทียนหลุนมีตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ กลางวันว่ายุ่งจากการทำงานแล้ว แต่กลางคืนก็ยังมาปรนนิบัติพระชายาช่วยนวดเท้าให้นางกลางคืนเมื่อยามที่เกิดอาการเหน็บชานางจึงผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้จนกระทั่งมาถึงวันที่น้ำคร่ำแตก!“น้องรองไม่ต้องกังวล หมอที่เก่งที่สุดอยู่ในนั้นแล้ว”ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่ที่เสด็จมาจวนจือเล่อเอ่ยปลอบอนุชาที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องคลอดแม้คนปลอบจะใจไม่สงบเช่นเดียวกันก็ตาม!“นั่นสิหลุนเอ๋อร์ เจ้าเดินไปเดินมาจนแม่ลายตาแล้ว นั่งลงก่อน มีเทพโอสถอยู่ทั้งคนยังจะกังวลเพียงนี้”ไทเฮาก็เอ่ยปลอบโอรสด้วยคน คลอดแฝดสามเดิมทีน่าเป็นห่วง
บทที่ ๘๘สตรีคลอดบุตรไม่ต่างจากก้าวเข้าประตูปากผีเมืองฮั่นหลินเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น!เพื่อไม่ให้ตนมัวแต่จมปลักอยู่กับความรักที่ไม่อาจร่วมทางไปกับคนรักได้จนสุดฝั่ง จินหลี่จินจึงขอฮ่องเต้ไปสืบคดีนี้ด้วยตนเอง ฮ่องเต้อนุญาตเพราะคิดว่าการทำงานหนักอาจทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาฟุ้งซ่านส่วนจินเทียนหลุนนั้น ยามนี้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ รับหน้าที่เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงต่อจากท่านตาของจินหลี่จินเดิมทีตำแหน่งนี้ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่อยากมอบให้จินหลี่จิน แต่อีกฝ่ายรักอิสระ อยากทำหน้าที่ที่ไม่กังขังตนเอาไว้เพียงในเมืองหลวง เขาจึงได้รับหน้าที่พิเศษเป็นฑูตประจำแคว้น ทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ได้สะดวกสมกับที่ไม่มีครอบครัวส่วนจินเทียนหลุนที่มีชายาที่ท้องโตขึ้นทุกวันรอที่จวนอยู่แล้ว เช้ามาเข้ากองทัพฝึกทหาร ค่ำกลับจวนอยู่เป็นเพื่อนชายาและแนบหูคุยกับลูกน้อยทุกคืนแม้เด็กในท้องจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเพราะเพิ
บทที่ ๘๗ความรักระหว่างมนุษย์เหมือนลมสายหนึ่งยามนี้เทพโอสถกำลังยืนอยู่บนกลางท้องฟ้า ใต้เท้าเป็นสัตตบงกชแห่งการเคลื่อนย้าย ด้านซ้ายมีหวงผิงที่ยืนอยู่บนปุยเมฆมองการแต่งงานของไช่จงซินในมุมสูงสีหน้าของเขาเรียบเฉยต่างกับเทพโอสถที่ฉายแววปวดใจ เมื่อคนที่กำลังเดินเคียงคู่กับไช่จงซินเข้าไปในโถงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินมิใช่คนที่มีใจต้องกัน“ข้าเป็นคนนอก มองดูแล้วยังปวดใจเพียงนี้ พวกเขาสองคนก็คงปวดใจจนหายใจไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ จุกลิ้นปี่ตรงนี้”หวงผิงหันมามองนิ้วมือเรียวที่ชี้จุดตรงลิ้นปี่ที่อยู่ตรงกลางด้านล่างอกเหนือกระเพาะอาหาร“ท่านเจ็บเพราะจิ้มแรงเกินไป”คนที่กำลังคล้อยไปกับเรื่องราวไม่สมหวังของคู่รักมนุษย์ตวัดสายตามามองหวงผิง แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้จริง ๆ ก็ไม่โทษเขา“เอาเถอะ! เรื่องยังไม่เกิดกับตนจะเข้าใจได้อย่างไร ลองจินตนาการดู หากเจ้าเป็นไช่จงซินหรือจินหลี่จินจะไม่รู้สึกอันใด





