'ฟังให้ดีๆ นะคะ ฉันไม่ได้ขอให้พี่แต่งงานกับฉัน หรือคบกับฉัน ไม่จำเป็นต้องรักฉันด้วย พี่แค่ทำยังไงก็ได้ ให้ฉันท้องก็พอ!'
View Moreพระจันทร์สองใจ
[1]
บ่วงพิศวาส
“ฟังให้ดีๆ นะคะ ฉันไม่ได้ขอให้พี่มาแต่งงานกับฉัน หรือคบกับฉัน ไม่จำเป็นต้องรักฉันด้วย พี่แค่ทำยังไงก็ได้ ให้ฉันท้องก็พอ! โอเคนะ!”
นั่นคือประโยคที่กำลังรบกวนจิตใจของ ศศิน ศิวเศขร อย่างหนักหน่วง แม่สาวจอมแสบช่างใจกล้าหน้าด้านมาพูดแบบนั้น หล่อนคงเพี้ยนหรือไม่ก็บ้าไปแล้ว นี่เขาคือใครล่ะ เขาคือ ศศินนะ บิ๊กบอสของ ศิวเศขร คอร์ปอเรชั่น หล่อนกล้าดีอย่างไรมาเสนออะไรพิลึกพิลั่นปานนั้น แม้ทางครอบครัวจะสนิทสนมกัน แต่เขาไม่ได้สนิทกับหล่อนจนเห็นว่าเรื่องที่หล่อนเอ่ยมาจะสามารถตกลงกันได้ด้วยดี บิดาที่รักคิดอะไรอยู่ถึงได้ให้ความร่วมมือกับคนพวกนั้น น่าโมโหจริงๆ แค่ที่ยอมบริจาคสเปิร์มให้เจ้าหล่อนไปทำกิ๊ฟท์ถึงสามครั้ง มันก็มากพอแล้วนะ นับว่าเป็นความกรุณาอย่างที่สุดจากเขาแล้ว
“อา...น่าหงุดหงิดจริงๆ ทำไมหยุดคิดเรื่องยัยบ้านั่นไม่ได้นะ”
ศศินรำคาญตัวเอง เขาวางปากกาลงเมื่อใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่งคอยแต่เข้ามารบกวนจิตใจ กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นกับเขา มันปฏิเสธได้ยากนักในเมื่อมีเรื่องความเป็นความตายเข้ามาข้องเกี่ยว ทว่า...เขาไม่เชื่อทั้งหมดหรอกนะ เขารู้ดีว่าบิดาที่รักกำลังทำสิ่งใดอยู่ ท่านคงหวังให้เขายอมแต่งงานกับยัยตัวแสบ บุตรสาวของผู้มีพระคุณของท่านสินะ แต่อย่าเลย เขายังไม่คิดเรื่องแต่งงานหรอก ยังพอใจในชีวิตอันราบเรียบของตัวเองอยู่
ด้านนอกตึกสูง ท้องฟ้ามืดครึ้มราวราตรีกาล เมฆฝนตั้งเค้ามาตั้งแต่เมื่อเช้า และกำลังตกกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ศศินปัดความคิดเรื่องยัยตัวป่วนออกจากสมอง เขาลุกจากเก้าอี้ทำงาน ร่างสูงสง่าในชุดสูทพอดีตัว ดูปราดเปรียวแคล่วคล่องด้วยการตัดเย็บอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมทาบอยู่ตัวเขาราวกับจับวาง มันพอเหมาะ เข้ารูปจนดูเซ็กซี่แม้เป็นชุดสูทภูมิฐาน
ชายหนุ่มก้าวออกจากห้องทำงาน ใช้ลิฟต์โดยสารเพื่อลงมาด้านล่างพร้อมกับร่มหนึ่งคันในมือ เนื่องด้วยทางเดินที่ทอดสู่ลานจอดรถไร้ที่กำบัง เลขาคนเก่งของเขาเลยเตรียมร่มไว้ให้
จากชั้นยี่สิบลงมาถึงล็อบบีด้านล่างสุดที่โอ่โถงยิ่งกว่าล็อบบีของโรงแรมห้าดาว เวลานี้พนักงานคงกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือเพียงหน่วยรักษาความปลอดภัยกับบรรดาแม่บ้านล่วงเวลาที่กำลังทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง เขาเดินช้าๆ เหลือบมองผนังกระจกโดยรอบ แลเห็นเค้าโครงใบหน้าของตัวเอง มีแต่คนชมชอบใบหน้านี้ ใบหน้างดงามราวกับเทพบุตรผู้มาจากดวงจันทร์ โครงหน้าคมประหนึ่งชาวตะวันตกทั้งที่ไม่มีใครในตระกูลเป็นชาวต่างชาติ คิ้วดกหนาพาดเหนือดวงตาคมดุ จมูกโด่งจนน่าใจหาย ริมฝีปากรูปกระจับที่ไร้การคลี่ยิ้ม
ใบหน้านี้หรือที่ใครๆ ลงความเห็นว่ามันดูดี ไม่รู้สิ...เขารู้สึกเฉยๆ กับมัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา การศึกษาหรือชาติตระกูลและความมั่งคั่ง เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมัน อาจเป็นเพราะชีวิตของเขานี้ สมบูรณ์แบบเกินไปจนน่ารำคาญกระมัง
ศศินคิดผิดอย่างสิ้นเชิงเรื่องพนักงาน ยังมีหนึ่งสตรียืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเขา ร่มที่ถืออยู่ในมือกางออกจนสุด เขาจ้องคนที่ยืนอยู่ เจ้าหล่อนดูกระวนกระวาย ทั้งยังพลิกข้อมือดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่าสลับกับมองหยาดพิรุณที่กำลังกระหน่ำเท
“ยังไม่กลับหรือครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยวาจาถามไถ่ ปกติแล้วพนักงานระดับล่างๆ เขาจะไม่ค่อยเสวนาด้วย ทว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้านี้ กลับดึงดูดให้เขาต้องเอ่ยวาจา หล่อนอยู่ในชุดสูทแบบสาวออฟฟิศ ตัวสูงเกือบจะเท่าเขา ผมของหล่อนยาวประบ่า เซตยุ่งๆ แบบสาวแดนโสม ชุดสูทแบบกางเกงนั้นทำให้เขาเห็นช่วงขาอันเพรียวยาว และเมื่อหล่อนหันมา ใบหน้างดงามก็ทำให้ใจเขาไหวสั่น ใบหน้าที่ดูตื่นตระหนกกลับประทับในหัวใจเขาอย่างน่าตกใจเช่นกัน
“คะ? บะ...บอส เอ่อ...ยังค่ะ...บอสก็เพิ่งกลับหรือคะ”
รวีกานต์ ภคินี ตอบออกไปอย่างประหม่า ไอฝนถูกลมพัดเข้ามา ทว่าไม่ทำให้เธอหนาวเย็นได้เท่ากับการสานสบสายตากับชายรูปงาม
ศศินไม่ตอบในสิ่งที่ไม่จำเป็น “ค่ำมากแล้ว กลับเถอะครับ”
“ค่ะ ฉันรอฝนหยุดน่ะ ถ้าเดินไปป้ายรถเมล์ตอนนี้คงได้เปียกซ่ก ฉันยังต้องไปต่อรถไฟฟ้าอีก ถ้าเปียกคงไม่ดีแน่ๆ ความจริงฉันรอฝนหยุดมาตั้งชั่วโมงแล้วค่ะ”
รวีกานต์เอ่ยรัวเป็นชุด ใจยังเต้นตึกๆ ทำงานที่นี่มาเกือบแปดปี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้คุยกับบอสใหญ่ อย่างเป็นส่วนตัวเสียด้วย
“เอาร่มผมไปก็ได้”
“คะ? แบบนั้นไม่ดีหรอกค่ะ”
ร่มสีนิลสนิทถูกยื่นมาให้รวีกานต์ หญิงสาวรับไว้ด้วยความตื่นเต้นปนมึนงง ก่อนที่ร่างสูงจะวิ่งฝ่าสายฝนไปที่รถของตัวเอง รวีกานต์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอศกรีมช็อกโกแลต มันกำลังละลายเพราะถูกมองจากสายตาเขาและกับสิ่งดีๆ ที่เขามอบให้
“ให้ตายเถอะ! ถ้ารู้ว่าถอดแว่นแล้วโชคดีขนาดนี้ ฉันถอดไปตั้งนานแล้ว”
รวีกานต์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าถือ กำแว่นสายตาแน่นๆ น่าดีใจไหมเล่าที่เธอได้คุยกับเขา บอสใหญ่ หรือรุ่นพี่ที่เธอเคยแอบปลื้ม เธอเคยเรียนที่เดียวกับเขานะ แต่เขาคงจำเธอไม่ได้หรอก แน่ล่ะ เธอกับเพื่อนรักเป็นได้แค่หิ่งห้อยตัวน้อยๆ ตอนอยู่ใต้รั้วมหาวิทยาลัย แต่เขาสิ เขาเหมือนพระจันทร์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงกระจ่างฟ้า เป็นเดือนมหาลัยที่ใครๆ ต่างกล่าวขาน โอ...เหมือนฝันเลย นี่เธอได้คุยกับเขาจริงๆ ใช่ไหม ต้องขอบคุณใครดีนะ ขอบคุณพ่อเด็กน้อยที่ร้านกาแฟดีไหมที่แนะให้เธอถอดแว่นคุณป้าแล้วมาใส่คอนแทคเลนส์แทน
ตอนพิเศษจูบนี้คือสัญญา__________ห้าปีผ่านไปไวเหมือนนิยาย หน้าร้อนปีนี้เวนิสาพาครอบครัวและเพื่อนรักมาพักผ่อนหย่อนใจที่เกาะชื่อดังทางภาคใต้ ด้วยพุงป่องๆ ของการตั้งครรภ์เข้าเดือนที่ห้าของเธอ ทำให้ศศินไม่อนุญาตให้นั่งเครื่องออกนอกประเทศ ทริปวันหยุดสุดหรรษาเลยตกลงปลงใจที่เกาะแห่งหนึ่งในไทยนี่เอง ในยามนี้ปลายภูและรวีกานต์ คงกำลังรำลึกความหลังเมื่อครั้งแต่งงานกันใหม่ๆ คงพากันเดินจูงมือดื่มด่ำคลื่นลมที่ชายทะเล ส่วนเจ๊หวานอาสาดูแลเด็กๆ ให้ ช่างเป็นทริปที่สุขีเกินจะกล่าวจริงๆ“อืม...ถอดหน่อยๆ ไม่ไหวแล้ว...”เวนิสาอ้อนพ่อของลูกอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม ศศินในชุดที่นุ่งเพียงกางเกงขาสั้น สวมเสื้อลายดอกไม่ติดกระดุม อวดแผงอกล่ำๆ ยั่วใจศรีภรรยา เขายังพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยว่าตอนนี้เพิ่งเที่ยงเท่านั้น“ไม่เอา เดี๋ยวชาวบ้านเห็น ไปดูลูกก่อนดีกว่านะคะคนดี” ศศินอ้อนเมีย พยายามดึงมือที่กำลังลูบไล้แผงอกเขา ขนาดท้องอยู่ยังหื่นได้ใจนะแม่ตัวแสบ“ไม่เอา พี่อ่า...เมื่อคืนน้องจูนก็งอแง น้
ในค่ำคืนที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกน้ำค้าง แลเห็นดวงดาราน้อยใหญ่ประปราย ณ ที่ตรงนั้นท่ามกลางหมอกหนาและดาราพร่างพราว พระจันทร์ดวงใหญ่กำลังอวดโฉมสีเหลืองนวลตาเวนิสากับกลุ่มเพื่อนนั่งสังสรรค์กันอยู่ บนระเบียงดูดาวเหนือหลังคาเรือนพัก พวกเขาปูเสื่อลงนั่ง มีผ้าห่มคนละผืน มีเครื่องดื่มวางตรงหน้าทั้งขนมขบเคี้ยวมากมาย เสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุขกระจ่างอยู่บนใบหน้าของทุกคน ตั้งแต่หัวค่ำกระทั่งค่อนคืนเมื่อเบียร์มากกว่าหนึ่งโหลถูกเทใส่กระเพาะน้อย ไม่นานหลังจากนั้นเจ๊หวานก็สลบเหมือด รวีกานต์กับปลายภูอาสาพยุงร่างหมีของเจ๊ลงไปส่งที่ห้องพัก แน่นอนว่าเพื่อนสาวของเวนิสาไม่ได้ขึ้นมาที่ระเบียงดูดาวอีก ตอนนี้จึงเหลือเพียงแม่ดาวพระศุกร์คนงามกับพ่อพระจันทร์ดวงโต“อืม...ทีนี้ก็ไม่มีก้างขวางคอแล้วเนาะ”ศศินว่าแล้วขยับไปหาเวนิสา พาร่างหล่อนนอนลง ใช้ผ้าห่มของตัวเองห่มทับทั้งสองร่างอีกชั้นหนึ่ง เขามองขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางหมอกหนายังแลเห็นดาวพระศุกร์ขึ้นเคียงข้างดวงจันทร์ เขาเผยรอยยิ้มละไม“พี่ยิ้มอะไรคะ”“ฉันน่ะ...เหมือนคนโง่แ
เจ๊หวานพยักหน้าเข้าใจ หากเปรียบผู้ชายเป็นของกินได้ ก็แสดงว่าผ่าน เพราะคนเราก็ยังต้องกินเพื่อความอยู่รอด อย่างน้อยรวีกานต์ก็ไม่ต้องทนง่วงอีกต่อไป เพราะมีม็อคค่าปั่นให้ซดทั้งคืน!“แล้วหล่อนละยะแม่ดาวพระศุกร์ ผู้ชายของหล่อนเป็นยังไง”เวนิสาถอนหายใจเฮือกๆ ศศินนั่นหรือ ยังไงดีล่ะ“ก็ดี...พอมองย้อนกลับไป ก็จำได้ว่าเวลาลำบาก เขาก็คอยดูแล คอยปลอบโยน คอยให้กำลังใจ คอยเป็นเพื่อนคู่คิด แม้ว่าความเจ้าอารมณ์ของเขาจะทำให้ฉันอยากจับเขาลงทอดในกระทะก็เถอะ เขาน่ะ ปากร้ายแต่ใจดี บางครั้งการกระทำกับคำพูดก็สวนทาง เรื่องนี้ฉันต้องทำใจให้ชิน”“แล้วไงยะ ก็โอเคในเรื่องนั้น แล้วเรื่องแซ่บล่ะ แซ่บมะ” เจ๊หวานยิ้มหื่นๆวนิสาหรี่ตามอง นึกว่าเธอจะไม่กล้าตอบหรือ เธอไม่ใช่แม่แสงตะวันผู้เหนียมอายนะ“แซ่บเว่อร์ค่าเจ๊! ฮ่าๆๆๆ”“อ๊ายยย!!!”เจ๊ร้องระงมเพราะถูกใจ เหล่าคนงานและสองหนุ่มเมืองกรุงฯ หันมามองทางพวกเธอ ปลายภูโบกมือใส่รวีกานต์ ส่งยิ้มหวานให้กันอย่างข้าวใหม่ปลามันที่แรกรักน้ำต้มผักยังหวานอยู่ ส่วนศศ
เวนิสาหรี่ตามอง ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง “มาปิดให้ไว!”“คร้าบ! ปิดเดี๋ยวนี้คร้าบ!” ศศินจำต้องเดินรอบเตียงเพื่อมาปิดโคมไฟให้แม่ของลูก เอาเถิด จัดมาเสียให้พอ ให้ต้องโดนเมิน ต้องโดนจิกหัวหรือต้องเป็นทาสก็จัดมา สักวันเมื่อเวนิสาเริ่มเบื่อ หล่อนคงกลับมาเป็นแม่ดาวพระศุกร์ผู้น่ารักของเขาเหมือนเดิมกระมัง_________พระอาทิตย์ดวงใหญ่โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออก เหนือยอดเขา มันเริ่มโผล่ขึ้นมาทีละนิดๆ ราวกับพู่กันอันใหญ่ที่จุ่มสีส้มแดงคอยแต้มแต่งเวิ้งฟ้ารวีกานต์จ้องมันไม่วางตา หมอกน้ำค้างเหนือชายคายังคงแรงอยู่ แต่มิอาจขัดขวางความตั้งใจ รอบๆ เรือนไม้ของปลายภูโอบล้อมด้วยต้นกาแฟเขียวชอุ่ม มันกินพื้นที่ทั่วทั้งหุบเขา ไม่ต้องบอกว่ามีมูลค่าทางการตลาดมากเท่าใด เธอไม่อยากคาดคิดเพราะอาจทำให้ตัวเองจุกความสุขตาย ในที่สุดฝันของเธอก็เป็นจริงสินะ ฝันว่าสักวันจะได้กลายเป็นซิลเดอเรลล่าของเจ้าชายรูปงามความรักที่เธอมีให้ปลายภูนั้น แม้ไม่ได้ถึงขั้นคลั่งไคล้หลงใหล แต่มันคือรักซึมลึกที่เธอเองยังไม่รู้ตัว ไม่ได้หวือหวา แต่แอบผลิดอกงอกงามในจิตใจ คว
[21]คำสัญญาจากพระจันทร์______________ไร่กาแฟ ณ ปลายภู สัปดาห์ถัดมาเรือนไม้หลังงามผุดขึ้นท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อมด้วยต้นกาแฟ เส้นทางลดเลี้ยวยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา ทำให้สองสาวเมารถมากกว่าจะได้ชื่นชมธรรมชาติ กว่าจะนั่งรถขึ้นมาถึงบนนี้ได้ ว่าที่คุณแม่ทั้งสองก็จอดรถอาเจียนไปหลายรอบ รวีกานต์ถึงกับหมดแรงนั่งซบอกพ่อเด็กน้อย ในขณะที่เวนิสานั่งหน้าบูดอยู่เบาะข้างหลังบนรถตู้คันหรู ส่วนเจ๊หวานจ้อเจรจาอยู่ด้านหน้ากับคนขับรถวัยขบเผาะหุ่นล่ำหน้าโหด ที่ถูกใจนางเสียเหลือเกิน“ใกล้ถึงแล้วครับ ตะวันไหวไหม”รวีกานต์ส่ายหน้า ปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อจะได้กอดปลายภูดีๆ เธอซุกหน้าเข้าหาอกเขาราวลูกแมวตัวน้อยที่ต้องการไออุ่นจากเจ้าของ ปลายภูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบใจนักเวนิสามองเพื่อนรักกับปลายภูผ่านทางช่องว่างระหว่างเบาะนั่ง ได้แต่เบะปากใส่เพราะหมั่นไส้“นี่! แกจะอ้อนเด็กเพื่อ!?”“เรื่องของฉันน่า นั่งเงียบๆ ไปเลย คนจะสวีตกัน เนาะภูเนาะ”รวีกานต์ยิ้มหวานอย
“แล้วเธอมาทำไม!” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ค่อยพอใจนัก จากแค่ประหม่ามึนงง ก็เริ่มมีอารมณ์โกรธเข้ามาปะปน เวนิสากำลังป่วนประสาทเขาอีกแล้วใช่ไหม“มาทำธุรกิจ”“หือ?”คนสวยยิ้มแป้น ก่อนจะอธิบาย“เรามาทำธุรกิจกัน เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต”“ยังไง”“ง่ายๆ เลย เราก็แค่ทำให้คนรอบข้างเรา เช่นพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูง เข้าใจว่าเราสองคนตกลงกันได้เรียบร้อย พี่ก็รู้นี่ ตอนนี้แม่ถามยิกๆ ว่าเมื่อไหร่ฉันจะแต่งงานกับพี่ เมื่อเช้าพ่อพี่ก็โทรมา เพื่อนฉันขู่จะคว่ำบาตรถ้าไม่คืนดีกับพี่ ฉันเลยคิดว่า เพื่อความสบายใจของคนที่รักเราทุกๆ คน ฉันควรเสียสละความไม่สะดวกน้อยนิดแล้วร่วมมือกับพี่น่ะ”“ร่วมมืออะไร ไม่เห็นเข้าใจ” ศศินชักงง“เฮ้ย...พี่นี่โง่ปะเนี่ย พูดไปตั้งเยอะไม่เข้าใจได้ยังไง”“นี่ด่าฉันเหรอ!”“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ!” ตะคอกมาตะคอกกลับ เวนิสาไม่โกงศศินหุบปากฉับ“เอาแบบนี้แหละ พี่เข้าใจแล้วนะ บอกพ่อพี่
Comments