“พี่นีน”
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอนึกว่าจะถึงมืดๆซะอีก”
นีรนาราที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนมองปาริฉัตรและอรัณย์ที่กำลังขนกระเป๋าเข้าห้อง เพราะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปาริฉัตรไม่มีเรียน เลยได้โอกาสกลับไปหาพ่อแม่ที่จังหวัดน่านพร้อมกับอรัณย์
นีรนารารีบเข้าไปช่วยน้องขนของฝากที่แม่ชอบเตรียมกลับมาให้เสมอทุกครั้งที่ใครได้กลับบ้านราวกับกลัวลูกจะอดอยาก ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ส่งมาให้บ่อยๆอยู่แล้วเหมือนกัน
“ก็อยากกลับช้ากว่านี้แต่แม่เร่งให้เตรียมกลับตั้งแต่เช้าเลยอ่ะ ไม่ได้บินนานขนาดนั้นซะหน่อย”
“ดีแล้วจะได้พัก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปเรียนอีกไม่เหนื่อยเหรอ”
นีรนาราบอกเมื่อได้ยินน้องสาวบ่น ปาริฉัตรติดแม่มากๆยิ่งมาเรียนไกลแบบนี้ก็ยิ่งต้องหาเวลากลับไปบ่อยๆเพราะคิดถึงแม่ ต่างจากนีรนาราที่ไม่ค่อยได้สนิทกับพ่อแม่มากนักเนื่องจากไม่ค่อยพูดเหมือนกับน้องสาว
“ไม่เหนื่อยหรอกฉัตรมีพลังเยอะแยะ”
“แล้วนั่นน่ะลืมเอาปากมารึไง ยืนเงียบอยู่ได้”
นีรนาราส่ายหัวให้กับน้องสาวที่ทำท่าทางแข็งแรงให้ดู ก่อนที่จะหันไปแซวอรัณย์ที่ยังคงเงียบทั้งที่ความจริงมักจะพูดไม่หยุด อรัณย์ที่กำลังปรับสภาพตัวเองถึงกับโวยวายออกมาด้วยใบหูที่ยังคงแดงเถือก
“แย่อ่ะพี่นีน แซวแรงมากครับ”
“คนมันกำลังเขินไงพี่นีน อย่าเพิ่งไปแซวเลย ฮ่าๆ”
“ฉัตรอ่า”
อรัณย์ขัดขึ้นมาเสียงอ่อยก่อนจะก้มหน้าด้วยอาการเขินๆเมื่อเห็นรอยยิ้มล้อเลียนของปาริฉัตร
“อะไรกันเนี่ย”
นีรนาราถามพลางมองสองคนสลับไปมาอย่างงุนงง แต่เพียงไม่นานปริฉัตรก็เฉลยออกมาท่ามกลางเสียงโวยวายของอรัณย์ที่เขินจนทนไม่ไหว และความตกใจของนีรนาราที่เหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางใจทันทีที่ได้ยิน
“เมื่อกี้น่านมันขอฉัตรคบอ่ะพี่นีน”
“ฉัตร!”
“ฮ่าๆ อายอะไรมีแค่พี่นีนเอง”
“ดีใจด้วยนะ แต่ต้องอยู่ในสายตาพี่นะเด็กๆห้ามนอกลู่นอกทางด้วย”
นีรนารารีบปรับสีหน้าท่าทางให้ดูปกติ ก่อนที่จะแสดงความยินดีออกมาจากใจ แม้จะเจ็บแต่พอได้เห็นประกายความสุขจากน้องสองคนที่เธอรักมากๆ มันก็ไม่ยากเลยที่เธอจะยิ้มออกมาให้ทั้งคู่
“รู้แล้วค่ะคุณพี่ เลิกเขินได้แล้วน่านหน้าตาน่าเกลียดมาก”
“ฉัตร! เราเป็นแฟนแล้วนะทำไมพูดจาร้ายกาจอ่ะ”
“ฮ่าๆ น่ารักอ่ะ เดี๋ยวฉัตรกับน่านจะไปดูหนังอ่ะพี่นีนไปด้วยกันมั้ย”
ปาริฉัตรหันมาถามนีรนาราหลังจากที่แกล้งอรัณย์จนเขินแล้วเขินอีกไปหลายรอบ ทั้งที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงแต่ก็ยังอยากจะออกไปใช้เวลาด้วยกันอย่างไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร อาจจะเพราะเพิ่งเปลี่ยนสถานะใหม่เลยทำให้มีความสุขมากๆ ตรงข้ามกับนีรนาราที่รีบส่ายหัวปฏิเสธ ก็เจ็บขนาดนี้ยังจะตามไปให้เจ็บกว่าเดิมเพื่ออะไร
“ไม่ดีกว่า พี่อยากพักอ่ะพรุ่งนี้งานเยอะมากเลย”
“โอเคค่ะ เดี๋ยวซื้อขนมมาฝากน้า ไปกันเถอะน่าน”
“ขับรถกันดีๆนะ”
นีรนารารีบบอกไล่หลังอย่างเป็นห่วงเพราะทั้งคู่น่าจะเหนื่อยกับการเดินทางมาเยอะแล้ว แต่พอเห็นว่าอรัณย์หันกลับมารับคำด้วยรอยยิ้มสดใสก็เบาใจไปได้ว่าคงเหนื่อยน้อยกว่ามีความสุข
“ครับผม”
เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงเธอคนเดียว นีรนาราก็เดินไปนั่งลงที่โซฟาหน้าทีวีก่อนจะเอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรงก่อนจะปล่อยให้ความเงียบกลืนกินจนได้ยินเสียงลมหายใจที่ค่อยๆกลายเป็นเสียงสะอื้นแทน ชันเข่าขึ้นมาก่อนจะกอดเอาไว้แล้วซบใบหน้าลงไป ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ราวกับชดเชยความเจ็บช้ำที่ผ่านมาทั้งหมดในคราวเดียว ความเจ็บที่ไม่อาจรักมันเจ็บมากกว่าการไม่ถูกรักซะอีก และความเสียใจที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้มันยิ่งสร้างความทรมานให้กับนีรนารามากมายเหลือเกิน
ถ้าเพียงแค่เราทำทุกอย่างได้ตามใจ ชีวิตคงไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนี้เลย แต่เพราะความเป็นจริงเราทุกคนไม่อาจทำได้แบบนั้น ก็เลยต้องเรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้เจ็บปวดน้อยที่สุดและพยายามเก็บเอาความสุขไว้กับตัวเองให้ได้นานที่สุด ในเมื่อทุกอย่างต่างก็เข้ามาและผ่านเลยไป เหมือนที่ความเจ็บในวันนี้คงบางเบาลงเมื่อมองมาจากวันพรุ่งนี้ และอาจจะหายไปในอนาคตสักวันนึง
และในเมื่อทนฝืนไม่ได้นีรนาราก็แค่ปล่อยให้ตัวเองได้เสียใจเท่าที่อยากจะทำจนกว่าจะหมดเวลานี้ลง
เนิ่นนานจนลืมเวลานีรนาราถึงได้ลุกและพาตัวเองไปที่ห้องนอน ก่อนจะตัดสินใจโทรหาเปรมาเมื่อทนเก็บเอาความเสียใจไว้คนเดียวไม่ไหว
“ว่าไงนีน”
“เราว่าเราไม่ไหวว่ะ”
“แกเป็นอะไรนีน”
เปรมาที่ได้ยินเสียงเพื่อนร้องไห้ก็ตกใจจนร้อนรน นีรนาราไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ได้ง่ายๆถ้าเรื่องนั้นไม่หนักหนาจริงๆเธอรู้ดีกว่าใคร
“เราเคยคิดเอาไว้นะ ว่าวันนี้มันคงมาถึงสักวันเลยทำใจมาบ้างแล้ว แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆก็ไม่ไหวเลยว่ะแป้ง ฮึก”
“นีน…แกบอกมาดิวะว่าแกเป็นอะไร เราใจไม่ดีนะเว้ย”
“น่านกับฉัตร…คบกันแล้ว น้องเป็นแฟนกันจริงๆแล้ว แบบที่เราเคยคิดเอาไว้เลยแป้ง ฮึก”
“นีน..แกไหวมั้ยวะ”
“มันเจ็บมากกว่าที่เคยคิดอีกอ่ะแก ฮือ…เรารู้สึกผิดที่มานั่งเสียใจแบบนี้ทั้งที่ควรดีใจกับน้อง”
“แกไม่ได้ผิดอะไรเลยนีน อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
“เราไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลยแป้ง”
“นีน…ไม่เป็นไรนะ แกเก่งจะตายเดี๋ยวก็ผ่านไปนะนีน”
เปรมาปลอบเพื่อนเสียงอ่อย สงสารเพื่อนรักจนแทบจะร้องไห้ออกมารอมร่อ เพราะรู้ดีมาตลอดว่านีรนารานั้นแอบรักรุ่นน้องคนนี้มานานแค่ไหน ไม่กล้าบอกไม่กล้าแสดงออกเพราะรู้ว่าน้องสองคนของตัวเองก็แอบชอบกันอยู่ ทำได้แค่แอบเสียใจแบบนี้ตลอดมา
“ฮึก…ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยวะแป้ง โคตรเจ็บเลยอ่ะ”
“อยากให้เราไปหาแกมั้ย หรือแกอยากไปไหนเราจะพาแกไปเอง”
“ไม่เป็นไร เราขอร้องไห้แค่แป้บเดียวยังไงพรุ่งนี้ไปทำงานยุ่งๆเดี๋ยวก็ลืมแล้ว”
นีรนาราสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะปาดน้ำตาทิ้งอีกครั้ง หน้าที่การงานที่รออยู่ไม่ได้เข้าใจความเสียใจของเธอเหมือนกับเปรมาแน่ๆ ความเป็นจริงไม่ว่ายังไงก็ต้องใช้ชีวิตถึงมันจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
“เฮ้อ สงสารแกว่ะ รู้สึกมานานตั้งกี่ปีทำไมไม่พูดออกไปวะ ปล่อยให้เด็กมันใกล้ชิดให้ปวดใจอยู่ได้”
“ก็เพราะเป็นเหมือนน้องคนนึงจะให้พูดได้ไง บอกไปเราจะยังสนิทกันเหมือนเดิมได้เหรอวะ”
“สนิทจนกลายมาเป็นแฟนน้องตัวเองเลยทีนี้นีนเอ้ย แล้วก็ต้องเห็นสองคนนี้ทุกวันแกไม่แย่เหรอวะ”
เปรมายังคงบ่นเพราะรู้ว่าคนอย่างนีรนาราก็แค่พูดว่าไม่เป็นไรทั้งที่ใจตัวเองไม่ไหวนั่นแหละ ทำแบบนี้ยิ่งน่าสงสารกว่าเดิมซะอีก
“ช่างเถอะ เจ็บไปนานๆเดี๋ยวก็ชินเองมั้ง”
“ความรักแม่ง ทำไมมันวุ่นวายยังงี้วะ”
“เพราะแบบนี้เราถึงไม่อยากรักใครอีกแล้วไงแป้ง”
นีรนาราบอกเสียงแผ่วอย่างเหนื่อยใจ ความรู้สึกเจ็บปวดที่ทนอยู่กับมันมานานหลายปีนั้นแสนทรมาน เฝ้าฝันอยู่ทุกวันว่าจะเลิกรู้สึกแบบนั้นได้ และตั้งใจว่าจะไม่ให้ตัวเองต้องเผชิญกับสิ่งนี้อีกแล้ว
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ความรักดีๆยังมีรอแกอยู่แน่ๆแค่มันยังมาไม่ถึงไง วันนี้เสียใจก็ร้องออกมาให้พอแต่อย่าทนรักคนที่ทำให้ต้องเจ็บไปนานๆเลยนะนีน”
“เราก็ไม่ได้อยากรักไปนานๆเลยแป้ง แต่ไม่รู้ว่ามันจะเลิกรักได้ตอนไหนเหมือนกัน”
นีรนาราบอกอย่างสิ้นหวัง ความรักดีๆที่เพื่อนบอกเธอก็เคยใฝ่ฝันเหมือนคนอื่นทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าหมดหวังกับมันไปตั้งแต่ตอนไหน และไม่เคยคิดเฝ้ารอมันอีกเลย ถ้าเป็นไปได้เธอก็แค่อยากอยู่กับตัวเองให้มีความสุขที่สุดก็แค่นั้น
—------------------
“คุณนีนไม่สบายรึเปล่าครับ”
วิกรที่สังเกตใบหน้าซีดเซียวผิดปกติของนีรนารามาตั้งแต่เช้าหาโอกาสเดินเข้ามาถามเมื่อมีช่วงพัก ถึงจะไม่ใช่คนที่สดใสร่าเริงมากอะไรแต่นีรนาราก็ไม่เคยทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แบบนี้มาก่อน และมันก็กวนใจให้วุ่นวายแปลกๆจนทนไม่ไหวจริงๆ
“เปล่าค่ะบอส”
“เหรอครับ งั้นไปประชุมพรุ่งนี้คุณนีนไหวนะครับ”
“สบายมากค่ะบอส”
“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้วครับ เตรียมไปพบลูกค้ากันดีกว่า”
เมื่อได้รับการยืนยันด้วยสีหน้าไร้ชีวิตชีวาวิกรก็หมดปัญญาจะถามต่อ เพราะถ้ามากกว่านี้ก็จะเป็นการก้าวก่ายเกินไป ได้แต่มองดูเลขาตัวเองรับคำอย่างห่อเหี่ยวจนพาให้หมดแรงไปด้วยอีกคน
“ค่ะบอส”
—-------------------------
‘เวลาผู้หญิงบอกไม่เป็นไรนี่ทำไมดูไม่น่าเชื่อเลยวะ’
วิกรกดส่งข้อความหาเพื่อนทันทีที่กลับเข้ามานั่งในห้อง ด้วยความที่คาใจจนทนไม่ได้โดยลืมไปสนิทว่าคนที่ถามคืออัคคีไม่ใช่พีรวิชญ์
‘กูผู้ชายเผื่อมึงลืมนะกร’
‘กูแค่ขอความเห็น’
‘กูไม่ว่างจะประชุม อยากรู้มากก็เดินไปถามเจ้าตัวเองนะ’
‘กวนตีน ถ้าถามได้กูจะมาถามมึงทำไมวะ’
วิกรด่ากลับถึงจะรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้อะไรจากอัคคีทั้งนั้นนอกจากคำด่าก็ตาม
‘งั้นก็อย่าเสือกเรื่องชาวบ้านนะ แค่นี้มึงยังยุ่งไม่พอเหรอกร วันๆนี่มึงมีเวลาหายใจมากนักรึไงวะ’
‘แล้วมึงเดือดอะไรไอ้ห่านี่ กูไม่กวนก็ได้ไปทำงานมึงเถอะ’
‘เออ วุ่นวายจริง’
วิกรแทบจะปามือถือทิ้งเมื่อเพื่อนตัดจบไว้ให้โมโหเล่น แทนที่จะได้คำตอบกลายเป็นทำให้ตัวเองหงุดหงิดเพิ่มซะอย่างนั้น ได้แต่บ่นกับตัวเองในใจว่าไม่น่าเลย คนอย่างอัคคีจะมาสนใจเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ที่ไหนกัน ไอ้คนไร้หัวใจ…