หนิงอ้าย คือผู้ที่โชคชะตากำหนดให้เกิดใหม่อีกครั้งด้วยความเมตตาของเทพบรรพกาลทั้งสาม ภารกิจนี้ย่อมไม่ง่าย แต่หากทุกฝ่ายร่วมมือกันเชื่อว่าย่อมสามารถเอาชนะและนำแสงสว่างกลับคืนสู่มหาพิภพนี้ได้อีกครั้ง...
Voir plusระดับพลังวิญญาณ
**พลังวิญญาณคือพลังลมปราณภายในร่างกายของผู้ฝึกตน เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมในการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกด้วย ระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนจะเเบ่งออกเป็นสิบห้าระดับ แต่ละระดับแบ่งเป็นสิบขั้นย่อย**
แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะปรากฏเป็นสัญลักษณ์ดังนี้
ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์
ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์
ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์
1.ก่อเกิดวิญญาณระดับ1-10 ไม่มีวงแหวนเวทย์
2.ขุนพลวิญญาณระดับ11-19 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีขาว
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 1,000 ปี
3.ขุนนางวิญญาณระดับ20-29 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเขียว
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 2,000 ปี
4.จักรพรรดิวิญญาณระดับ30-39 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเหลือง
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 4,000 ปี
5.เทวะวิญญาณระดับ40-49 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีส้ม
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 8,000 ปี
6.ราชันวิญญาณระดับ50-59 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีชมพู
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 10,000 ปี
7.เทพยุทธ์วิญญาณระดับ60-69 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีแดง
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 30,000 ปี
8.เทพสวรรค์วิญญาณระดับ70-79 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีฟ้า
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 60,000 ปี
9.พรหมยุทธ์วิญญาณระดับ80-89 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีน้ำเงิน
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 80,000 ปี
10.มหาพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ90-100 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีน้ำเงิน
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 100,000 ปี
11.อัครพรหมยุทธ์วิญญาณ (ตำนาน) ระดับ101-119 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีม่วง
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 200,000 ปี
12.มหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณ (ตำนาน) ระดับ120-130 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีดำ
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 400,000 ปี
13.เทพพรหมยุทธ์วิญญาณ (ตำนาน) ระดับ130-150 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเงิน
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 600,000 ปี
14.มหาเทพพรหมยุทธ์วิญญาณ (ตำนาน) ระดับ150-170 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีทอง
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 800,000 ปี
15.เทพบรรพกาล (ตำนาน) ระดับ170 เป็นต้นไป สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีรุ้ง
-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุ 1,000,000 ปีเป็นต้นไป
**ผู้ฝึกตนแต่ละระดับสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณได้อายุสูงสุดตามพลังวิญญาณในขณะนั้น เช่นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณอายุไม่เกิน 4,000ปี สำหรับผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณเป็นต้นไป หากไม่พบกระดูกวิญญาณที่สนับสนุนวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดหรือพึงพอใจก็สามารถเลือกดูดซับกระดูกวิญญาณในภายหลังได้เช่นกัน**
กระดูกวิญญาณ
**กระดูกวิญญาณจะพบเจอในสัตว์อสูรที่มีความพิเศษทางสายเลือดหรือสัตว์อสูรมายาเป็นต้นไป นิยมประสานเข้ากับร่างกายของผู้ฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มทักษะวิญญาณของวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดเพื่อใช้ความสามารถพิเศษของสัตว์อสูรดังกล่าวได้ สามารถสลับปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมไปตามระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน**
สำหรับการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายสามารถทำได้ทั้งหมดเจ็ดส่วนดังนี้
1.ศรีษะ 1 ส่วน
2.ดวงตาซ้าย/ขวา 2 ส่วน
3.เเขนซ้าย/ขวา 2 ส่วน
4.ขาซ้าย/ขวา 2 ส่วน
ระดับนักปรุงโอสถ
**ผู้ที่เข้าสู่วิถีหลอมสร้างปรุงโอสถจะถูกเรียกว่านักปรุงโอสถฝึกหัด หากสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถได้สำเร็จจะมีสมญานาม แบ่งออกเป็น 10 ระดับ ดังนี้**
นักปรุงโอสถระดับ 1-3 สมญานามปัญญาจารย์โอสถ
นักปรุงโอสถระดับ 4-5 สมญานามวิญญาจารย์โอสถ
นักปรุงโอสถระดับ 6 สมญานามอัคราจารย์โอสถ
นักปรุงโอสถระดับ 7 สมญาปรมาจารย์โอสถ
นักปรุงโอสถระดับ 8 สมญานามมหาปราชญ์โอสถ
นักปรุงโอสถระดับ 9 สมญานามเซียนโอสถ
นักปรุงโอสถระดับ 10 สมญานามเทพโอสถ (ตำนาน)
ระดับของโอสถ
ความบริสุทธิ์ 1-3 ส่วน โอสถระดับต่ำ
ความบริสุทธิ์ 4-6 ส่วน โอสถระดับกลาง
ความบริสุทธิ์ 7-9 ส่วน โอสถระดับสูง
ความบริสุทธิ์เต็ม 10 ส่วน โอสถทิพย์
ระดับสมุนไพร
1.ระดับต่ำ
2.ระดับกลาง
3.ระดับสูง
4.ระดับเซียน
5.ระดับสวรรค์
ระดับศาสตราวุธและของวิเศษ
1.ระดับต่ำ
2.ระดับกลาง
3.ระดับสูง
4.ระดับตำนาน
5.ระดับต้นกำเนิด
ประเภทและระดับพลังของสัตว์อสูร
**ระดับพลังวิญญาณของสัตว์อสูรแบ่งออกเป็นระดับขั้นเหมือนผู้ฝึกตน เเต่การเลื่อนระดับในเเต่ละขั้นใช้เวลายาวนานกว่าผู้ฝึกตนหลายเท่า เเต่สิ่งที่ได้มานั่นคือความเเข็งแกร่งที่มากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน เเบ่งออกตามความเเข็งแกร่ง การปลุกสติปัญญาและระดับพลังวิญญาณดังนี้ดังนี้**
1.สัตว์อสูรปฐพี
(เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ)
2.สัตว์อสูรนภา
-ขั้นต่ำ (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณ)
-ขั้นกลาง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณ)
-ขั้นสูง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณ)
3.สัตว์อสูรมายา
-ขั้นต่ำ (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณ)
-ขั้นกลาง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณ)
-ขั้นสูง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์วิญญาณ)
4.สัตว์อสูรตำนาน
-ขั้นต่ำ (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพสวรรค์วิญญาณ)
-ขั้นกลาง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับระดับพรหมยุทธ์วิญญาณ)
-ขั้นสูง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับระดับมหาพรหมยุทธ์วิญญาณ)
5.สัตว์อสูรวิญญาณ
-ขั้นต่ำ (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับอัครพรหมยุทธ์วิญญาณ)
-ขั้นกลาง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณ)
-ขั้นสูง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพพรหมยุทธ์วิญญาณ)
6.สัตว์อสูรบรรพกาล (ตำนาน)
-ขั้นต่ำ (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับมหาเทพพรหมยุทธ์วิญญาณ)
-ขั้นกลาง (เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับเทพบรรพกาล)
-ขั้นสูง (เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับมหาเทพบรรพกาล)
วิญญาณยุทธ์
**วิญญาณยุทธ์แบ่งออกเป็นสามประเภท สี่สายวิญญาณยุทธ์ เเบ่งออกเป็นปราณธาตุทั้งเก้า และมีการสืบทอดจากทางสายเลือดเท่านั้น สีของปราณธาตุจะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของปราณธาตุต้นกำเนิดที่ครอบครอง**
ประเภทของวิญญาณยุทธ์
1.ประเภทสัตว์อสูร
2.ประเภทธรรมชาติ
3.ประเภทศาสตราวุธ
สายของวิญญาณยุทธ์
1.สายสนับสนุน
2.สายโจมตี
3.สายป้องกัน
4.สายควบคุม
สี่ปราณธาตุธรรมดา
1.ธาตุดิน (สีน้ำตาลเหลือง -สีน้ำตาลส้ม -สีน้ำตาลเเดง)
2.ธาตุน้ำ (สีฟ้า -สีคราม -สีน้ำเงิน)
3.ธาตุลม (สีเขียวอ่อน -สีเขียวน้ำตาล -สีเขียวเข้ม)
4.ธาตุไฟ (สีเหลือง -สีเหลืองส้ม -สีส้ม)
สามปราณธาตุพิเศษ
5.ธาตุพฤกษา(ไม้) (สีน้ำตาลอ่อน -สีน้ำตาลเเดง -สีน้ำตาลเข้ม)
6.ธาตุทอง(โลหะ) (สีขาวทอง -สีเงินทอง -สีทอง)
7.ธาตุพิษ (สีเหลืองดำ -สีเขียวดำ -สีม่วงดำ)
สองปราณธาตุในตำนาน
8.ทิวาธาตุ(แสง) (สีเหลืองทอง -สีส้มทอง -สีเเดงทอง)
9.รัตติกาลธาตุ(มืด) (สีดำขาว -สีดำเทา -สีดำทอง)
**โดยปกติผู้ฝึกตนจะสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ได้เพียงหนึ่งเท่านั้น โดยเชื่อเป็นการสืบทอดจากฝั่งบิดาหรือฝั่งมารดาของตน แต่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจะมีวิญญาณยุทธ์ได้เพราะหากร่างกายไม่มีความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ได้เช่นกัน**
ระดับบทเวทย์
เเบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
-บทเวทย์โจมตี
-บทเวทย์ป้องกัน
-บทเวทย์รักษา
เเบ่งเป็น 7 ระดับดังนี้
1.ระดับต่ำ
2.ระดับกลาง
3.ระดับสูง
4.ระดับเทวะ
5.ระดับสวรรค์
6.ระดับเซียน
7.ระดับบรรพกาล (ตำนาน)
สำนักศึกษาในมหาทวีปบูรพา
1.สำนักศึกษาเวหาธาราสวรรค์
-ตั้งอยู่ตรงมหานทีอันเป็นหัวใจหลักของทวีปมหาบูรพา
2.สำนักศึกษาพิภพเทวะนิรันดร์
-ตั้งอยู่ตรงบริเวณส่วนทิศตะวันออกของมหาทวีปบูรพา
3.สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์
-ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางตอนเหนือสุดของมหาทวีปบูรพา
4.สำนักศึกษาหมื่นเพลิงอัสนี
-ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางทิศใต้ของมหาทวีปบูรพา
5.สำนักศึกษาอาศรมบรรพต
-ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางทิศตะวันตกของมหาทวีปบูรพา
กล่องสมบัติของบรรพบุรุษตระกูลหวัง
-เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา (ฉบับจริง)
-เคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้ (ฉบับจริง)
-เคล็ดวิชากระบี่สักกะดาราราย (ฉบับจริง)
-คัมภีร์มหาธาตุ (ฉบับจริง)
-จี้หยกทับทิม (เลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์)
-โอสถปลุกพลังวิญญาณ (โอสถทิพย์)
-กระดูกวิญญาณอสรพิษเหมันต์บรรพกาล
อัตราแลกเปลี่ยนในเรื่อง
-1 ก้วน = 1000 เหวิน (อีแปะ) ซึ่งเป็นเหรียญทองแดงผสม
-1 ตำลึงเงิน = 1 ก้วนเหรียญทองแดง
-1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน
เวลาในเรื่อง
1 เค่อเทียบเท่ากับ 15 นาที
1 ชั่วยามเทียบเท่ากับ 2 ชั่วโมง
-ยามจื่อ คือ 23.00 – 24.59 น.
-ยามโฉ่ว คือ 01.00 – 02.59 น.
-ยามอิ๋น คือ 03.00 – 04.59 น.
-ยามเหม่า คือ 05.00 – 06.59 น.
-ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น.
-ยามซื่อ คือ 09.00 – 10.59 น.
-ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น.
-ยามเว่ยคือ 13.00 – 14.59 น.
-ยามเซิน คือ 15.00 – 16.59 น.
-ยามโหย่ว คือ 17.00 – 18.59 น.
-ยามซวี คือ 19.00 – 20.59 น.
-ยามห้าย คือ 21.00 – 22.59 น.
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
Commentaires