“อ้าว คุณนีน”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังของนีรนาราที่กำลังเดินออกมานอกร้านด้วยอาการมึนๆ เธอหันกลับมามองด้วยความแปลกใจที่ความบังเอิญทำให้มาเจอกันตรงนี้ได้
“บอส”
“มาคนเดียวเหรอครับ”
วิกรเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครนอกจากนีรนารา
“เปล่าค่ะ มากับเพื่อน”
“แล้วจะกลับยังไงครับเนี่ย”
“เดี๋ยวเรียกรถค่ะ บอสก็จะกลับแล้วเหรอคะ”
“ครับ งั้น…เดี๋ยวผมไปส่งคุณนีนเลยละกันครับ”
คนที่แค่ตั้งใจจะเดินมาหยิบของที่รถดันเปลี่ยนใจกลับทันทีที่ถูกถาม เพราะเห็นว่าเวลานี้มันอันตรายเกินไปถ้าจะให้นีรนาราเรียกรถกลับคนเดียว
“ไม่เป็นไรค่ะบอส ดึกแล้วบอสจะได้กลับไปพัก อีกอย่างบอสไม่ควรขับรถตอนเมานะคะ”
นีรนารารีบห้าม ที่กลัวอีกฝ่ายเมานั่นก็ใช่แต่ความจริงเธอไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับวิกรมากเกินไปต่างหาก ช่วงนี้เธอรู้สึกว่าอะไรๆมันเกินกว่าที่ควรจะเป็นไปเยอะแล้วจริงๆ
“ผมไม่ได้เมาครับดื่มไปแค่แก้วเดียวเอง ขึ้นรถไปคนเดียวตอนนี้มันอันตรายให้ผมไปส่งดีกว่าครับ”
“เอ่อ งั้นก็ได้ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้นีรนาราก็พยักหน้าอย่างจำใจ ก่อนจะเดินตามวิกรไปขึ้นรถคันที่คุ้นเคยมานานตั้งแต่ทำงานด้วยกันจนถึงตอนนี้ คิดไปคิดมาก็แปลกดีที่เราสองคนทำงานด้วยกันจนรู้ใจแต่กลับไม่เคยรู้ชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่ายเลยสักนิด และเธอก็เชื่อว่าผู้ชายอย่างวิกรคงทำให้เธอตกหลุมรักได้ง่ายๆตั้งแต่แรก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมีคนที่อยู่ในใจมานานแล้ว
ไม่เคยแปลกใจที่จะมีสาวสวยมากมายพยายามเข้าหาวิกรที่แสนดีคนนี้ เพราะนอกจากรูปร่างหน้าตาและฐานะแล้วก็คงเป็นความใส่ใจคนอื่นตลอดเวลานี่แหละ จะบอกว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายก็ได้เพราะไม่ว่าจะคนไหนเธอก็ไม่สมควรไปรู้สึกด้วยทั้งนั้น
แต่การไม่รู้สึกกับวิกรเธอว่ามันดีกว่ามากๆเลย อย่างน้อยเธอก็ทำงานด้วยความสบายใจมาตลอด
“มาดื่มกับเพื่อนบ่อยเหรอครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามเรียกนีรนาราที่จมอยู่กับห้วงความคิดให้หันไปหา ก่อนเธอจะตอบออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม
“ก็ไม่บ่อยค่ะ แค่ตอนที่ว่างตรงกันประมาณเดือนละครั้งสองครั้งไม่เกินนี้”
“แต่ดูคุณนีนไม่เห็นเมาเลยนะครับ”
“แค่มาคุยกันมากกว่าค่ะ ดื่มแค่นิดเดียว”
นีรนาราแก้ข้อสงสัยให้กับบอสที่ดูจะช่างถามมากกว่าปกติ เธอชอบนัดกันมาร้านเหล้าก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่าจะตั้งใจดื่มจนเมาขนาดนั้น ร้านนี้เป็นคนรู้จักของอันนาอีกทีเลยสบายใจว่าจะไม่โดนทำข่าวเสียหาย หลักๆก็แค่มาแบ่งปันชีวิตที่ผ่านมาทั้งดีและไม่ดีให้เพื่อนฟังก็เท่านั้น
“อืม ก็แปลกดีนะครับ ปกติเห็นแค่ตอนที่คุณนีนทำงานพอมาเจอแบบนี้แล้วเหมือนคนละคนเลย”
“มันไม่ดีเหรอคะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ แค่…แปลกตาดี แบบเคยเห็นแค่ลุคที่ดูเรียบร้อยไงครับ”
วิกรรีบแก้คำพูดเมื่อเห็นว่านีรนาราจะเข้าใจผิดไป แต่คำว่าเรียบร้อยก็ทำเอานีรนาราก้มลงดูตัวเองแล้วถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ เธอคงไม่ต้องแต่งตัวเรียบร้อยแบบชุดทำงานเข้าผับเข้าบาร์หรอกใช่มั้ยนะ
“แบบนี้ดูไม่เรียบร้อยเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ แบบนี้ดูสวยมากกว่าเดิมอีกครับ”
วิกรรีบตอบอย่างที่คิดโดยไม่ทันยั้งปาก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรอย่างที่คิดแต่ท่าทางกังวลของนีรนาราก็ทำเอาลืมตัวรีบอธิบายจนได้ ส่งผลให้ทั้งรถเงียบกริบหลังจากที่วิกรเอ่ยชมออกไป
“เอ่อ แวะซอยหน้าเลยนะคะ”
นีรนาราส่งเสียงที่แผ่วเบาบอกไป ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองวิกรด้วยซ้ำเพราะคำชมที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำเอากระอักกระอ่วนไปหมด
“ครับ ที่จริงมาครั้งเดียวก็จำได้แล้วครับ”
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะบอส”
นีรนาราเอ่ยขอบคุณเมื่อรถจอดลงหน้าคอนโดของเธอแล้ว
“ครับ แล้วเจอกันวันจันทร์นะ”
วิกรตอบรับก่อนจะยิ้มออกมาให้นีรนาราที่กำลังเปิดประตูรถ เป็นรอยยิ้มที่ทำเอานีรนาราถึงกับชะงักไปชั่วขณะหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ปกติวิกรก็มีรอยยิ้มแจกจ่ายให้ทุกคนไปทั่วอยู่แล้วแต่ทำไมถึงรู้สึกว่าวันนี้ มันไม่เหมือนกับที่เคยได้รับมาก่อน
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะในแววตานั่น มีประกายบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้ามองสบนานๆก็เป็นได้
“ไง ไอ้คนทรยศ”
เสียงจากปลายสายดังขึ้นเมื่อวิกรกดรับ ความดังที่เกินปกติทำให้ต้องเอาออกจากหูโดยไวและต่อว่ากลับไปทันที
“อะไรของมึงวะพีนัท”
“ยังมีหน้ามาถามเนอะ พอกูมาถึงไอ้คีบอกว่ามึงกลับไปแล้วคืออะไรเอ่ย”
พีรวิชญ์ย้อนเมื่อวิกรทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งที่เป็นคนนัดเพื่อนๆออกมาแท้ๆ พีรวิชญ์ที่เดินสายร้องเพลงเสร็จอุตส่าห์รีบมาร่วมวงแต่พอมาถึงดันเจอแต่เพื่อนคนโหดนั่งหน้าตึงอยู่คนเดียวจนงงไปหมด
“ก็กลับบ้านไงมึงร้องเพลงจนโง่เหรอพีนัท”
“กวนตีนมาก กูอุตส่าห์หาเวลามาเจอพวกมึงได้แต่มึงเสือกไม่อยู่เจอกูเนี่ย ควรให้กูโกรธมั้ยล่ะ”
“กูมีธุระ ไว้คราวหน้ากูเลี้ยงเองคืนนี้ก็คุยกับไอ้คีไปก่อน”
วิกรรีบอธิบายเมื่อรับรู้ได้ว่าเพื่อนบ่นจริงจัง ถึงจะเป็นเหตุผลที่แถแบบเอาตัวรอดก็เถอะใครจะยอมบอกว่ากลับเพราะไปส่งเลขาล่ะเดี๋ยวก็ได้โดนซักกันอีกยาวพอดี
“มันคุยเก่งมากมั้งไอ้ห่า หน้าก็ตึงไม่ไหวแล้ว โอ้ย! มึงจะตีหัวกูทำไมไอคี”
พีรวิชญ์ตอบประชดประชันก่อนจะร้องโวยวายออกมาเมื่อถูกประทุษร้ายโดยเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน วิกรที่ได้ยินก็พอเข้าใจได้ว่าป่านนี้อัคคีคนนิ่งคงจะรำคาญพ่อนักร้องนี่ไม่ไหวแล้วแน่ๆ แต่จะให้ย้อนกลับไปหาก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอย่างนั้น ก้าวเข้าห้องมาได้ก็เหมือนร่างกายมันหมดแรงจนอยากไปนอนมากกว่า
“พวกมึงนี่นะ ไปตีกันเองไปกูจะนอนละปวดหัว”
“จ้าพ่อ ลอยตัวเลยนะมึงอ่ะ”
พีรวิชญ์ลากเสียงยาวอย่างประชดแม้รู้ว่าคนอย่างวิกรไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ต่อว่าออกไปเลย
“เออ ไว้เจอกันมึง”
—--------------------
“อ้าวน่าน มานั่งรอฉัตรอีกแล้วเหรอเราอ่ะ”
นีรนาราที่เปิดห้องมาถามคนที่นั่งดูทีวีอยู่กลางห้องอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอรัณย์แล้วนั่งลงข้างๆ
“เปล่า น่านมารอพี่นีนนั่นแหละครับ”
“รอพี่เหรอ มีอะไรรึเปล่า”
นีรนาราย้อนถามก่อนจะหันไปสำรวจใบหน้าของอรัณย์ด้วยความเป็นห่วง แต่นอกจากดวงตาที่ปรือเหมือนจะหลับแล้วก็ไม่เห็นร่องรอยความไม่สบายใจใดๆเลย
“คือ น่านมีเรื่องอยากบอกพี่นีนอ่ะครับ”
อยู่ๆคนที่เหมือนง่วงนอนก็เด้งตัวมานั่งหลังตรงแล้วหันมาจ้องหน้านีรนาราด้วยอาการตื่นเต้นจนนีรานารางง หลากหลายอารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้าคมคายยากจะคาดเดาจนต้องถามออกมา
“อะไรเหรอ”
“คือ น่าน…น่านชอบ”
“ชอบอะไร”
นีรนาราพลอยลุ้นไปด้วยเมื่อคนน้องนั้นไม่ยอมพูดให้จบทีเดียว แต่คำว่าชอบที่ได้ยินกลับทำใจไม่รักดีสั่นไหวไปชั่วขณะราวกับหลงลืม ว่าความเป็นจริงเธอจะไม่มีวันได้รับมันจากคนนี้ และคำเฉลยที่ตามมาเพียงไม่กี่วินาทีนั้น สร้างความรวดร้าวแสนสาหัสให้กับหัวใจจนไม่อาจบรรยาย
“คือ…น่านชอบฉัตรอ่ะพี่นีน”
“แล้วมาบอกพี่ทำไม…ก็ไปบอกฉัตรสิ”
ราวกับถูกคลื่นความจริงซัดสาดจนแทบฝืนยิ้มออกมาไม่ไหว น้ำเสียงที่ต้องบังคับไม่ให้มันสั่นกว่าจะพูดออกมาได้ช่างยากเย็น ไม่ต้องถามถึงใจที่เจ็บจนชามาหลายปีจนถึงตอนนี้มันก็ยังคงเจ็บปวดได้อีกเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
แต่คนไม่ได้รักก็คือไม่ได้รัก นอกจากความรู้สึกของตัวเองแล้วจะมีแก่ใจที่ไหนไปสังเกตได้ว่าใครเก็บซ่อนความรวดร้าวเอาไว้จนไม่กล้าสบตา อรัณย์ยังคงอธิบายต่อในน้ำเสียงก็ยังแฝงความเว้าวอนเอาไว้เพื่อให้นีรนาราเห็นใจ เพราะยังไงก็เป็นพี่สาวแท้ๆของคนที่ตัวเองชอบ
“ก็น่านไม่กล้า เลยมาบอกพี่นีนก่อนเนี่ย”
“แปลกคนจริงๆ ถ้าชอบก็ไปบอกสิกลัวอะไรเหรอ”
นีรนาราแสร้งบ่นออกมา พยายามอย่างที่สุดเพื่อให้ตัวเองทำตัวเหมือนปกติและไม่เผลอหลุดความรู้สึกใดๆออกมาจากสายตา ฟังดูเหมือนยากแต่สำหรับนีรนาราที่หลงรักรุ่นน้องคนนี้มาหลายปีนั้นการเก็บซ่อนความรู้สึกเป็นอะไรที่ทำมาจนชินแล้ว
เพราะตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าคิดกับอรัณย์มากกว่าน้องชาย เส้นทางความรักที่เคยวาดฝันถึงมาตลอดก็ได้ถูกเธอปิดประตูไปตั้งแต่วันนั้นอย่างไม่คิดคาดหวังอะไรอีกเลย ด้วยอายุที่ห่างกันเกินไปก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆก็คงเพราะแบบนี้ เพราะคนในใจที่อรัณย์รักจริงๆก็คือปาริฉัตรน้องสาวของเธอ เพื่อนเล่นที่ทะเลาะกันมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต คนที่อรัณย์บอกว่าไม่มีทางชอบได้
ใครจะไปรู้ว่าพอถึงตอนที่โตขึ้นอรัณย์กลับเพิ่งเข้าใจว่าชอบเพื่อนคนนี้แบบคนรัก และคิดกับนีรนาราเพียงแค่พี่สาวที่แสนดีเท่านั้น โชคดีที่อรัณย์รู้ใจตัวเองไว และโชคดีที่นีรนาราก็ไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกอะไรไปตั้งแต่แรกเหมือนกัน วันนี้ความสัมพันธ์ถึงได้ยังคงเหมือนเดิม แม้ในความเหมือนเดิมนั้นจะสร้างความเจ็บปวดให้นีรนาราตลอดมาก็ตาม
“ถ้าน่านจะขอฉัตรคบพี่นีนจะว่าอะไรมั้ยครับ”
“พี่จะว่าอะไรได้ล่ะ ถ้าฉัตรตกลงพี่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอยู่แล้วนี่”
“พี่นีนว่า พ่อแม่พวกเราจะห้ามมั้ยครับ”
อรัณย์ยังคงถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ แม้สองครอบครัวจะสนิทกันแค่ไหนแต่การอยากเปลี่ยนสถานะต่อกันก็ยังสร้างความกังวลให้อรัณย์มากอยู่ดี เป็นนีรนาราที่ประชดออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ดีใจล่ะสิไม่ว่า ลืมแล้วเหรอว่าบ้านเราสนิทกันขนาดไหน”
“ฮือ เขินจัง ไว้มีจังหวะดีๆน่านจะบอกฉัตรพี่นีนห้ามเอาไปบอกนะครับ”
พอหมดเรื่องกังวลใจ อรัณย์ก็กลับมาสดใสแสดงอาการดีใจจนดวงตาเป็นประกาย นีรนารายิ้มอ่อนใจก่อนจะรับปากด้วยรอยยิ้มบาง มือที่จะยกขึ้นลูบหัวทุยพลันชะงักก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาว่า หลังจากนี้คงต้องระวังเรื่องการแสดงออกต่อกันมากขึ้นแล้ว
เพราะเธอรู้ดีว่าสิ่งที่อรัณย์ต้องการนั้นจะต้องสมหวังอย่างแน่นอน ในเมื่อมองความรู้สึกของอรัณย์ออกแล้วทำไมจะมองความรู้สึกของน้องสาวแท้ๆตัวเองไม่ออกล่ะ
“อื้อ พี่ไม่บอกหรอกน่า”
“พี่นีนของน่านน่ารักที่สุดเลย”
แต่คนที่ดีใจล่วงหน้าอย่างอรัณย์นั้นกลับกอดแขนนีรนาราแน่นแล้วแนบหัวลงที่ไหล่บางพลางถูไถไปมาจนห้ามไม่ทัน นีรนารารีบดันศีรษะอีกคนออกก่อนจะไล่ให้อรัณย์กลับห้องของตัวเองเพราะดึกแล้ว
“อย่ามาอ้อนน่า ไปนอนได้แล้วไป”
“โอเคครับ ฝันดีนะพี่นีน”
“ฝันดีครับ”