“เธอนี่จริงๆ เลย มีความเป็นกุลสตรีบ้างไหม”
“20%” เธอตอบออกไปอย่างมึนๆ งงๆ
“ฮะ? อะไรนะ”
“ก็พี่ถามว่าฉันมีความเป็นกุลสตรีบ้างไหม ฉันก็ตอบนี่ไงว่ามี 20%”
“เว-นิ-สา!”
“ขา...แหะๆ” ขานรับเสียงอ่อนเสียงหวาน ยิ้มแหยๆ ให้คุณพี่ขา นัยหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ที่มันจุกอยู่ใจใจ
“เหนื่อยไหมวี”
“คะ? เหนื่อยอะไร ฉันไม่ได้เหนื่อยสักนิด ซักผ้าแค่นี้สบายมาก ใช้เครื่องเหนื่อยตรงไหนล่ะ”
ศศินพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ
“เธอนี่เป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ปั้นหน้ายิ้มทั้งที่ใจกำลังร้องไห้ ฉันไม่เข้าใจเธอเลย”
เวนิสาอึ้งไปอีก น้ำตาเม็ดใหญ่ๆ หล่นจากดวงตาราวสั่งได้ กลั้นใจไม่ให้ร้องโฮ แต่น้ำตาเม็ดโตๆ ก็ร่วงหล่นลงมา ริมฝีปากเธอกำลังสั่น แค่ได้ยินเสียงนี้หัวใจก็ไหวยวบ ปลายเนกไทที่กำลังจุ่มน้ำตาบนสองแก้มเธอก็ยิ่งทำให้เธอร้องหนักเข้าไปอีก พอเถอะ พอแล้ว เลิกเช็ดเสียที จะทนไม่ไหวแล้วนะ!
“ร้องไห้เป็นเด็กๆ แล้วหลอกคนอ
“เป็นอะไรเนี่ย เห็นผมหรือเปล่า”เจ้าของเสียงไม่ถามเฉยๆ แต่ยกหลังมืออังหน้าผากมน ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามพี่สาวคนดี ท่ามกลางสายตาคนที่ยืนมองอยู่ไกลๆศศินยืนนิ่งไม่ไหวติง อุตส่าห์เป็นห่วงเลยแวะมาดูเวนิสา เขาไม่น่ามาเลย หล่อนมีน้องชายผู้แสนดีคอยดูแลแล้วนี่“อือ...ปลายภูเหรอ” ถามเสียงเนือยๆ หลับตานิ่งๆ แล้วค่อยลืมขึ้นมาใหม่ ปลายภูนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ หน้ายุ่งเชียว“พี่เป็นอะไร ตัวก็ไม่ร้อน ทำไมเหมือนจะเป็นลมล่ะ นอนน้อยเหรอ”“อือ...คงงั้นมั้ง นายมาได้ไง”ปลายภูชูถุงให้ดู ในนั้นมีมะขามแช่อิ่มกระปุกใหญ่บรรจุอยู่ เปิดถุงอวดเวนิสาเล็กน้อย มะขามฝักยาวสีน้ำตาลอ่อนอัดแน่นอยู่ในนั้น หญิงสาวเห็นแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ“ยัยรพีอยากกิน บังคับให้มาซื้อให้น่ะ เอามือถือผมไปครองตั้งแต่เมื่อวานยังไม่คืนเลย”“น้องนายนี่ร้ายกาจ”“นั่นสิ ยกให้การกุศลดีไหม เบื่อนาง”เวนิสาหัวเราะคิกๆ ยามได้ยินพี่ชายนินทาน้องสาวศศินที่แอบมองอยู่ เริ่มกำหมัดและกัดฟัน
รวีกานต์ค่อนขอด เวนิสาโบกมือไหวๆ มีรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ไม่ยอมตอบคำถามเพื่อน พอขึ้นรถได้ก็ขับออกไปนอกรั้วศศินมองตามไม่วางตา รู้สึกห่วงใยแม่ตัวแสบ หล่อนจะขับรถดีไหม จะเป็นอะไรไปตอนขับรถหรือเปล่ามือเรียวของรวีกานต์เลื่อนหลุดจากการคล้องแขนศศิน หญิงสาวมองชายที่ยืนอยู่ข้างตนอย่างปลดปลง ดูเอาเถิด เขายืนอยู่ข้างเธอแท้ๆ แต่ดวงตาแปะติดท้ายรถของเวนิสาไปแล้ว“อะแฮ่ม! อยากขับรถตามไปไหมคะ” รวีกานต์ประชดศศินหันมาหา ทำไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่รวีกานต์เอ่ย “ไปเถอะ สายแล้ว” ทำเป็นตัดบทไม่พูดต่อ แล้วขับรถออกไป ทั้งสองไม่มีใครเอ่ยอะไรจนกระทั่งถึงบริษัท ศศินเป็นฝ่ายเปิดประตูรถให้รวีกานต์ หญิงสาวลงรถมาแล้วยืนนิ่งอยู่ชั่วนาที มีบางประโยคที่เธออยากบอกเขา“ไม่เข้าไปเหรอ” เขาถามเมื่อรวีกานต์ไม่ก้าวเข้าไปในบริษัท“ฉัน...กำลังคิดบางอย่างอยู่น่ะ”“คิด?”“ทำไมถึงทำแบบนี้ละคะ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ความผิดของบอส”“มันใช่” เขายืนยัน“มันใช่เพราะฉันยัดเยียด
“โอย...สองเครื่องก็ขี้เกียจพกจะแย่ นะพี่นะ ฉันติดซีรีส์ ถ้าวันนี้ไม่ได้ดูฉันคงไม่มีกะจิตกะใจถ่ายละคร และถ้างานไม่เดินมันก็จะเป็นผลเสียกับฉัน พอภาพลักษณ์ไม่ดีก็ไม่มีใครจ้าง ฉันก็จะมาเกาะติดพี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน” ปานรพีสาธยายชนิดเห็นภาพปลายภูคร้านจะต่อกร ถึงอย่างไรรวีกานต์ก็ไม่ยอมรับสาย ไม่ยอมตอบไลน์อยู่แล้ว มีโทรศัพท์ก็เหมือนไม่มีนั่นแหละ“นะพี่ แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ไม่เกินบ่ายสามก็กลับแล้ว วันนี้มีถ่ายฉากสองฉากเอง” นางเอกสาวว่า ทำตาปริบๆ อ้อนพี่ชาย“เออๆ เอาไปเลย ฉันจะไปคอนโดฯ เลิกกองแล้วเอาไปให้ด้วย”“เอ้า ไหนว่าวันนี้จะอยู่บ้านทั้งวัน”“อยู่กับผีน่ะสิ ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน วันหยุดแท้ๆ”ปลายภูบ่นอุบ ลุกจากที่นั่ง ล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง เจอกุญแจรถก็ดึงออกมาถือไว้ เขาก้าวออกจากห้อง มีร่างน้องสาวตามมาติดๆ ราวหวังผลบางอย่าง“อะไรอีกฮึรพี”“ไปส่งหน่อยค่า โลเคชั่นกับคอนโดฯ พี่อยู่ใกล้ๆ กันเลย ทางผ่านด้วย น้องขี้เกียจขับรถ นะพี่นะ&rdquo
“ก็เพลงที่ร้องว่า..ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ ไม่ต้องมาห่วงอะไรนั่นน่ะ แบบนั้น ฉันเป็นแบบนั้น พี่ไม่ต้องมาทำดีกับฉันเพราะรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงหรอกนะคะ ฉันไม่ต้องการ จะไปไหนก็ไปเถอะค่า”“เธอนี่เพี้ยนขึ้นทุกวัน คนทำดีด้วยกลับไม่ต้องการ”“รำคาญ จะไปไหนก็ไปไป๊!”“นี่เธอ!” ศศินเรียกเสียงดัง พออยากดูแลเข้าหน่อยเจ้าหล่อนก็ทำเมินเสียนี่ อย่างนี้คนมีความตั้งใจก็เสียกำลังใจกันพอดี“ทีเมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้นะ”“ก็ตอนนี้จะเป็นนี่คะ ถามใจตัวเองก่อนไหม ที่มาทำดีนี่เพราะอะไรกันแน่ ถ้าแค่เพราะสงสารละก็ ไม่เอาค่ะ ความสงสารหาเอาจากที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นจะอยากได้สักนิด เชอะ!”เวนิสาดึงผ้านวมขึ้นคลุมมิดศีรษะ ปิดกั้นศศินไม่ให้มีโอกาสโต้กลับมา ชายหนุ่มได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยัยตัวแสบต่อให้อ่อนแออย่างไรก็ยังแสบเหมือนเดิม“งั้นฉันกลับละ เธออย่าหลับเลย ใกล้ค่ำแล้ว ตื่นมาหลงเวลาพอดี”“รู้แล้วน่า กลับไปได้แล้วไป ไม่มีงานมีการทำหรือไงนะ” ทำเป็นบ่นอยู่ใต้ผ้านวม พ
“เธอนี่จริงๆ เลย มีความเป็นกุลสตรีบ้างไหม”“20%” เธอตอบออกไปอย่างมึนๆ งงๆ“ฮะ? อะไรนะ”“ก็พี่ถามว่าฉันมีความเป็นกุลสตรีบ้างไหม ฉันก็ตอบนี่ไงว่ามี 20%”“เว-นิ-สา!”“ขา...แหะๆ” ขานรับเสียงอ่อนเสียงหวาน ยิ้มแหยๆ ให้คุณพี่ขา นัยหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ที่มันจุกอยู่ใจใจ“เหนื่อยไหมวี”“คะ? เหนื่อยอะไร ฉันไม่ได้เหนื่อยสักนิด ซักผ้าแค่นี้สบายมาก ใช้เครื่องเหนื่อยตรงไหนล่ะ”ศศินพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ“เธอนี่เป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ปั้นหน้ายิ้มทั้งที่ใจกำลังร้องไห้ ฉันไม่เข้าใจเธอเลย”เวนิสาอึ้งไปอีก น้ำตาเม็ดใหญ่ๆ หล่นจากดวงตาราวสั่งได้ กลั้นใจไม่ให้ร้องโฮ แต่น้ำตาเม็ดโตๆ ก็ร่วงหล่นลงมา ริมฝีปากเธอกำลังสั่น แค่ได้ยินเสียงนี้หัวใจก็ไหวยวบ ปลายเนกไทที่กำลังจุ่มน้ำตาบนสองแก้มเธอก็ยิ่งทำให้เธอร้องหนักเข้าไปอีก พอเถอะ พอแล้ว เลิกเช็ดเสียที จะทนไม่ไหวแล้วนะ!“ร้องไห้เป็นเด็กๆ แล้วหลอกคนอ
[16]ตลกร้าย________หัวใจของรวีกานต์เหมือนถูกกดไว้ด้วยความทุกข์ของเวนิสา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ได้คิดในมุมของเพื่อนรัก ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนรู้สึกอย่างไร แต่มันเพียงพอแล้วหรือกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญ เธอเสียความรู้สึก เสียเพื่อน เสียตัว เธอต้องโทษใคร ต้องหลอกตัวเองไปถึงเมื่อไหร่ว่าทั้งหมดนี่คือความผิดของศศินกับเวนิสา หรือว่าต้องทำอย่างที่ศศินบอก ต้องยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวของเธอเอง“แกอยากให้ฉันเป็นคนผิดเหรอ”เวนิสาส่ายหน้า “ไม่เลย...ความผิดน่ะ ฉันรับเอาไว้คนเดียวก็ได้ แกแค่กลับมาเป็นตะวันของฉันคนเดิม คนที่สดใส คนที่มีรอยยิ้มให้ทุกคน”รวีกานต์ส่ายหน้าดิก มองเวนิสาที มองบอสใหญ่ของตัวเองที มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ หัวใจฉันมันพังไปแล้ว”“เพื่อตัวของแกเองนะตะวัน”เวนิสาเตือนเพื่อน ปาดน้ำตาทิ้งแล้วหันไปมอง ดวงตาของรวีกานต์ยามนี้