ยุคอดีต
ทะเลทรายพระจันทร์เสี้ยว ผืนทรายกว้างใหญ่ไพศาลกินพื้นที่มิอาจคาดคะเนได้ว่าจะสุดแผ่นดินเม็ดทรายสีทองนี้สิ้นสุดลงอยู่ ณ ที่ใด กองทัพขนาดใหญ่ซึ่งมีชีวิตของทหารล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์กว่าห้าหมื่นนาย ตั้งค่ายอยู่บนเนินทรายที่มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่หรือคนทั่วไปในเขตรอยต่อสามแคว้นต่างพากันเรียกว่า ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว ทะเลสาบดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตแดนของพื้นที่ซีโจว ซึ่งมีเชื้อสายจากราชวงศ์โจวปกครองดินแดนอยู่ในขณะนั้นสืบต่อมาภายหลังจากที่ราชวงศ์ซางล่มสลายเมื่อถูกราชวงศ์โจวขึ้นปกครองแทน บริเวณดังกล่าวเป็นโอเอซิสที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกลางทะเลทราย ที่คนทั่วไปใช้เป็นที่พักแรมก่อนจะเดินทางซึ่งนับต่อจากนี้ไปเบื้องหน้า มองไปแห่งหนใดจะมีเพียงผืนทรายปกคลุมไปทั่วปฐพี เสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาตามเนินทรายที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าท่ามกลางเนินทรายอันเวิ้งว้างปรากฏค่ายทหารขนาดใหญ่ มีชีวิตทหารผู้กล้าประมาณห้าหมื่นนายจากแคว้นซางตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทั่วบริเวณมีทหารรักษาการณ์ยืนเรียงรายเป็นทิวแถว ประหนึ่งว่ากำลังอารักขาบุคคลสำคัญเป็นยิ่งนักที่พำนักอยู่ในค่ายทหารดังกล่าว ภายในกระโจมใหญ่ซึ่งเป็นที่พำนักของแม่ทัพไร้พ่าย สมญานามอันเลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น ในขณะนั้นไม่มีใครจะไม่รู้จักถึงความเก่งกาจ หาญกล้าของแม่ทัพผู้นี้ หรือตัวตนอันที่แท้จริงนั้นก็คือองค์ชายโจวโยว่เฉิงจากราชวงศ์โจวตะวันตกหรือซีโจว เชื้อพระวงศ์องค์สุดท้ายที่ยังมีพระชนม์ชีพเหลืออยู่ก่อนจะถูกสตรีแพศยาซึ่งอดีตคืออู๋ฟูเหรินและชู้รักไค๋หยวนฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของไท่เจิ้งอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ทำการก่อกบฏ ทั้งสองวางแผนลอบปลงพระชนม์อดีตฮ่องเต้และฮองเฮารวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ. เมืองหลวงเฮ่าจิง ก่อนจะใช้กำลังทหารที่ซ่องสุ่มเอาไว้บุกเข้ายึดพระราชวังหลวงจนตกอยู่ในกำมือของหญิงโฉดชายชั่วทั้งสองเป็นผลสำเร็จ เหลือเพียงองค์ชายน้อยโจวโยว่เฉิง ซึ่งในขณะนั้นทรงมีพระชนม์มายุเพียง 1 ชันษาเท่านั้นที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ด้วยเพราะก่อนจะเกิดเหตุการณ์ก่อกบฏนั้น พระองค์ถูกไท่เจิ้งฮ่องเต้พระบิดา ทรงมีพระบัญชาให้นำพระโอรสน้อยออกจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเทือกเขาหลิวไถ่เพื่อรักษาพระอาการประชวรตั้งแต่แรกประสูติ ด้วยเพราะพระองค์ทรงประชวรเป็นโรคประหลาด มิอาจหาสาเหตุได้ อาการประหลาดที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ จะทรงบรรทมไปเสียดื้อๆ ไม่ว่าในขณะนั้นจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม หากพระอาการเกิดในขณะที่กำลังเสวยพระกระยาหารก็จะบรรทมทันที ไม่เลือกเวลาและเลือกสถานที่ ตรงกันข้ามกับเวลาที่ตื่นจากบรรทม พระองค์จะทรงตื่นขึ้นมาโดยพลันครั้นเมื่อครบกำหนดสิบวันและจะเป็นเช่นนี้ทุกครา ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้องค์ชายโจวโยว่เฉิง ผู้ซึ่งสืบสายพระโลหิตแท้ๆ ของอดีตฮ่องเต้และอดีตฮองเฮาพระองค์ก่อนและยังเป็นรัชทายาทที่ต้องได้ขึ้นปกครองราชวงศ์โจวสืบต่อไป จึงรอดตายจากเหตุการณ์ก่อกบฏในครั้งนั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยัง ถูกตามล่าหมายพระชนม์ชีพตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนานกว่า 23 ปีเท่ากับพระชนมายุปัจจุบันของรัชทายาทไร้บัลลังก์โจวโยว่เฉิง จากองค์ชายน้อยประชวรด้วยโรคประหลาดในครั้งอดีต เจริญพระชันษากลายเป็นองค์ชายหนุ่มรูปงาม พระพักตร์หล่อเหลาหวานคมซึ้ง รับกับพระฉวีสีเข้ม ด้วยเพราะทรงกรำศึกสงครามในฐานะแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นซาง และสาเหตุที่พระองค์สามารถมีพระชนม์ชีพมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ด้วยเพราะทรงเข้าสวมรอยบุตรชายเพียงคนเดียวของขุนศึกตระกูลเยว่ จากแคว้นซางนามว่าเยว่เหวินเทียน คุณชายน้อยจากตระกูลเยว่มีอาการป่วยจนทรุดหนักต้องเดินทางขึ้นเทือกเขาหลิวไถ่เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยดังกล่าว หากแต่กลับไปไม่ถึงจุดหมายด้วยระหว่างทางถูกโจรป่าดักปล้นกลางทางเสียก่อน ทุกชีวิตถูกสังหารจนมิเหลือรอดแม้แต่เพียงผู้เดียวไม่เว้นแม้กระทั่งบ่าวไพร่ผู้ติดตาม ทุกคนถูกสังหารเสียชีวิตทั้งนายและบ่าวรวมไปถึงฮูหยินใหญ่ของตระกูลเยว่ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับบุตรชายเพียงคนเดียวของนางก็จบชีวิตลงไปพร้อมกัน ในขณะที่องค์ชายน้อยซึ่งอยู่ในระหว่างการเดินทางมายังเทือกเขาหลิวไถ่เช่นเดียวกัน และองครักษ์คนสนิทของไท่เจิ้งฮ่องเต้ติดตามมาทันตามพระบัญชาสั่งเสียสุดท้ายให้เฝ้าคอยอารักขารัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวให้ทรงมีพระชนม์ชีพสืบต่อไปให้ได้ ราชองค์รักษ์คนดังกล่าวนามว่าเหอผิง ได้เข้าช่วยเหลือคนจากสกุลเยว่จากโจรป่าที่รุมทึ้งเอาทรัพย์สินหลังจากสังหารเจ้าทรัพย์ตายจนหมด แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจรักษาชีวิตของผู้ใดเอาไว้ได้แม้แต่ผู้เดียว ซึ่งก่อนที่ฮูหยินใหญ่จากตระกูลเยว่จะสิ้นลมหายใจนางได้ฝากฝังบุตรชายเพียงคนเดียวของนางพร้อมป้ายหยกประจำตัวของเด็กน้อยเอาไว้ให้กับองครักษ์คนดังกล่าวเพื่อนำบุตรชายไปรักษาตัวและกลับคืนสู่ตระกูลต่อไป ทว่าคำสั่งเสียของนางที่อุตสาห์ฝากฝังบุตรชายเพียงคนเดียวเอาไว้กลับไม่เป็นดั่งที่นางหวังเอาไว้ ด้วยเด็กน้อยสิ้นลมหายใจเพราะถูกคมดาบของโจรป่าไปเสียแล้ว และนั่นทำให้องครักษ์เหอผิงสามารถหาวิธีซ่อนเร้นรัชทายาทของอดีตฮ่องเต้ได้ประจวบเหมาะ องค์ชายโจวโยว่เฉิงจึงได้เข้าสวมรอยเป็นคุณชายน้อยเยว่เหวินเทียนจากตระกูลเยว่ นับตั้งแต่บัดนั้น อีกทั้งองค์ชายน้อยโจวโยว่เฉิง ประสูติในเดือนเดียวกันและปีเดียวกันกับคุณชายน้อยเยว่เหวินเทียน เพียงแต่องค์ชายน้อยอ่อนกว่าเพียงสิบห้าวันเท่านั้น ซึ่งช่างบังเอิญเสียนี่กระไรที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงทำให้เข้าสวมรอยเป็นคุณชายน้อยเยว่เหวินเทียนได้อย่างแนบเนียน และนั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้องค์ชายโจวโยว่เฉิง รัชทายาทที่แท้จริงของราชวงศ์โจวตะวันตกในขณะนั้นจึงยังมีพระชนม์ชีพอยู่สืบต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้ พระองค์กลับกลายมาใช้ชีวิตเป็นเยว่เหวินเทียนบุตรชายคนสุดท้องของเยว่เหวินฉิงกับเฉินฮูหยิน อดีตฮูหยินใหญ่ผู้ล่วงลับ พระองค์อยู่ในคราบของคุณชายตระกูลเยว่ ประทับอยู่เทือกเขาหลิวไถ่รักษาพระอาการประชวรประหลาดนานติดต่อกันถึงสิบปีเลยทีเดียว การใช้ชีวิตบนเทือกเขาดังกล่าวทำให้องค์ชายน้อยทรงเรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมราวฟ้ากับดิน และเรียนรู้วิทยายุทธ์พร้อมฝึกฝนฝีมือให้กล้าแข็งกับบรรดาจอมยุทธ์ที่ขึ้นเทือกเขามาเพื่อให้เจ้าสำนักหมอยาและยังเป็นแหล่งรวบรวมสมุนไพรหมื่นพิษ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่บนเทือกเขาหลิวไถ่ทั้งหมด จนทำให้องค์ชายโจวโยว่เฉิงรอบรู้และปราดเปรื่องทั้งการใช้พิษและรักษา รวมไปถึงมีฝีมือเยี่ยมยุทธ์จนยากที่จะหาผู้ใดเปรียบเทียบฝีพระหัตถ์ได้ ทั้งนี้ทรงทุ่มเทพระวรกายและพระทัยจนหายจากอาการประชวรจากโรคประหลาดหลังจากใช้เวลารักษาถึงสิบปีเต็มจึงหายเป็นปลิดทิ้ง เพื่อวางแผนกลับเข้ามาในราชสำนักกอบกู้บัลลังก์ของพระองค์กลับคืนจากไค๋หยวนฮ่องเต้ เสด็จอาผู้โฉดชั่วของพระองค์ ภายหลังจากที่ไค๋หยวนฮ่องเต้ได้ขึ้นปกครองราชวงศ์โจวเป็นผลสำเร็จ จึงได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งพระโอรสลับ ซึ่งมีพระนามเล่นแรกประสูติว่าซุนซุนที่ประสูติจากอู๋ฟูเหรินภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา ถูกนำไปฝากเลี้ยงไว้กับเจ้าผู้ครองแคว้นซางพระนามว่าจีหยวนในฐานะพระโอรสบุญธรรม ฮ่องเต้ไค๋หยวนต้องการให้พระโอรสลับกลับคืนสู่ชนชั้นเชื้อพระวงศ์โจว ซึ่งเป็นผู้ปกครองทุกแคว้นทั้งหมดในเวลานั้นตามเดิม โดยอ้างว่าเป็นพระโอรสที่ประสูติจากอู๋ฟูเหรินกับไค๋หยวนฮ่องเต้ ก่อนที่นางจะถูกนำตัวเข้าวังเพื่อมาถวายตัวเป็นพระสนมของไท่เจิ้งอดีตฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ หากแต่พระองค์กลับไม่นำพระโอรสกลับคืนสู่ซีโจวยังคงให้ประทับอยู่ที่แคว้นซางตามเดิมและไม่เคยเสด็จมาเยี่ยมแม้แต่ครั้งเดียวจะด้วยเหตุผลกลใดนั้นเรื่องนี้ก็มิอาจล่วงรู้ได้ จวบจนกระทั่งพระสนมเอกของไค๋หยวนฮ่องเต้ ได้ประสูติพระราชโอรสให้แก่พระองค์ ครั้นพระโอรสต่างเจริญวัยครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงมีพระประสงค์จะแต่งตั้งรัชทายาทครอบครองบัลลังก์แห่งซีโจวต่อไป และนั่นทำให้อู๋ฮองเฮามิอาจวางเฉยได้ ด้วยเพราะพระโอรสลับของพระนางยังคงประทับอยู่ที่แคว้นซาง ในขณะที่พระโอรสของนางสนมประทับอยู่ในวังหลวงและมีแนวโน้มว่าจะได้ขึ้นเป็นฮองเต้แห่งซีโจวในอนาคตสืบต่อไป ด้วยเพราะไม่มีข้อครหาให้เหล่าขุนนางทั้งหลายได้ทำการท้วงติงเฉกเช่นพระโอรสลับของพระนาง ซึ่งทำการเล่นชู้กับไค๋หยวนฮ่องเต้เมื่อครั้งยังเป็นเพียงนางสนมชั้นเอกเท่านั้น อู๋ฮองเฮาจึงมีพระบัญชาให้ติดตามพระโอรสลับของพระนางที่ฝากเลี้ยงอยู่ที่แคว้นซางให้กลับคืนสู่วังหลวงเพื่อครอบครองตำแหน่งรัชทายาทแห่งซีโจว ทว่าแลดูราวกับว่าพระโอรสลับผู้นั้นจะมิสามารถหวนกลับคืนสู่ราชวงศ์ดั่งตามพระประสงค์ของอู๋ฮองเฮาได้อย่างราบรื่น ด้วยเพราะพระสนมเอกพระนามว่าฮั่วซีได้ส่งนักฆ่ามาลอบปลงพระชนม์พระโอรสลับของอู๋ฮองเฮาถึงแคว้นซาง แต่ปรากฏว่าผิดแผน เพราะเจ้าผู้ครองแคว้นซางมิได้ชุบเลี้ยงพระโอรสลับให้แก่ไค๋หยวนฮ่องเต้ภายในพระราชวังหลวงของต้าซางแต่กลับส่งไปประทับที่อื่นนอกเขตพระราชวัง ซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากเจ้าผู้ครองแคว้นจีหยวน และอีกผู้หนึ่งที่ล่วงรู้ล่วงนี้นั่นก็คือองค์ชายโจวโยว่เฉิงในคราบของแม่ทัพเยว่เหวินเทียนนั่นเอง ซึ่งได้กลายเป็นแม่ทัพคุมกองทหารทั้งหมดให้กับแคว้นซาง มีผลงานจากการทำศึกบุกประชิดตีแคว้นน้อยใหญ่มากมายจนทำให้แคว้นซางแผ่ขยายอำนาจไปทั่วแดนดิน องค์ชายรูปงามก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นด้วยพระชนมายุเพียง 17 พระชันษาเท่านั้น จนเหล่าแคว้นน้อยใหญ่ต่างขนานนามให้แก่พระองค์ว่าทรงเป็นแม่ทัพไร้พ่าย ออกรบคราใดไม่มีคำว่าพ่ายแพ้เลยสักครา “รายงาน! รายงานข่าวด่วนจากราชสำนัก”เสียงร้องตะโกนเอ็ดอึงของผู้มาเยือนพร้อมกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ววิ่งตรงดิ่งไปยังหน้าประตูค่าย พร้อมชูตราประจำตัวของตนทันที “ข้าเนี่ยนเจินขอเข้าพบท่านแม่ทัพเป็นการด่วน!”ผู้มาเยือนบ่งบอกถึงเจตจำนงของตน ในขณะที่ทหารรักษาการณ์หน้าประตูมองตราที่อยู่ในมือเพียงครู่ “ตราจากวังหลวง!เปิดประตู!เปิดประตูค่าย!!”กล่าวพลางรีบเปิดทางให้ทันทีพร้อมร่างสันทัดรีบวิ่งเข้าไปในค่ายทหารอย่างรวดเร็วบริเวณพื้นที่โล่งตรงข้ามกับโต๊ะทรงงาน จู่ๆ ก็เกิดกลุ่มควันขาวล่องลอยปกคลุมไปทั่วคล้ายสายหมอกจางๆ อยู่ทางเบื้องหลังของพระสหายสนิทในขณะที่พระองค์ทรงยืนอยู่ไม่ไกลจากบริเวณดังกล่าวพรึ่บ!!! ร่างระหงของมาเฟียสาวไป๋หลันฮวาจากยุคอนาคตปรากฏกายขึ้นมาโดยพลันต่อหน้าแม่ทัพไร้พ่ายในอดีตกาล ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเต็มสองตา ในขณะที่อีกฝ่ายมัวแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านอักษรจากกระดองเต่าที่อยู่ในมือของเธอโดยมิเงยหน้าขึ้นมามองเหตุการณ์ตรงหน้าแม้แต่น้อย“เฮ้ย!ยังมีจารึกด้านหลังอีกด้วยวุ้ย”หญิงสาวกล่าวพร้อมพลิกกระดองเต่าดังกล่าวกลับด้านที่มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวทันทีพร้อมอ่านอักษรโบราณที่จารึกออกมาทันใดหากแม้นดวงชีพในอดีตมีภัยจงกลับคืนสู่แผ่นดินที่จากมา และชีวิตอันไกลโพ้นให้ห้วนคืนสู่ดินแดนก่อนกาลเมื่อร่ายคาถาบดบัง สิ้นเสียงของหญิงสาว กระดองเต่าซีกที่ประกบอยู่ด้านหลังจู่ๆ ก็กระเด็นออกจากมือของเธอทันทีฟิ้ววววว!!!! กระดองเต่าซีกด้านหลังกระเด็นออกจากมือของหญิงสาวลอยเคว้งคว้างไปมาอยู่กลางอากาศ พร้อมเสียงของไป๋หลันฮวาดังทิ้งท้ายเอาไว้ก่อน
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันพรึ่บ!!! ร่างระหงของไป๋หลันฮวาปรากฏกายขึ้นมาโดยพลันท่ามกลางสายหมอกขาวค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ ในขณะที่เธอกำลังก้มลงมองพื้นเพื่อควานหากระดองเต่าซีกที่ประกบอยู่ทางด้านหลังไปทั่วบริเวณจุดที่กำลังยืนอยู่ในขณะนี้“เอ้า!..ตกหล่นหายไปไหนเนี่ย จู่ๆ ก็กระเด็นออกจากมือไปเสียเฉยๆ มันเป็นไปได้อย่างไงว้าแปลกจริงเชียว”หญิงสาวบ่นรำพึงรำพันไม่ขาดสาย“อ้าวก้มๆ เงยๆ กำลังหาอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ”เสียงของหวังเหล่ยเอ่ยดังขึ้นอยู่ทางด้านหลังและนั้นทำให้ใบหน้าสวยเฉี่ยวคมคายของแม่มาเฟียสุดเฮี้ยวเงยขึ้นก่อนจะหันกลับไปมองตามเสียงดังกล่าวทันที“ฉันทำกระดองเต่าซีกด้านหลังหล่นพื้นวะ เห็นชัดๆ ว่ากระเด็นออกจากมือแต่ทำไมไม่เห็นว่าตกอยู่ที่พื้นเลยว้า ไม่รู้ตาฝาดหรือตาถั่วกันแน่ก็ไม่รู้”หญิงสาวบ่นให้กับตัวเอง“เอาสักอย่างสิว่าจะตาฝาดหรือตาถั่วกันแน่แม่คุณ สงสัยเป็นเพราะแกเหนื่อยกับการเดินทางมาตลอดกระมังก็เลยเห็นอะไรเพี้ยนๆ ไปก็ได้ เอานี่กาแฟตามที่สั่งไ
“เฮ้ยใครวะ!วิ่งชนซะมึนไปเลย”หญิงสาวนั่งบ่นพึมพำ ก่อนจะหันกลับไปมองร่างของหญิงชราที่กำลังพยายามยันกายของนางให้ลุกจากพื้น “โอโห่!นี่เราอ่อนแอถึงขนาดหญิงชราชนทีเดียวถึงกับล้มลงไปกองกับพื้นเลยเหรอวะเนี่ย”ไป๋หลันฮวาบ่นพึมพำให้กับตัวเองด้วยความแปลกใจ พลางจ้องหญิงชราตรงหน้าเขม็ง “เป็นอะไรหรือเปล่า”หวังเหล่ยรีบเข้ามาประคองร่างของเพื่อนสาว “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก รีบไปดูคุณยายแกก่อนเถอะ คงจะล้มไปกับพื้นอย่างแรงเลยนะ”เธอบอกพร้อมรีบลุกขึ้นยืนพลางตรงเข้าไปประคองร่างหญิงชราที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสามารถชนร่างของเธอจนกระเด็นและล้มฟุบไปกับพื้นได้ “คุณยายเป็นอะไรไหม!เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”หญิงสาวถามกลับไปตามสไตล์สาวห้าวในแบบฉบับของเธอ ข้างฝ่ายหญิงชราวัยเกือบเจ็ดสิบปี ที่ถูกชายหนุ่มหญิงสาวช่วยกันประคองขึ้นมานั้นนางพยักหน้า
ยุคอดีตทะเลทรายพระจันทร์เสี้ยว ผืนทรายกว้างใหญ่ไพศาลกินพื้นที่มิอาจคาดคะเนได้ว่าจะสุดแผ่นดินเม็ดทรายสีทองนี้สิ้นสุดลงอยู่ ณ ที่ใด กองทัพขนาดใหญ่ซึ่งมีชีวิตของทหารล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์กว่าห้าหมื่นนาย ตั้งค่ายอยู่บนเนินทรายที่มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่หรือคนทั่วไปในเขตรอยต่อสามแคว้นต่างพากันเรียกว่า ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวทะเลสาบดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตแดนของพื้นที่ซีโจว ซึ่งมีเชื้อสายจากราชวงศ์โจวปกครองดินแดนอยู่ในขณะนั้นสืบต่อมาภายหลังจากที่ราชวงศ์ซางล่มสลายเมื่อถูกราชวงศ์โจวขึ้นปกครองแทนบริเวณดังกล่าวเป็นโอเอซิสที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกลางทะเลทราย ที่คนทั่วไปใช้เป็นที่พักแรมก่อนจะเดินทางซึ่งนับต่อจากนี้ไปเบื้องหน้า มองไปแห่งหนใดจะมีเพียงผืนทรายปกคลุมไปทั่วปฐพี เสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาตามเนินทรายที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าท่ามกลางเนินทรายอันเวิ้งว้างปรากฏค่ายทหารขนาดใหญ่ มีชีวิตทหารผู้กล้าประมาณห้าหมื่นนายจากแคว้นซางตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทั
ในขณะเดียวกันภายในกระโจมที่พัก พระวรกายงามสง่านั่งอยู่บนตั่งที่ประทับทอดพระเนตรรายงานข่าวสารจากทั่วทุกเขตชายแดนให้พระองค์ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของแคว้นเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อยู่ติดกับแคว้นซางของพระองค์ซึ่งทางทิศเหนือติดกับแคว้นเฉิน ทิศตะวันออกติดกับแคว้นหยาง ทิศตะวันตกติดกับแคว้นเกา ทิศใต้ติดกับแคว้นไค่ ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรเมื่อร่างสันทัดก้าวเข้ามาภายในกระโจมดังกล่าว ใบหน้าคมคายของผู้มาเยือนหันกลับไปสำรวจรอบกระโจมก่อนจะได้ยินแม่ทัพผู้กล้าเอ่ยขึ้น “ข้าอยู่เพียงลำพัง เจ้ามิต้องกังวลมีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นกระนั้นรึ จึงมาหาข้าถึงเขตชายแดนแห่งนี้”แม่ทัพไร้พ่ายถามอีกฝ่ายกลับไป “ข้ามีข่าวด่วนส่งตรงมาจากทางวังหลวง!”เนี่ยนเจินรายงานทันทีที่มาถึง “ข่าวด่วนจากวังหลวงคงไม่พ้นงานพระราชทานพิธีอภิเษกสมรสบรรดาองค์หญิงของเจ้าผู้ครองแคว้นอีกแล้วละสิ แล้วนี่องค์หญิง
สนามบินนานาชาติต้าชิงบริเวณผู้โดยสารขาออก สนามบินปักกิ่ง ต้าซิง (Beijing Daxing International Airport) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 700,000 ตารางเมตร หรือเทียบเท่าสนามฟุตบอลมาตรฐานโอลิมปิก เกือบ 100 สนาม มีรันเวย์ทั้งหมด 7 รันเวย์ ช่วยรองรับปริมาณเครื่องบินได้ 620,000 เที่ยว ต่อปี สนามบินแห่งใหม่นี้ ถูกออกแบบตามท่าทางสยายปีกของนกฟีนิกซ์ จากฝีมือสถาปนิกหญิงผู้ล่วงลับอย่าง Zaha Hadid แต่ด้วยรูปทรงอาคาร 5 แฉก คล้ายปลาดาว สื่อจีนจึงเรียกขานกันว่า “สนามบินปลาดาว” ส่วนภายในอาคารผู้โดยสารนั้น มีการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น การเช็คอินด้วยตนเอง การเช็คอินสัมภาระด้วยตนเอง การใช้ระบบสแกนใบหน้า เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย รวมถึงอุปกรณ์ระบุตัวตนด้วยคลื่นวิทยุ เพื่อติดตามสัมภาระของผู้โดยสารได้อย่างเรียลไทม์ผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ นั่นหมายความว่า ผู้โดยสารไม่ต้องใช้เอกสารใด ๆ ตลอดกระบวนการ ตั้งแต่เช็คอินไปจนถึงขึ้นเครื่อง และผู้โดยสารสามารถเดินทางจากใจกลางนครหลวงปักกิ่ง สู่ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ต้าซิง ด้วยรถไฟความเร็วสูง (Daxing Airport Express) ในเวลาไม