ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังเข้าสู่โสตประสาท จึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างรีบเร่ง เนื่องจากเขามีนัดตรวจคนไข้ในเช้านี้ ทิวากรรีบหยิบเสื้อผ้าที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมาสวมใส่แล้วหันไปมองหญิงสาวที่ยังคงหลับใหลอยู่ ก่อนจะออกไปเขาไม่ลืมที่จะปลุกเธอเพื่อบอกสิ่งสำคัญที่เธอต้องไปจัดการ
“คุณ อย่าลืมกินยาคุมฉุกเฉินด้วยนะ” ชายหนุ่มพูดออกมาเสียงดัง เขารู้ดีว่าการรับประทานยาชนิดนั้นอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของฝ่ายหญิง แต่ในเมื่อมันเป็นเหตุสุดวิสัยจึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันไว้ก่อน
“อื้อ” หญิงสาวรู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนพูดอยู่ข้างหู
“เฮ้ อย่าลืมนะ” เขาย้ำเตือนเธออีกครั้ง
“อือ” มิลินตอบรับส่งๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อน” เขาพูดเสร็จรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที
ช่วงบ่ายของวัน...
หญิงสาวลืมตาขึ้นมาอัตโนมัติแล้วหันไปมองรอบๆ ด้วยความตกใจ เมื่อตั้งสติได้รีบพยุงร่างกายที่รู้สึกร้าวระบมไปทั้งตัวขึ้นนั่ง เธอไล่สายตาก้มมองสภาพตัวเองพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูจากสภาพก็รู้ว่าเมื่อคืนเธอทำอะไรลงไป แถมยังจำใบหน้าคนที่เธอนอนด้วยไม่ได้อีก พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออกจึงนั่งทึ้งผมแล้วตำหนิตัวเองอย่างหัวเสีย
“บ้าไปแล้ว มิลิน”
ไม่รอช้า เธอรีบลุกขึ้นแต่งตัวแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านขายยา อย่างน้อยๆ ควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน ถึงแม้ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะมีโรคร้ายอะไรหรือเปล่า
มิลินรับยาคุมฉุกเฉินมาจากเภสัชกรแล้วรีบใส่มันลงในกระเป๋าสะพาย จากนั้นเธอเดินไปโบกแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ไม่นานรถก็มาจอดบริเวณรั้ว ซึ่งมีผู้ชายสามคนกำลังขนของออกมาจากในตัวบ้านและกระเป๋าที่ชายคนนั้นลากออกมาก็เป็นกระเป๋าเดินทางของเธอเอง
“พวกคุณมาทำอะไรคะ” เธอถามชายคนหนึ่งในสามคนนั้นด้วยความสงสัย
“คุณวายุที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ให้ผมมาขนของคุณออกไปครับ” ชายคนนั้นพูดน้ำเสียงสุภาพ
หญิงสาวได้ยินถึงกับชะงัก หน้าถอดสีทันที
“ฉันขอโทรคุยกับวายุสักครู่นะคะ”
เขาพยักหน้า
หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าแต่กลับไม่มีมันอยู่ในนั้น เธอคงทำตกไว้ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ มิลินคิดแล้วถอนหายใจพรืดออกมาในความซวยซ้ำซวยซ้อนของตัวเอง
“ฉันขอยืมมือถือหน่อยได้มั้ยคะ” เธอตัดสินใจยืมของชายตรงหน้า
หญิงสาวโทรไปเบอร์ตัวเองแต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับ จากนั้นต่อสายหาวายุเพื่อถามเรื่องบ้านกับเขา ไม่นานชายหนุ่มก็รับสาย
(สวัสดีครับ)
“วายุ นี่มันเรื่องอะไรกัน” เธอถามเขาเสียงนิ่งอย่างข่มอารมณ์
(ยุ ให้คนพวกนั้นไปเอาของลินออกมาเอง แต่ยุส่งข้อความไปบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ว่าจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นเรือนหอของยุกับไลลา) ชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงปลายสายก็จำได้ทันที เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ แล้วลินจะไปอยู่ที่ไหน” มิลินถามอดีตคนรักด้วยหัวใจที่เจ็บปวด น้ำใสๆ เริ่มปริ่มบริเวณขอบตา
(แต่บ้านหลังนั้นเป็นของยุ ยุจะทำอะไรกับมันก็ได้)
“ถ้าอย่างนั้นก็เอารถมาคืนลินสิ”
(ยุขายมันไปแล้ว)
“เหอะ! ไม่อยากจะเชื่อ ลินรักคนแบบนี้ไปได้ยังไง” เธอแค่นหัวเราะ
มิลินรับรู้ถึงความเงียบของคนปลายสาย เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วพูดขึ้น
“ขอถามอะไรหน่อยสิ ทำไมถึงทำแบบนี้ ลินทำอะไรผิดเหรอ แล้วแอบคบกับเธอคนนั้นมานานแค่ไหน” หญิงสาวถามเขาเสียงเบาหวิว ทุกคำถามล้วนทำให้เธอเจ็บปวดและรู้ดีว่าคำตอบที่ได้อาจจะทำให้มันเจ็บขึ้นอีกหลายเท่า
(ลินไม่ได้ผิดอะไร ยุผิดเองที่ไปหลงรักเธอคนนั้น ยุนอกใจลินมาเป็นปีแล้ว)
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอจนเธอต้องเงียบอยู่นาน เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจมน้ำ จมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ จนหายใจไม่ออก
“มีอะไรที่ลินต้องรู้อีกหรือเปล่า” เธอเปล่งเสียงถามเขาอย่างยากลำบาก
(ไม่มี)
“อืม เข้าใจแล้ว ลินจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก”
พูดเสร็จหญิงสาวก็กดตัดสายแล้วเดินเอาโทรศัพท์มือถือไปคืนชายคนนั้น
“ขอบคุณนะคะ”
“พวกผมเก็บของตามที่คุณวายุสั่งแล้วนะครับ ว่าแต่คุณจะเข้าไปเอาอะไรเพิ่มรึเปล่าครับ”
“ไม่แล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
หญิงสาวยืนมองบ้านสไตล์โมเดิร์นสองชั้นหลังใหญ่ตรงหน้าผ่านม่านน้ำตา มันเคยเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่นและความผูกพัน
เธอคิดมาตลอดว่าชายหนุ่มเองก็อยากใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกันกับเธอ หญิงสาวมีวายุเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจหลังจากมารดาของเธอเสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย เมื่อสามปีก่อน แม่ของเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่สุดแสนจะเข้มแข็งและไม่เคยร้องไห้ให้เธอเห็นเลยสักครั้ง แม้วันสุดท้ายที่จากไป ผู้เป็นมารดายังคงส่งรอยยิ้มให้เธอเพื่อเป็นการบอกลา
วายุเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆ เธอทุกสถานการณ์ในชีวิต แต่วันนี้คนๆ นั้น กลับไม่ได้ต้องการที่จะยืนข้างๆ เธออีก ผู้ชายที่เธอคิดว่ารู้จักเขาดีกลับกลายเป็นว่าแทบจะไม่รู้จักเขาเลย เธอไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนเพราะไว้ใจและเชื่อใจเขาอย่างสุดหัวใจ
มิลินย้ายเข้ามาอยู่ห้องเช่าเล็กๆ ใกล้กับสนามบิน เธอเลือกที่นี่เพราะงานที่เธอทำแทบจะไม่ได้นอนอยู่ห้อง และช่วงนี้ตารางบินของเธอก็ค่อนข้างแน่น จึงไม่อยากเช่าห้องแพงๆ ทิ้งไว้ให้เปลืองเงิน จะได้นำเงินส่วนนั้นเก็บไว้ซื้อบ้านสักหลัง
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหลืออะไรในชีวิต หญิงสาวนั่งจัดเก็บของเข้าที่เข้าทางด้วยหัวใจเลื่อนลอย เธอรู้ว่าตอนนี้แผลที่ถูกกระทำมันยังสด แต่เธอคิดว่าสักวันมันจะหายไป มันจะหายในสักวัน...
หมอหนุ่มที่พึ่งเสร็จจากการตรวจคนไข้เอนกายพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงหลังจากได้พัก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวที่ตกอยู่ในรถขึ้นมาเปิดเครื่อง เมื่อเห็นว่าแบตเตอรี่เต็มแล้วและคิดว่าเธอคงโทรเข้ามาเพื่อตามหาโทรศัพท์มือถืออย่างแน่นอน หน้าจอสว่างขึ้นโชว์รูปของคู่รักที่ถ่ายด้วยกัน รอยยิ้มหวานของเธอดูมีความสุขต่างจากตอนนี้ลิบลับ เขาไม่ได้สนใจอะไรที่มากกว่านั้นจึงวางมันลงบนโต๊ะอีกครั้ง แต่มีข้อความเด้งขึ้นมารัวๆ จนต้องหันไปมองและอ่านมันอย่างเสียมารยาท
วายุ : ‘ลิน ยุจะเอาบ้านหลังนั้นเป็นเรือนหอ เลยอยากให้ลินขนของออกไป ก่อนเที่ยงพรุ่งนี้’
ทิวากรเห็นข้อความถึงกับขมวดคิ้วเพราะไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะทำถึงขนาดนี้ ‘เอาบ้านที่เคยอยู่ด้วยกันไปเป็นเรือนหอของตัวเองกับผู้หญิงคนใหม่อย่างนั้นเหรอ แล้วตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ’ หมอหนุ่มคิดในใจ
ในเวลาต่อมา เขาต้องออกไปประชุมกับทีมแพทย์จึงฝากโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวไว้กับพยาบาลเผื่อว่าเธอจะติดต่อกลับมา
หนึ่งปีต่อมา...“จ๊ะเอ๋!”ลูกพีชยกมือขึ้นปิดตาตัวเองแล้วแยกออกในเวลาต่อมาเป็นการเล่นซ่อนแอบกับหนูน้อยวัยหนึ่งขวบที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจอยู่สักพักแล้ว“เอิ๊กๆ เอิ๊กๆ”หลังจากหนูน้อยลูกพลัมหัวเราะจนหมดพลังงานก็เริ่มเบะปากทำสีหน้างอแงเพราะหิวนม ลูกพีชเห็นอาการของน้องชายก็รีบลุกขึ้นไปหยิบขวดนมที่วางอยู่ไม่ไกลมา พร้อมกับให้น้องนอนลงแล้วถือขวดนมป้อนลูกพลัมอยู่อย่างนั้น แม้ว่าความเป็นจริงน้องชายของเธอจะถือขวดนมได้แล้วก็ตาม แต่ลูกพีชชอบป้อนนมให้เองมากกว่ามิลินเดินออกมาจากห้องครัว หลังจากเข้าไปต้มน้ำร้อนไว้ชงนมให้ลูกเสร็จ โดยฝากลูกพีชช่วยดูแลน้องให้สักครู่ ทว่าเมื่อเดินออกมาก็ต้องยิ้มแป้นกับภาพที่เห็น ลูกสาวกำลังถือขวดนมป้อนน้อง ใบหน้าจิ้มลิ้มส่งรอยยิ้มหวานให้ลูกพลัมตลอดเวลาเด็กตัวน้อยดูดนมอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย มองใบหน้าพี่สาวตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา“ป้อนนมให้น้องเหรอคะลูก”“ค่ะ น้องหิวนม”“ให้น้องถือเองก็ได้นะคะ ลูกพีชจะได้ไม่เมื่อย”“ลูกพีชยังไม่เมื่อยค่ะ อยากถือให้น้อง”หญิงสาวนั่งลงบนเบาะข้างลูกทั้งสองแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง ลูกพลัมที่ดูดนมจนอิ่มหนำสำราญแล้วลุกขึ้นนั่งพร้อมกับปรบมือแ
คิก คิก~ หนูน้อยลูกพีชหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ขณะกำลังวิ่งไล่จับฟองสบู่กลมๆ ที่มารดายิงออกมาจากปืนเป่าฟองมิลินกับลูกพีชเข้ามานั่งบริเวณสวนหลังบ้านในช่วงบ่ายคล้อยของวัน เธอมักจะหากิจกรรมให้ลูกน้อยทำในช่วงวันหยุด อย่างวันนี้หลังจากลูกพีช วาดภาพระบายสีสร้างสรรค์ผลงานตามประสาเสร็จ เธอก็จะให้ลูกสาวเล่นอย่างอิสระ“ของกินเล่นมาแล้วจ้ะ” ละอองดาวที่เข้าครัวไปเตรียมอาหารทานเล่นให้หลานสาวสุดที่รัก เดินออกมาพร้อมตะกร้าใส่อาหารแล้วหยุดยืนบริเวณเสื่อผืนใหญ่ที่มีลูกสะใภ้นั่งอยู่ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามเธอหนูน้อยที่กำลังวิ่งอย่างสนุกสนานในตอนแรก เมื่อเห็นผู้เป็นย่าก็รีบเดินเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างๆ พร้อมกับยกแก้วน้ำหวานของตัวเองขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่ด้วยความรู้สึกเหนื่อย แก้มป่องๆขึ้นสีแดงระเรื่อ“ค่อยๆ ดื่มค่ะ เดี๋ยวจะสำลัก” มิลิน บอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วมองดูอยู่อย่างนั้นลูกพีชทำตามผู้เป็นมารดาอย่างว่าง่ายแล้ววางแก้วลงไว้ที่เดิม พร้อมกับหันไปฉีกยิ้มกว้างมองผู้ใหญ่สองคนตรงหน้า“ย่า ทอดเฟรนช์ฟรายส์มาให้จ้ะ” ละอองดาวเอ่ยบอกหลานด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุงค่า” หนูน้อยยกมือป้อมๆ ขึ้นไหว้ขอบคุณผู้เป็น
สองสามีภรรยาที่อยู่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ภายในห้องน้ำกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวของลูกสาวตัวน้อย ร่างอวบอิ่มของผู้เป็นภรรยาแทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของสามีหนุ่ม พร้อมกับเอนแผ่นหลังพิงกับหน้าอกแกร่ง โดยมีเรียวแขนโอบกอดเธอไว้จากด้านหลังภายใต้น้ำอุ่นที่มีฟองสบู่นุ่มละมุนส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนรู้สึกผ่อนคลายมือใหญ่ลูบสัมผัสไปมาบริเวณหน้าท้องนูนของภรรยาสาว หูของเขายังคงตั้งใจฟังคำพูดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็กที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซึ่งเป็นคำพูดที่เขามักจะได้ยินเป็นประจำจนแทบจะจดจำได้ทุกคำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ หลุดลอดออกมาจากปากเขา เนื่องจากอยากให้หญิงสาวพูดให้จบก่อน“คุณนะชอบตามใจลูก จนแกเริ่มเคยตัวและคิดว่าถ้าอ้อนแบบนั้นแล้วจะได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพราะยังไงคุณซื้อให้แทบจะทันที จนของเล่นบางอย่างที่ได้มาไม่ได้เล่นด้วยซ้ำ แล้วแกก็ขอของเล่นชิ้นใหม่อีกเรื่อยๆ คุณต้องปล่อยให้รู้จักรอเสียบ้าง ไม่ใช่พออยากได้อะไรก็ประเคนหาให้แทบทุกอย่าง”“ก็ผมชอบใจอ่อนนี่”“คุณก็ต้องใจแข็งให้เป็น ไม่อย่างนั้นลูกจะเคยตัว”“ถึงผมไม่ให้ คุณแม่ก็ซื้อให้อยู่ดี เพราะรายนั้นตามใจหลานหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น”“ฉ
(Flowers of love)ร้านดอกไม้สไตล์มินิมอลสีขาวสะอาดตัดกับสีของดอกไม้นานาพันธุ์ดูสวยสบายตา ร้านแห่งนี้เปิดมาได้เกือบสองปีและมักจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตกหลุมรักหนูน้อยผู้มีเสียงเจื้อยแจ้วคนนี้“ฉวยค่า”แปะ แปะ!ริมฝีปากบางอมชมพูของหนูน้อยวัยเกือบสามขวบเอ่ยปากชมเปาะ พร้อมกับยกมืออวบขึ้นมาปรบมืออย่างชอบใจ เมื่อผู้เป็นมารดาปักก้านดอกกุหลาบสีแดงสดลงในแจกันเป็นดอกสุดท้ายหนูน้อยลูกพีช ในชุดกระโปรงเจ้าหญิงสีขาวฟูฟ่อง ขับผิวอมชมพูให้ดูโดดเด่น ดวงตากลมโตมีแพขนตางอนสวย ปากนิดจมูกหน่อยดูน่ารัก ผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดขึ้นเป็นทรงโดนัทไว้กลางหัว เผยให้เห็นแก้มกลมๆ มีเลือดฝาด ที่ไม่ว่าใครเห็นก็อยากฝังจมูกลงบนแก้มสองข้างนั้นอย่างรู้สึกมันเขี้ยว ใบหน้าจิ้มลิ้มของหนูน้อยมีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นมารดามากกว่า ทว่านิสัยกลับได้บิดามาเต็มๆร่างอวบอิ่มมีน้ำมีนวลในชุดสีครีมตัวยาวซึ่งมีอายุครรภ์ห้าเดือนเศษกำลังนั่งช่วยกันจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่บริเวณโซฟาภายในร้านกับลูกสาว เพื่อรอให้สามีหนุ่มอย่างทิวากรแวะมารับกลับบ้านพร้อมกันและอีกสักพักก็คงมาถึง เนื่องจากร้านของเธอไม่ไกลจากโรงพยาบา
สามเดือนต่อมา...“เป็นยังไงบ้างลูก” ละอองดาวหันไปถามลูกสะใภ้ที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ใบหน้าหวานเหยเกเล็กน้อย มือเล็กลูบไปมาบริเวณหน้าท้องกลมโตที่อีกไม่กี่วันก็จะมีอายุครรภ์ครบเก้าเดือนพอดี“มันปวดๆ หายๆ นะคะ” ร่างอวบอิ่มในชุดนอนกระโปรงสีขาวบอกกับแม่สามี ช่องท้องบีบกันเป็นระยะๆ จนรู้สึกเจ็บไม่น้อยวันนี้ละอองดาวเข้ามานอนเป็นเพื่อนลูกสะใภ้เพราะทิวากรต้องไปอยู่เวรที่โรงพยาบาล เธอกังวลว่าหญิงสาวอาจจะปวดท้องคลอดในช่วงเวลากลางคืนและช่วงนี้เธอท้องแก่มากแล้ว ถึงแม้กำหนดคลอดจริงๆ จะเป็นอีกสี่วันข้างหน้าก็ตาม แต่ระหว่างนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้จึงคอยเฝ้าดูอาการไม่ห่าง สองสามวันมานี้ หญิงสาวมักจะมีอาการปวดท้องเตือนหลายครั้ง แต่วันนี้กลับดูเหมือนว่าจะปวดถี่เป็นพิเศษจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวน้อยอยากออกมาแล้วหรือเปล่าและคิดว่าจะรอดูอาการอีกสักพัก“ดีขึ้นแล้วค่ะ” มิลินพูดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วพ่นออกมาสุดแรง ละอองดาวที่คอยมาดูแลมองหน้าลูกสะใภ้อย่างให้กำลังใจ เธอรู้ดีว่าอาการพวกนี้ทรมานขนาดไหนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก สีหน้าของเธอ เริ่มแสดงความเจ็บปวดออกมาอีกครั้งพร้อมกับใช้มือเล็กกุมท้องไว้แน่น
ร่างเล็กที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านในช่วงสายของวัน มุ่งหน้าไปทางห้องครัวทันทีเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกะทิลอยมาเตะจมูก ครั้นพอไปถึงก็เห็นลูกสะใภ้ยืนอยู่หน้าเตาแก๊ส มือเล็กของเธอกำลังกดปุ่มปิดเตาพอดี ละอองดาวจึงเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“หนูลิน ทำอะไรอยู่ลูก”มิลินตรวจดูความเรียบร้อยตรงหน้าเสร็จก็หันไปมองแม่สามี แล้วเริ่มนำเสนอขนมหวานฝีมือเธอด้วยน้ำเสียงสดใส จนคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับยิ้มตามด้วยความเอ็นดู“ทำขนมบัวลอยค่ะ พี่ทิวบอกว่าคุณแม่ชอบทาน หนูเลยอยากลองทำให้ชิม รับรองว่าอร่อยและไม่หวานเกินไปค่ะ”“ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่ลำบากเลยค่ะ หนูอยากทำให้” หญิงสาวคิดว่าตัวเองว่างเกินไปจนรู้สึกไม่ค่อยดีและรู้มาจากทิวากรว่าผู้เป็นแม่ชอบรับประทานขนมบัวลอยมาก จึงอยากทำให้ท่านได้ชิม“ขอบใจจ้ะ โชคดีของเจ้าทิวกับแม่จริงๆ ที่ได้หนูลินมาอยู่ด้วย” รอยยิ้มกว้างฉายชัดบนใบหน้างาม สายตาบ่งบอกว่าคนที่พูดรู้สึกแบบนั้นจริงๆ“หนูก็โชคดีเหมือนกันค่ะ”มิลินเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะเจอกับความโชคดีแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาเธอมักจะพบกับการที่ต้องพยายามอย่างมากมายเพ