 LOGIN
LOGINหมอกเช้าคลอแอ่งบัวหน้าตำหนักคุนหนิง ดอกเหมยปลิวบาง ๆ คล้ายผงหิมะที่หลงฤดู อวิ๋นซินเยว่เพิ่งงีบไปได้ไม่นาน นางสะดุ้งตื่นเมื่อได้กลิ่นชาอุ่นหอม "นี่มันไม่ใช่ชาของตำหนักนี่"
“กงกง?” นางถามเสียงงงงัน กงกงอี้จิ้ง คุกเข่าอยู่เงียบ ๆ ยกถาดไม้หอมเข้ามา ถ้วยหยกสีอ่อนขุ่นด้วยไอร้อน บนถาดมีซองตำรับเขียนด้วยลายมือเส้นเรียบคมตำรับชาแก้แพ้และตลับยาทาแผลเนื้อดี “จากสำนักหมอหลวงพะย่ะค่ะ” เขาหยุดเสี้ยววินาทีและยิ้มจาง "ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างในสำนัก…ต้องผ่านพระเนตร ‘ใครบางองค์’ ก่อนเสมอพะย่ะค่ะ” แก้มขวาซับสีเลือดขึ้นมาทันที อวิ๋นซินเยว่มิได้ถามต่อ เพียงรับถ้วยชาไว้ด้วยสองมือ สูดกลิ่นขิงและเกสรชาขาวอ่อน ๆ แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณต่อคนส่ง และต่อ “ผู้ไม่ออกนาม” ที่อยู่ไกลออกไป แสงนวลของรุ่งสางทำให้ห้องดูไม่โดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืน นางจิบชาช้า ๆ และปล่อยลมหายใจยาวครั้งแรกในรอบหลายชั่วยาม ข้างกายมีร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลิง ลอยตุ้บป่องขึ้นมา ทำหน้าจริงจังกว่าทุกที [ติ๊ง… อัปเดตค่า: ไทเฮามีรับสั่งให้ “สอบเส้นทางถุงหอม” เช้านี้ หม่าม๊าจะถูกเชิญไปด้วยในฐานะผู้จัดงานครับ ปล. แต้มเลื่อมใสต่อฮองเฮาในวังหลัง เพิ่มต่อเนื่อง +3 …+2 …โอ๊ะ ขยับอีกแล้ว!] “งั้นก็ไปให้พร้อม” นางยิ้มบาง ๆ ลูบปลายผมเสี่ยวหลิงในอากาศ (แม้สัมผัสไม่ได้) “และเจ้าห้ามปั่นใครเล่นนะ” [คับ! (แต่ถ้าคน ๆ นั้นชื่อ “ฝ…”—) โอ๊ย ๆ ไม่ปั่นครับ!] เสียงหัวเราะเบา ๆ ของนางกำนัลดังตามระเบียง เมื่อได้ยินฮองเฮาหัวเราะ เสียงฝีเท้าบ่าวไพร่จึงเบาสบายขึ้นราวรองรับฤดูใบไม้ผลิทั้งผืน ยามเฉิน (ประมาณ 7–9 โมงเช้า) ศาลาริมสระน้ำวังหลวงถูกจัดเป็นที่สอบสวนบรรยากาศเป็นไปด้วยความอึดอัด ไทเฮาประทับเหนือสุด สตรีวังหลังเรียงลำดับตามยศ ซูกุ้ยเฟย นั่งฝั่งซ้ายถัดลงมา ส่วนอวิ๋นซินเยว่นั่งขวาเคียงข้างไทเฮาสงบนิ่ง “เริ่ม” ไทเฮาตรัสสั้น ๆ ขันทีเฒ่าเชิญเด็กสาวชุดเขียวหม่นเข้ามาคุกเข่า “นางชื่อ ชิงเอ๋อร์ คนงานจากเรือนฝึก บอกว่าเมื่อวานเช้าได้รับถุงหอมให้ไปแขวนหน้าต่างเรือนเต๋อผินพ่ะย่ะค่ะ” “ใครให้” แม้พระสุรเสียงของไทเฮาจะไม่ดังนัก แต่ก็กังวานพอที่คนทั้งหมดได้ยินชัดเจน ชิงเอ๋อร์ก้มหน้าจนหน้าผากแทบติดพื้น “บ่าว…ได้รับจาก ‘พี่ฉิน’ ที่ตำหนักฝ่ายซ้ายเพคะ พี่ฉินบอกว่าที่ตำหนักของเต๋อผินยุงชุม ให้ฝากไปแขวนเป็นของหอมกันแมลงเพคะ” นามนั้นทำให้หลายคนเหลียวมอง ฉินอวี้หัวหน้านางกำนัลที่อยู่ฝ่ายเดียวกับซูกุ้ยเฟย ผู้ขึ้นชื่อว่ามือสะอาดและเจ้าระเบียบ นางก้าวออกมาก้มศีรษะ “หม่อมฉันยอมรับว่าเป็นผู้สั่งให้เด็กคนนี้ไปแขวนของหอมจริงเพคะ...” เธอเว้นวรรค "...แต่หาได้รู้ว่าในนั้นมีส่วนผสมก่อให้เกิดการแพ้ หม่อมฉันเพียงสั่งถุงหอมทั่วไปจากเรือนช่าง เพราะเกรงยุงกัดผิวพระสนมแล้วจะไม่งาม” เสียงซุบซิบทะลักท่วมเช่นคลื่นย่อม ๆ ซูกุ้ยเฟยยกพัดงาช้างขึ้น โบกเบา ๆ “คนของข้ามีเจตนาดี หากผิดพลาดก็ผิดที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฉะนั้นข้าพร้อมให้ตรวจสอบเรือนช่างทั้งหมด” ประโยคหลังคือทางถอยที่ชาญฉลาดโยนความผิดไปยังผู้ผลิตโดยนั่งนิ่งอยู่กลางความวุ่นวาย อวิ๋นซินเยว่จึงทำได้เพียง “ขอพระราชทานให้ตรวจถุงหอมทุกเรือน และระงับการแจกถุงหอมทั้งหมดจนกว่าจะตรวจสูตรสำเร็จเพคะ อีกทั้ง...” เธอหันไปทางหมอหลวง “ขอเชิญจาระไนส่วนผสมตามตำรับแพทย์ต่อหน้าทุกคน เพื่อให้สตรีทั้งวังรู้เท่าทัน” หมอหลวงรับคำ นำตัวอย่างผงจากถุงหอมและจากพืชแห้งในกล่องยาออกมา เทียบสี กลิ่น และคุณสมบัติทีละชนิด เสียงเขาราบเรียบ ใจความชัดแจ้ง “ส่วนผสมบางชนิดปลอดภัยทั่วไป แต่ก็ทำให้ผู้ที่มีอาการแพ้อยู่แล้สนั้นแพ้รุนแรงได้ เช่น หญ้าหมอกปีศาจ” คำที่เมื่อคืนเสี่ยวหลิงกระซิบเชิงข้อมูล “จึงไม่ควรอยู่ในถุงหอมที่แจกทั่วราชสำนัก” สายตาหลายคู่ไหลกลับมาที่ฮองเฮา ไทเฮาผ่อนพระปรางค์ เลิกพระขนงอย่างพึงใจ “จงทำตามฮองเฮา วังหลังจะประกาศบัญญัติใหม่ต่อไปทุกสิ่งต้องผ่านหมอหลวงก่อนแจกจ่าย และติดแถบสีและระบุส่วนผสมให้ชัดเจน” เสียงขานรับ “เพคะ” ดังพร้อมเพรียง เหมือนประทับตราราชโองการ ซูกุ้ยเฟยยังคงงามดั่งบุปผาตอนสาย แต่คมบางอย่างในแววตาบอกว่าแผนของนางไม่ล้มเหลวเสียทีเดียวเพียงแค่ได้ผลไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ นางยิ้มบาง หันพัดเล่นลม “วังหลังปลอดภัยยิ่งขึ้นเพราะฮองเฮา นับว่าเป็นมงคลนัก” อวิ๋นซินเยว่ายิ้มตอบรับ ไม่ปฏิเสธ เสี่ยวหลิงกระซิบข้างหู [แต้มเลื่อมใส +7 …กุ้ยเฟย: ความขุ่นเคือง +9 แต่สถานะ: ควรระวังตัวเพิ่มขึ้น] ....... บ่ายนั้นตำหนักคุนหนิงเงียบสงบ อวิ๋นซินเยว่เปิดตลับยาทา กลิ่นสมุนไพรผสมน้ำมันหอมลอยขึ้น นางลังเลแล้วหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ประตูด้านในขยับ นางสะดุ้งจนแทบทำตลับยาหล่น “ทำไมไม่ให้คนอื่นช่วย” เสียงทุ้มเรียบดังขึ้น อวี้เหยียน ยืนพิงกรอบประตู ดวงตาคมมองนางนิ่ง “หม่อมฉันทำเองได้เพคะ” น้ำเสียงบอกชัดว่าหัวใจยังไม่สงบ พระองค์ก้าวเข้ามาใกล้ กลิ่นชาขาวอ่อน ๆ รายรอบ ข้อมือของนางถูกจับอย่างเบามือ เบาจนเกินคาดสำหรับจักรพรรดิเย็นชาอย่างเขา “นั่ง” พระองค์สั่งสั้น ๆ นางเชื่อฟัง พระหัตถ์แตะปลายนิ้วลงยาอย่างระวัง ทาตามรอยบาดที่แก้มขวาอย่างเบาที่สุด จนเธอได้ยินชีพจรตัวเองเต้นอยู่ที่ขมับ “เมื่อวาน เจ้าเกือบพลาดได้ ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี” พระองค์เอ่ยโดยยังจ้องที่แผล “หม่อมฉันกลัวเพคะ” นางตอบตรง “แต่กลัวกว่าคือยืนอยู่เฉย ๆ แล้วไม่ทำอะไรเลย” เงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับลมพักหายใจ “น่ารำคาญ” คำคุ้นเคยหลุดจากพระโอษฐ์ ทว่าฟังเหมือนกำลังตัดบทความรู้สึกของตัวเอง อวิ๋นซินเยว่ายิ้ม “หม่อมฉันก็คิดเหมือนกันเรื่องหัวใจน่ะ น่ารำคาญ” ปลายนิ้วพระองค์ชะงักเสี้ยววินาที ก่อนทายาจนเสร็จ "เสร็จแล้ว" พระหัตถ์ผละออก ความอุ่นตรงแก้มจางลง แต่ความร้อนกลับแผ่ซ่านในอก ก่อนจะผละไป พระองค์ถามขึ้น “วันนี้ เจ้าได้กลิ่นชาที่ต่างไปหรือไม่” “กลิ่นขิงชัดเพคะ…แล้วก็มีดอกไม้ที่ไม่คุ้น” “ชาขิงนั้นดี” พระเนตรวาบเหมือนเฉลยเงียบ ๆ ว่า พระองค์เป็นผู้ส่งมา แต่ไม่พูดตรง ๆ แล้วตรัสต่อ “พรุ่งนี้จะประกาศกฎของกลิ่นหอม เจ้าเตรียมถ้อยคำให้พร้อม” “เพคะ” เงาเสื้อคลุมมังกรเลี้ยวลับหลังประตู ทิ้งกลิ่นชาจาง ๆ ไว้ เสี่ยวหลิงโผล่หัวขึ้นจากขอบโต๊ะทันที [ติ๊ง! เหตุการณ์พิเศษระดับหัวใจ สำเร็จ! – ฝ่าบาทสัมผัสแก้ม 12 วินาที – สบตาหลุบต่ำ 1 ครั้ง – มุมปากขยับ 0.5 มม. คะแนนอบอุ่น +9! ] อวิ๋นซินเยว่ชี้นิ้วใส่เด็กน้อยเสี่ยวหลิง “หยุดนับคะแนนแปลก ๆ ได้แล้ว!” [ครับ ๆ …แต่ว่า หม่าม๊าเก่งมากนะครับ] นางเอนพิงพนักตั่ง มองผิวน้ำที่สะท้อนท้องฟ้า “ข้าไม่ได้เก่งอะไร แค่ไม่อยากเสียใจทีหลัง ว่ามีมือแต่ไม่ยอมลงมือ” เสี่ยวหลิงลอยนั่งกอดเข่าข้างไหล่ ยิ้มตาหยีเหมือนเด็กภูมิใจในงานของตัวเอง
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ
หมอกเช้าคลอแอ่งบัวหน้าตำหนักคุนหนิง ดอกเหมยปลิวบาง ๆ คล้ายผงหิมะที่หลงฤดู อวิ๋นซินเยว่เพิ่งงีบไปได้ไม่นาน นางสะดุ้งตื่นเมื่อได้กลิ่นชาอุ่นหอม "นี่มันไม่ใช่ชาของตำหนักนี่" “กงกง?” นางถามเสียงงงงัน กงกงอี้จิ้ง คุกเข่าอยู่เงียบ ๆ ยกถาดไม้หอมเข้ามา ถ้วยหยกสีอ่อนขุ่นด้วยไอร้อน บนถาดมีซองตำรับเขียนด้วยลายมือเส้นเรียบคมตำรับชาแก้แพ้และตลับยาทาแผลเนื้อดี “จากสำนักหมอหลวงพะย่ะค่ะ” เขาหยุดเสี้ยววินาทีและยิ้มจาง "ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างในสำนัก…ต้องผ่านพระเนตร ‘ใครบางองค์’ ก่อนเสมอพะย่ะค่ะ” แก้มขวาซับสีเลือดขึ้นมาทันที อวิ๋นซินเยว่มิได้ถามต่อ เพียงรับถ้วยชาไว้ด้วยสองมือ สูดกลิ่นขิงและเกสรชาขาวอ่อน ๆ แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณต่อคนส่ง และต่อ “ผู้ไม่ออกนาม” ที่อยู่ไกลออกไป แสงนวลของรุ่งสางทำให้ห้องดูไม่โดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืน นางจิบชาช้า ๆ และปล่อยลมหายใจยาวครั้งแรกในรอบหลายชั่วยาม ข้างกายมีร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวหลิง ลอยตุ้บป่องขึ้นมา ทำหน้าจริงจังกว่าทุกที [ติ๊ง… อัปเดตค่า: ไทเฮามีรับสั่งให้ “สอบเส้นทางถุงหอม” เช้านี้ หม่าม๊าจะถูกเชิญไปด้วยในฐานะผู้จัดงานครับ ปล. แต้มเลื่อมใสต่อฮองเฮาใน








