CHAPTER 3
เด็กดอย
สิบนาทีต่อมา
ต่อจากนี้เรนไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดของคนบางคนได้มากน้อยแค่ไหน เพลิงบอกว่าเพื่อนเขามีแต่คนหน้าเถื่อน ซ้ำยังขู่สำทับตลอดทางว่าทุกคนไว้หนวดเครารุงรัง แต่ภาพที่ได้เห็นเมื่อมาถึงที่หมายช่างต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว
บ้านสองชั้นขนาดกลางเต็มไปด้วยเหล่าชายชาตรีหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงยาวเข่าดีห่างไกลจากที่หญิงสาวจินตนาการไว้หลายส่วน นอกจากจะโดนหลอกว่ามีแต่เพื่อนชายซ่องสุมอยู่กันเหมือนกองโจร เท่าที่ได้เห็นในขณะนี้ก็มีผู้หญิงนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยอีกสองคน แน่นอนว่าอารมณ์ของสตรีเพศย่อมทำให้บรรยากาศแบบผู้ชายผ่อนคลายลง
“ไหนเพลิงว่ามีแค่เพื่อนผู้ชายไง?” คนตัวเล็กกระซิบเสียงแผ่ว กระตุกชายเสื้อของคนข้างกายส่งสายตาตั้งคำถาม
“ก็ที่นี่มันอยู่แค่ผู้ชาย” เพลิงให้คำอธิบาย “ส่วนสองคนนั้นพวกมันอยู่บ้าน” เพลิงหมายถึงเพื่อนต่างเพศ กล่าวจบก็กวักมือเรียกสองคนที่ว่าให้เดินเข้าหา
“ใครอะ?” คนแรกเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงระหงสีหน้าท่าทางนิ่งสนิท แม้จะสวยไม่หยอก แต่ใบหน้ามีเอกลักษณ์โดดเด่นกลับเรียบเฉยไร้อารมณ์
“นี่อาโป” เพลิงแนะนำให้คนมาใหม่ได้เป็นฝ่ายรู้จักก่อน จากนั้นจึงพยักพเยิดไปยังอีกคนที่อยู่ในสภาพสะลึมสะลือ “นั่นคะนิ้ง”
อาโป ไม่ได้ยินดียินร้ายต่อการปรากฏตัวของผู้มาเยือนเพียงแค่พยักหน้าให้หนึ่งที ต่างจาก คะนิ้ง ที่แม้ในตอนแรกจะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่ก็ยังยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร
“อย่าบอกนะว่าเด็กใหม่มึง?” คะนิ้งใช้ไหล่กระแทกร่างสูงที่พาคนแปลกหน้ามาทำความรู้จัก นิ้งไม่ยักรู้ว่านิสัยแข็งเป็นไม้แบบเพลิงจะชอบผู้หญิงท่าทางนุ่มนิ่มเหมือนเต้าหู้แบบนี้
“เด็กก็เหี้ยแล้ว นี่เพื่อนกู” เพลิงไขข้อข้องใจให้คนหนึ่งฟัง และนั่นส่งผลให้สีหน้าของอีกหลายคนซึ่งกำลังมองแขกผู้มาเยือนพากันร้อง ‘อ๋อ’ อย่างพร้อมเพรียง
“หน้าแบบมึงไม่น่ามีเพื่อนน่ารักขนาดนี้” ใครสักคนเอ่ยขัดจังหวะ ก่อนเจ้าของเสียงจะแซงคิวเข้าทำความรู้จักก่อนใครเพื่อน “สวัสดีครับ เราชื่อเติร์กนะ”
“สวัสดีค่ะ” เรนยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร ทว่ายังไม่ทันได้ยื่นมือตอบรับสัมผัสจากฝ่ามือของ เติร์ก เพลิงกลับปัดมือเพื่อนทิ้ง
“อะไรวะไอ้เพลิง…” เติร์กขมวดคิ้วใส่ และแม้พยายามยื่นมือขอจับอีกครั้ง แต่เพลิงก็จูงมือเรนเดินหนี ทั้งยังแนะนำคนอื่นให้หญิงสาวได้รู้จักต่อหน้าตาเฉย
“นั่น ไฉ”
ไฉ พยักหน้ารับพอเป็นพิธีก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลื่อนสมาร์ตโฟนต่อ ท่าทางไร้อารมณ์ไม่ต่างจากอาโปซึ่งเดินไปทรุดกายนั่งลงที่ข้างกัน
“ที่หน้าตาฉลาด ๆ ชื่อไอ้เทมป์”
“อือ” เรนพยักหน้าตาม
ที่เพลิงว่าดูฉลาดอาจเป็นเพราะ เทมป์ คนที่ว่าสวมแว่นตา แต่แม้จะสวมแว่นทว่าออราความหล่อก็ยังพุ่งกระจาย และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ถึงได้ทำทีเต๊ะท่าวางมาดขึ้นมา
“ขอบคุณที่ชม แต่กูหล่อมากกว่าดูฉลาด” ว่าพลางก็กอดอกทำทรง แต่ยังไม่ทันขาดคำเสียงของคะนิ้งก็ดังแทรกขึ้น
“ขอร้อง มึงมั่นอะไรขนาดนั้น”
แม้จะโดนแขวะ แต่คนที่ดูจะหลงตัวเองอยู่หลายส่วนก็กระตุกยิ้มขึ้นได้ “มึงไม่เคยได้ยินหรือไง? ปรัชญาเขาว่าไว้ คนหล่อมักจะภูมิใจในตัวเอง”
คะนิ้งทำหน้าระอา กระนั้นก็พยักหน้าขอฟัง “ปรัชญาสำนักไหน?”
“สำนักกู”
“หน้าตาฉลาดแต่พูดจาขาดสมองแบบนี้ มิน่าถึงได้จีบใครไม่ติดสักที”
“จ้ะ แม่คนฮอต” เทมป์ว่า
แต่เพื่อนสาวก็พยักหน้ารับไม่คิดถ่อมตัว “กูรู้ตัว”
น่าจะจริงสมคำประชดเยินยอ ในสายตาเรนเห็นด้วยชนิดไร้ข้อกังขา ถึงไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัว เธอก็เห็นเค้าความสวยของคะนิ้ง สวยขนาดนี้อาจเป็นดาวคณะได้เลยทีเดียว
“นั่งนี่” เพลิงดึงมือหญิงสาวให้นั่งลงข้างกันที่โซฟาซึ่งว่างเว้น
เพลิงคิดอยู่แล้วว่าอาจมีคนวางตัวไม่ถูกเลยไม่อยากพามาด้วยตั้งแต่แรก เมื่อมาถึงจึงลอบสังเกตใบหน้าจิ้มลิ้มแทบจะทุกวินาที คนตัวเล็กทำหน้าปั้นยากอยู่บ้าง แต่ถือว่ารับมือได้ดีกว่าสมัยยังเรียนอยู่ที่เชียงใหม่หลายส่วน แม้เพลิงจะมีเพื่อนฝูงเยอะเป็นปกติ แต่เรนนั้นแทบไม่มีเพื่อนเลย อาจเพราะความขี้อายด้วยส่วนหนึ่ง และติดเขาด้วยอีกส่วน
“เพื่อนที่ไหนวะ? ทำไมไม่เห็นเคยเจอ” ไฉตั้งคำถามโดยไม่คิดเงยหน้าจากหน้าจอ
ทว่าคนที่ดูสนใจแขกผู้มาเยือนเป็นพิเศษเห็นจะไม่พ้นเติร์กที่รีบปรี่เข้านั่งบนโต๊ะไม้ตัวกลาง “นั่นดิ น่ารักขนาดนี้มีแฟนยังครับ?”
“เรายังไม่มี” เรนยิ้มตอบ
“หูย! ดีเลยครับ” เจ้าของคำถามทำทีถูไม้ถูมืออย่างหมายมั่น ทว่าการขวางลำจากใครบางคนก็ขัดขึ้นทันควัน
“ต่อให้ไม่มี เขาก็ไม่น่าเอามึงว่ะไอ้เติร์ก” เป็นเทมป์ที่เหยียดยิ้มกว้างตั้งใจกวนตีน ทว่าเติร์กที่ไวพอกันก็หันคว้าของบนโต๊ะปาใส่เจ้าของคำดูแคลนทันที
“อย่าเสือก กูอาจได้สมหวังมีคู่ก็วันนี้”
“ก่อนจะสมหวัง สมประกอบให้ได้ก่อน” เทมป์ยังคงลับฝีปากกับเพื่อนไม่เลือกหน้า ท่าทางฉลาดสุขุมเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น และเติร์กที่ชินชากับนิสัยเพื่อนก็ทำเมินไม่ใส่ใจ หันพูดคุยกับผู้มาเยือนอีกครั้ง
“มาเที่ยวเหรอครับ?” เติร์กแน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้าหญิงสาวมาก่อน
“ไม่ได้มาเที่ยว แต่จะย้ายมาเรียนที่นี่” เพลิงเป็นคนให้คำตอบ “ย้ายมาจากเชียงใหม่”
“หืม?” ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่ไฉที่ยอมสละเวลาละสายตาจากหน้าจอสมาร์ตโฟนชั่วครู่ ต่างก็รู้กันดีว่าบ้านเกิดของเพลิงอยู่ที่เชียงใหม่เช่นกัน
“มาจากบ้านมึง?”
“กูมาจากในเมือง ส่วนยายนี่เป็นเด็กดอย” เพลิงตอบ และคำที่ว่าก็ทำเอาเด็กดอยหันค้อนตาคว่ำ
“ถ้าเราเป็นเด็กดอย เพลิงก็เหมือนกันนั่นแหละ บ้านเพลิงก็อยู่ข้างบ้านเรา”
“อ๋า…” ผู้ร่วมวงสนทนาขานเสียงรับในลำคอ ตั้งอกตั้งใจฟังกันหน้าสลอน ด้วยไม่ยักรู้ว่าเพลิงมีเพื่อนข้างบ้านหน้าตาน่ารักขนาดนี้
“เป็นเหี้ยไรกัน?” ท่าทางสอดรู้ของเพื่อนเป็นอีกเหตุผลที่เพลิงคร้านจะสาธยายเรื่องส่วนตัว “กูเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“อืม…”
“เพื่อนข้างบ้าน”
“อืม…”
“อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก”
“อืม…”
“กูไม่เล่าละ” เพลิงตัดจบ เมื่อทุกคู่สายตาพากันมองอย่างมีเลศนัยคล้ายกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด โดยเฉพาะรอยยิ้มกวนตี๊นกวนตีนที่ประดับอยู่บนหน้าไอ้ห่าเทมป์
“โห! ไรวะ เล่าต่อดิ พวกกูอยากฟัง” เติร์กที่นั่งอยู่ใกล้สุดรีบเขย่าขาให้เล่าต่อ แต่เพลิงก็ปัดมือเพื่อนทิ้ง
“เล่าเหี้ยไรอีก ก็มีแค่นี้”
“ไม่ถามมึงก็ได้ กูถามเพื่อนมึงดีกว่า” เติร์กไม่สนใจจะตอแย หันหาคนตัวเล็กที่นั่งเบียดกายอยู่ข้างกันกับเพลิงแทน “ทำไมย้ายมาอะ? บอกว่าเป็นเพื่อนกับไอ้เพลิงแสดงกว่าเราอายุเท่ากันใช่ปะ?”
“อือ” เรนยิ้มรับ สีหน้าเริ่มผ่อนคลายเมื่อได้เห็นท่าทางเวลคัมของทุกคน “ปีที่แล้วเราเรียนไม่ไหวและมีปัญหาที่บ้านด้วย เลยตัดสินใจซิ่วย้ายที่เรียนใหม่เลยดีกว่า”
“อ๋อ…”
“ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วตามมาเรียนกับไอ้เพลิงถึงที่นี่ คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนะ” เทมป์ขยับนั่งเท้าคางมอง
คำที่ว่าทำเอาเพลิงเลียริมฝีปากทั้งสีหน้ารำคาญใจ คว้าหมอนได้หนึ่งใบก็จัดการปาใส่เจ้าของเสียงทันที “ไม่ต้องสาระแนชง นี่เพื่อนกู”
“อือ เรากับเพลิงเป็นแค่เพื่อน” ขณะที่เรนเองก็รีบสมทบเสียงช่วยเพราะไม่อยากให้คนบางคนต้องลำบากใจ
บ่อยครั้งใครต่อใครมักจะเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอ แม้ตัวเธอไม่มีอะไรจะเสียเพราะตกอยู่ในสภาวะเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมานานหลายปี แต่ไม่ใช่กับอีกคน อย่างไรเพลิงก็คงไม่มีวันคิดไปในทางเดียวกัน
“เป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย”
“แล้วเพิ่งย้ายมาหรือยังไง?” คะนิ้งเห็นใจผู้หญิงด้วยกันจึงพยายามส่งสายตาปรามให้เพื่อนคนอื่นสงบปากสงบคำ “ตอนนี้พักอยู่ที่ไหน?”
“เออนั่นดิ เพิ่งมาถึงเหรอ? ไม่เห็นเจอหน้าที่มอ”
“เราเพิ่งมาถึงวันนี้เลย พอดีเพิ่งจัดการเรื่องอื่น ๆ เสร็จ”
“แล้วได้หอรึยัง? มาอยู่ใกล้กันดิ เดี๋ยวพาเปิดหูเปิดตา แถวนี้มีให้เที่ยวเยอะนะ ไม่ไกลจากนี่ก็ถึงทะเลแล้ว” คนอัธยาศัยดีอย่างคะนิ้งเอ่ยอย่างนำเสนอ ขณะที่เรนเองก็รีบพยักหน้ารับเพื่อสร้างกัลยาณมิตรที่ดี
“ดีเลย เราชอบทะเล หอเราอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร เพลิงขับรถพามาน่าจะแค่สิบนาที”
“หอใกล้กับไอ้เพลิง?” ไฉที่เงียบมานานเลิกคิ้วถาม ห่างออกไปสักสิบนาทีเห็นจะไม่พ้นย่านหอพักนักศึกษาที่เด็กวิศวะอยู่กันจนเต็ม
“อือ เราตั้งใจจะอยู่หอเดียวกับเพลิง” เรนเอ่ยตอบโดยไม่ทันได้คิดอะไร แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เพื่อนใหม่พากันขานเสียงรับอย่างพร้อมเพรียง
“อ๋า…”
จากนั้นทุกคู่สายตาก็ย้ายมองไปยังคนถูกอ้างถึงราวกับจะให้เจ้าตัวเป็นคนขยายความ และเพลิงก็จำใจต้องพยักหน้ารับแบบส่ง ๆ เพราะถึงอย่างไรเพื่อนเขาคงได้รู้กันอยู่ดี
“เรนอยู่ห้องตรงข้ามกับกู”
SPECIAL 3สัญญาใจ 3 สิบสองปีก่อน “ฮึก!” “กลับบ้านได้แล้ว ถ้าเธอยอมกลับ เราจะปั่นจักรยานให้ซ้อนทุกวัน” “เพลิงขี้โม้ ฮึก!” “เราใจดี” เด็กหญิงตัวน้อยสะอึกสะอื้นอยู่บนชิงช้าซึ่งไร้การกวัดแกว่ง โดยมีเด็กชายวัยเดียวกันยืนใช้ปลายเท้าเขี่ยดินเล่นอยู่ที่ด้านหน้า บริเวณรอบด้านเต็มไปด้วยเครื่องเล่นมาตรฐานที่สนามเด็กเล่นทั่วไปพึงมี ตอนนี้เป็นเวลาเกือบพลบค่ำ เด็ก ๆ พากันกลับเข้าบ้านหมดแล้ว เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงสนทนากันเพียงลำพัง เด็กชายรู้ดีว่าหากเขาไม่พาเพื่อนกลับบ้านก่อนค่ำมืดจะต้องโดนผู้เป็นแม่ดุ แต่เพราะอีกฝ่ายยังคงมีคราบน้ำตาปรากฏบนใบหน้าจึงอดทนรออย่างใจเย็น “จะค่ำแล้ว เดี๋ยวน้าศรีเป็นห่วง เธอจะโดนดุ และเราก็จะโดนแม่ตี” เสียงใจดีพยายามเอ่ยถึงบทลงโทษที่ทั้งคู่อาจได้รับหากมัวเถลไถลไม่ตรงต่อเวลาที่มีการตกลงกับพ่อแม่เอาไว้ แม้สนามเด็กเล่นของหมู่บ้านจะมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีไม่ต้องกลัวคนนอกเข้าออก อีกทั้งบ้านของทั้งคู่ก็อยู่ไม่ไกลจากสนามส่วนกลาง รวมถึงต่างโตพอจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าตา
SPECIAL 2สัญญาใจ 2สิบนาทีต่อมาร่างผอมบางของเรนยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิม สายตากวาดมองไปยังความคึกคักรอบด้าน เครื่องหน้าหมดจดมียิ้มมุมปากผุดเผยในสีหน้า เพียงคิดว่าเพลิงจะต้องกระดากอายกับจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นเธอก็รู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูกหลังจากการแสดงห้องล่าสุดของระดับชั้นจบลง เพียงแค่ร่างสูงคุ้นตาเดินขึ้นเวทีพร้อมกีตาร์ตัวหนึ่งเพื่อทำโชว์คิวถัดไป เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาว ๆ ต่างก็เริ่มวี้ดว้ายกระหึ่มลั่นไปทั่วทั้งลานอเนกประสงค์ด้านหน้าเวทีเรนไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเสียงที่ได้ยิน รวมถึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดจำนวนคนถึงแห่กันมายืนมองแน่นขนัดไปหมด เพื่อนสนิทของเธอเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียนเรื่องนี้หญิงสาวไม่เถียง แต่ตอนนี้คงมีแค่เธอคนเดียวที่กำลังหัวเราะกับท่าทีผิดปกติไปจากเคยของคนที่ว่าสายตาของเพลิงกวาดมองไปโดยรอบในจังหวะที่หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งมีการเตรียมไว้กลางเวที ก่อนสายตาที่ว่าจะจบลงยังตำแหน่งที่เรนกำลังยืนกอดอกมอง“สวัสดีครับ”“กรี๊ด!!!”“พี่เพลิง!!!”“ว้าย!!!”เพียงเสียงคุ้นหูทักทายผ่านไมโครโฟนซึ่งเสียบอยู่บนขาตั้งในระดับพอดีกับริมฝีปาก เสียงวี้ดว้ายของสาว ๆ ก็ตอบรับด้วยเสียงกระหึ
SPECIAL 1สัญญาใจ 1 หลายปีก่อน “เพลิงจะเขินอะไร?” “ไม่เขินได้ไง? คนทั้งโรงเรียน” “รุ่นน้องกรี๊ดเพลิงกันทั้งนั้น ไม่เห็นต้องอาย” “อาย” เพลิงพยักหน้ารับไม่กระดากแม้แต่นิด “เธอลองขึ้นไปร้องเพลงแล้วมีคนเป็นพันนั่งมองอยู่ข้างล่างเวทีดูไหม?” “ทำไมป๊อดงี้? ตัวก็ตั้งโต” “มันใช้คำว่า ‘ป๊อด’ ได้ที่ไหน?” ร่างสูงในชุดนักเรียนยกแขนขึ้นปาดเหงื่อซึ่งชื้นผ่านใบหน้า ท่ามกลางผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่ ท่ามกลางเสียงดนตรีสดวงปัจจุบันกำลังบรรเลงอยู่บนเวทีกลางของโรงเรียน สองหนุ่มสาวยืนปรับทุกข์ห่างออกมาทางด้านหนึ่ง “ถ้าเราขึ้นร้องเพลงแทนเพลิงได้ก็คงทำไปแล้ว” คนตัวเล็กทำทีตบเข้าที่อก “ถ้าเป็นเราไม่อายหรอก” “เธอก็พูดได้” เพลิงหรี่ตามองอย่างไม่ศรัทธา แค่จะคุยกับเพื่อนคนอื่น เจ้าตัวยังต้องคอยให้เขาเป็นสะพานเชื่อมอยู่เรื่อย เมื่อโดนสายตาสบประมาทของชายหนุ่มหลุบมอง หญิงสาวในชุดนักเรียนก็ทำทีเปลี่ยนเรื่อง “เพลิงเป็นตัวแทนห้องนะ ทำหน้าที่หน่อยสิ ใจกล้า ๆ หน่อย” “ใครจะเก่งเ
CHAPTER 61ฝันละเมอ 4หนึ่งชั่วโมงต่อมาร้านขนมหวานร้านเดิมยังคงมีคนต่อคิวซื้อจนหางแถวยาวออกไปด้านนอกตัวร้าน เพลงที่เปิดคลอสร้างบรรยากาศเป็นเพลงภาษาถิ่นเหมือนเช่นทุกครั้ง กระทั่งลูกค้าก็ยังคงเป็นหน้าเดิม ๆ สภาพแวดล้อมแสนคุ้นเคยราวกับจะพาใจย้อนไปในวันวาน เหมือนเมื่อวานนี้เองที่สองเพื่อนสนิทในชุดนักเรียนมัธยมปลายพากันแว้นมอเตอร์ไซค์มาตบน้ำตาลเข้ากระแสเลือดในทุกค่ำของทุกวันหลังจากได้กินของหวานปิดท้าย สองหนุ่มสาวลูกค้าขาประจำของร้านยังคงนั่งรอออร์เดอร์ซึ่งสั่งกลับบ้านเป็นปกติธรรมดาอีกสองชุดใหญ่ระหว่างที่เพลิงสนทนาอยู่กับเพื่อนสมัยมัธยมที่บังเอิญเจอ เรนกำลังกวาดสายตามองกระดาษโน้ตหลากสีซึ่งกระจายแปะเต็มพื้นที่ผนังด้านหนึ่งของตัวร้าน โน้ตแต่ละแผ่นล้วนมีข้อความบางอย่างเขียนไว้ราวกับเป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งเคยมาเหยียบเยือนสถานที่ ทั้งจากลูกค้าที่เป็นขาประจำ รวมถึงลูกค้าขาจรก็ด้วยเช่นกันข้อความโดยส่วนมากเป็นการระบุว่าได้มาเยือนกับใคร มีทั้งที่เป็นคู่รัก มีทั้งที่เป็นกลุ่มเพื่อน มากันเป็นครอบครัว กระทั่งคนที่คล้ายจะประชดชีวิตโสดเขียนว่ามากินกับ หมา ก็มี“ทำไร?”“หืม?” เรนขานเสียงรับในล
CHAPTER 60ฝันละเมอ 3 ตอนค่ำ ตั้งแต่จำความได้ โต๊ะอาหารที่บ้านของเพลิงไม่ได้มีเฉพาะคนในครอบครัวแต่มีสมาชิกอีกสองคนมาร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยกันเสมอ เว้นแค่ช่วงเช้าเท่านั้นที่เพลิงจะเป็นฝ่ายไปฝากท้องที่บ้านหลังข้างกัน เสียงเจื้อยแจ้วคุ้นเคย รวมถึงการกุลีกุจอเป็นลูกมือหยิบจับทุกสิ่งอย่างของเรนเป็นสิ่งที่เพลิงได้เห็นมาจนชินตา นอกจากจะกระตือรือร้นเป็นปกติ คนที่ทำให้มื้ออาหารดำเนินไปด้วยรอยยิ้มก็คือเจ้าตัว เพลิงเคี้ยวข้าวกร้วม ๆ สลับสายตามองคนนั้นทีคนนี้ทีเพื่อสังเกตท่าทีว่าเป็นเวลาเหมาะสมหรือไม่ที่เขาจะเอ่ยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนออกมาบรรยากาศเป็นไปด้วยเสียงพูดคุยสนุกสนาน เรนกำลังช่วยผสมโรงมีอารมณ์ร่วมอยู่กับยายน้อยและน้าศรี ที่ต่างก็อินกับการก่นด่านางร้ายในละครซึ่งเปิดผ่านทางโทรทัศน์ ที่ได้เห็นไม่ใช่ภาพน่าประหลาดใจสำหรับเพลิง ในที่นี้มีเพียงเขาและพ่อเท่านั้นที่มองหน้ากันเองแล้วส่ายหัวไปมา “พ่อ” ในที่สุดเพลิงตัดสินใจหันมองหน้าบิดา เอ่ยในสีหน้านิ่งสนิท “ผมมีไรจะบอก” คนเดียวที่ว่างพอจะสนทนากับลูกชายถึงกับวางช
CHAPTER 59ฝันละเมอ 2ริมฝีปากอุ่นประทับผ่านลำคอเรียวระหง…เพลิงซุกไซ้ใบหน้าสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของคนตัวเล็กที่นอนนิ่งรับสัมผัสแต่โดยดี นัยน์ตาคมเลื่อนมองผิวกายขาวเนียนผุดผ่องเป็นยองใยทุกจุดที่ปลายลิ้นลากผ่าน ค้างนานบริเวณยอดถันสีชมพูหวาน หมดเวลากับการดูดเลียหัวนมสวยสะพรั่งของหญิงสาวนานหลายนาที ขณะที่ปากดูดเม็ดเต่งชูชัน มือหนาก็ขยำนวดเต้าข้างที่ว่างเว้นด้วยความมันมือแต่ละสัมผัสดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเพราะสถานที่ไม่เป็นใจ ทว่าทุกวินาทีที่ดำเนินผ่านล้วนเต็มไปด้วยความหวามหวิวในอารมณ์ สายตาของชายหนุ่มหลุบเลื่อนมองตามสัดส่วนโค้งเว้าด้วยประกายตาเร่าร้อนแม้เรนจะกินเข้าไปมากเกินกว่าขนาดตัว แต่บั้นเอวผอมบางกลับไร้ชั้นไขมัน ทั้งยังเว้าสวยมิใช่เพียงแต่เร้าอารมณ์ภายใน ทว่ายังดึงดูดสันจมูกคมให้ไล้ผ่านตามแนวคดโค้ง ริมฝีปากอุ่นกดจูบสลับกับการดูดดึงเนื้อกายผ่องขาวไม่ละสัมผัสแม้แต่วินาที เพลิงชันกายขึ้นนั่ง สองมือคว้าสะโพกคนตัวเล็กขึ้นในระดับเดียวกัน สายตามากด้วยอารมณ์ทอดจับเรือนร่างสุดเซ็กซ์ ตั้งแต่เต้าใหญ่โตที่ประดับด้วยป้านบัวสดสวยขนาดเต็มปากเต็มคำ ทั้งแอ่งสะดือเล็กบนหน้าท้องแบนราบ ร