บ้านณัฐชา...
ในบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่แสนเงียบสงบ ห้องรับแขกกว้างขวางอบอุ่นด้วยแสงแดดอ่อนที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา อาคม ชายวัย 60 ปี
นั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดมือหนึ่งถือแก้วกาแฟอุ่น ๆ อีกมือวางอยู่บนเข่าพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
ดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดคำนึง ย้อนนึกถึงวันวานและเพื่อนรักผู้ล่วงลับ ความทรงจำยังชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาจำได้ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ และทุกช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนคนนั้น
เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จนถึงวันนี้ก็ครบรอบสามปีพอดีที่เพื่อนรักของเขาลาจากโลกนี้ไป
ขณะที่อาคมกำลังจมอยู่ในห้วงอดีตหัวใจของเขาเต็มไปด้วยทั้งความคิดถึงและความว่างเปล่า เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะความคิดของเขา
“พ่อค่ะ...” ณัฐชา...หญิงสาวในวัย 25 กว่า ๆ หน้ารูปไข่ได้รูป ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตากลมโตแฝงเสน่ห์ดึงดูด ราวกับมีแสงดาวสะท้อนในแววตา จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม มีสีชมพูเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม
ผมยาวสลวยเงางาม ดุจเส้นไหม เธอมีรูปร่างอรชร เป็นที่ฮือฮาของหนุ่มๆ เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และกำลังจะเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทใหม่ของพ่อเธอ
“ว่าไงล่ะลูก?” เสียงพ่อขานรับ พลางวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ
“พ่อยังจำพี่หัสนัยน์กับน้องพราวฟ้า ลูกของอาภาคภูมิได้ไหมคะ?”
พ่อพยักหน้า สีหน้าของเขาแสดงความคิดถึงผสมปนเปกับความเศร้า
“จำได้สิ... สองคนนั้นเป็นเด็กดี แต่ตั้งแต่เกิดเรื่อง...พ่อก็ไม่ได้ข่าวพวกเขาอีกเลย”
“พ่อว่า...พวกเขายังโกรธพ่ออยู่หรือเปล่าคะ?” ณัฐชาเอ่ยเสียงแผ่ว
พ่อถอนหายใจยาว สายตามองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกำลังนึกย้อนถึงอดีต
“พ่อรู้ว่าพวกเขาโกรธ แต่ความจริงก็คือความจริง ต่อให้พ่ออธิบายไป ก็ไม่มีใครอยากฟังหรอก”
“พวกเราเชื่อพ่อครับ” ณัฐพลพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาคือลูกชายคนโตของนายนิคม หนุ่มหล่อเข้มที่มีท่าทางอบอุ่นมีเสน่ห์ นิสัยดีและเป็นที่ต้องตาของสาวๆ ด้วยรูปร่างที่ได้สัดส่วนและใบหน้าหล่อเหลาของเขา ทุกการเคลื่อนไหวดูมีเสน่ห์แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ขณะเดินเข้ามาในห้อง เขาได้ยินเสียงพ่อกับน้องสนทนากันอยู่ และเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากพ่อ เขาจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง
สะท้อนความมั่นใจในคำพูดของตนเอง แม้จะดูอ่อนโยนในบางที แต่ความจริงจังในดวงตาของเขากลับแฝงความเข้มแข็งไว้ในตัว
“หลักฐานมันชัดเจนอยู่แล้ว พ่อกับอาภาคภูมิเป็นคนกู้เงินธนาคารมาลงทุน แต่พอบริษัทขาดทุนหนักก็ต้องปิดตัวลง ใช้หนี้กันไป” นิคมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดในแววตา
ณัฐชาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ ด้วยความสงสัยที่ยังค้างคาในใจ
“แล้วทำไมครอบครัวอาภาคภูมิต้องโกรธพ่อล่ะค่ะ... ทั้ง ๆ ที่เราสองครอบครัวก็เป็นหนี้ธนาคารเหมือนกัน”
นิคมหันมามองหน้าลูกสาว ดวงตาของเขาสะท้อนความหนักใจที่เก็บไว้มานาน
“พวกเขาคิดว่าพ่อโกงเงินบริษัท ทำให้บริษัทขาดทุน... ทั้งที่พ่อชี้แจงทุกอย่างตามเอกสารไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังปักใจเชื่อแบบนั้น”
ณัฐพลที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“แค่เงิน 20 ล้าน ผมคิดว่าคนเก่งอย่างอาภาคภูมิน่าจะหาใช้หนี้คืนได้ไม่นาน แต่ทำไมเขาเลือกจบชีวิตแบบนั้นล่ะครับ? อันนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ”
“นั่นสิคะ...” ณัฐชาเสริม น้ำเสียงของเธอเจือไปด้วยความเวทนา
นิคมส่ายหัวช้า ๆ เหมือนพยายามไล่ความคิดที่ค้างคาใจออกไป
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไร... ปกติอาภาคภูมิเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่ครั้งนี้เขากลับทำแบบนั้น พ่อก็ไม่เข้าใจจริงๆ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ก่อนที่เราจะร่วมสร้างบริษัทกัน ภาคภูมิเขาเล่นการพนันหนักมาก ครอบครัวเขาไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ พ่อได้แค่เตือนเขาว่าหยุดเล่นเถอะ มันได้ไม่เท่าเสีย เราเลยไม่รู้ว่าเขาเลือกจบชีวิตด้วยเหตุอะไร”
ณัฐชาขมวดคิ้ว ดวงตาแสดงความไม่เข้าใจ
“แต่สาเหตุที่คุณอาตัดสินใจแบบนั้น มันก็ดู... เหมือนเห็นแก่ตัวนะคะ ทิ้งภาระให้ลูกเมียไว้แบบนี้”
“ณัฐชา!” นิคมปรามทันที เสียงของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย แต่สายตากลับอ่อนโยนอย่างพ่อที่ไม่อยากให้ลูกมีความคิดผิด ๆ
“อย่าไปตัดสินใครง่าย ๆ เลยลูก... คนเรามีเหตุผลของตัวเองเสมอ”
ณัฐพลที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นพ่อนิคมส่ายหัวช้า ๆ เขาก็เลือกที่จะเงียบไปในที่สุด
บรรยากาศในห้องเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆ ของนิคมที่สะท้อนถึงความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
“พอเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอีก”
เสียงพ่อแม้จะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจเลือนหาย พ่อพูดพลางลุกขึ้นเดินจากไป
ณัฐชานั่งอยู่ตรงหน้าต่างๆมองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆหมอก ความเงียบสงัดพี่ชายที่ยังนั่งอยู่ที่อาหารเบื้องหลัง
แต่ในความคิดของเธอ กลับวนเวียนอยู่กับภาพของหัสนัยน์ ชายผู้เคยเป็นทั้งพี่ชายที่แสนอบอุ่นและว่าที่คู่ชีวิตที่ผู้ใหญ่หมายมั่นไว้ให้
“พี่คงเกลียดครอบครัวของเรามากจริงๆ ใช่ไหม...” เธอคิดในใจ ความทรงจำแสนสั้นในวัยเด็กผุดขึ้นมาราวภาพยนตร์ย้อนยุค
หัสนัยน์ ผู้ชายที่เธอหลงรักตั้งแต่ยังไม่ทันได้รู้จักเขาดี ใบหน้าหล่อคมคาย แววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน และการกระทำที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เธอวางใจได้เสมอณัฐชาเฝ้าถามตัวเองในความเงียบ
“ถ้าไม่มีเรื่องวันนั้น เราคงได้คบกันอย่างมีความสุขแล้วใช่ไหม...” แต่ความจริงนั้นโหดร้ายเหลือเกิน เขาเลือกที่จะตัดขาดจากเธอ ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดที่ยากจะลบเลือน
ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา หัวใจของเธอปิดตาย ไม่มีใครสามารถเข้ามาแทนที่ชายคนนั้นได้ เธอคิดถึงทุกช่วงเวลาที่เขายิ้ม
ทุกครั้งที่เขาดูแลเธออย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นที่เธอเคยสัมผัสนั้นกลับกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง
“คิดถึงหัสนัยน์อยู่ใช่ไหม?”
เสียงของณัฐพลดึงเธอกลับมาจากภวังค์ พี่ชายมองน้องสาวด้วยสายตาอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเข้าใจลึกซึ้งในความเจ็บปวดของเธอ
ณัฐชาหันมามองพี่ชาย ก่อนจะย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แล้วพี่ไม่คิดถึงพราวฟ้าบ้างเหรอคะ? หนูรู้นะว่าพี่รักเธอ” ณัฐพลถอนหายใจเบาๆ
“พี่คิดถึงสิ แต่ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฟ้าถูกห้ามไม่ให้ติดต่อกับพี่ จะไปหาก็ไม่กล้า ครอบครัวเขาคงเกลียดบ้านเรามาก”
น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่ต่างจากน้องสาว
“ใช่ค่ะ...” ณัฐชาพยักหน้า น้ำตาคลอเบ้า
“ยิ่งพี่หัสนัยน์...เขาตัดขาดกับหนูโดยสิ้นเชิง เขาเกลียดเรามากจริงๆ เกลียดจนลืมไปว่าเราเคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน”
คำพูดของเธอสั่นเครือ ก่อนที่หยาดน้ำตาจะร่วงหล่นจากดวงตา
ณัฐพลวางมือลงบนไหล่น้องสาว ตบเบาๆ เพื่อปลอบโยน เขาเข้าใจความเจ็บปวดที่น้องกำลังเผชิญ เพราะมันสะท้อนถึงความเจ็บปวดในหัวใจของเขาเอง
“ชีวิตต้องดำเนินต่อไปนะ ถ้าคู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันหรอก พี่อวยพรให้น้องสาวพี่เจอรักแท้ในสักวัน”
เขาพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แม้ในใจลึกๆ จะรู้ดีว่า ณัฐชาคงไม่สามารถเปิดใจให้ใครได้อีก หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะโผเข้ากอดพี่ชายอย่างอบอุ่น แต่ในหัวใจของเธอกลับหนักอึ้งด้วยความรู้สึกที่เธอไม่อาจปล่อยวางได้
ในโลกนี้ ฉันคงไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว หัวใจของฉัน...เป็นของหัสนัยน์เพียงคนเดียว
“แล้วตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ณัฐชาถามพี่ชายด้วยความอยากรู้ แม้จะพยายามปกปิดความรู้สึกที่แฝงอยู่ในใจ
“พวกเขาน่าจะสบายดี หัสนัยน์เก่งมาก เขาเปิดบริษัทเอง กำไรแต่ละปีใช้หนี้ได้เกือบจะหมดแล้วมั้ง เขามุ่งมั่นมาก นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเลย”
ณัฐพลตอบกลับมาในท่าทีที่ดูภาคภูมิใจ ณัฐชายิ้มบางๆ ด้วยความยินดี แต่ภายในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกขัดแย้ง
“เขาเก่งขนาดนี้ คงมีสาวๆ เขามาให้เลือกเพียบแน่ๆ …”
“เหมือนกับว่ามีข่าว ลูกสาวบริษัทแอลทีเค จะไปมาหาสู่กันอยู่นะ เรื่องความสัมพันธ์ อันนี้พี่ไม่รู้จริงๆ”
ณัฐพลพูดพร้อมยักไหล่ ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับเรื่องนี้
ณัฐชาเริ่มรู้สึกหมดหวังขึ้นมา ความจริงที่เธอไม่อยากรับรู้ก็กระทบหัวใจเธออย่างแรง
“ลูกสาวบริษัทแอลทีเค... สาวสวยดีกรีดาวมหาเพื่อนรุ่นเดียวกับพี่หัสนัยน์... เธอคงมีความสำคัญกว่าหนูไปหมดแล้ว”
เธอปาดน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วถอนหายใจยาวๆ
“ช่างเถอะ...เรื่องของเราคงเป็นแค่ฝัน... มีแค่ฉันที่คิดถึงพี่”
ณัฐชาพูดเบาๆ อย่างเจ็บปวด พร้อมกับพยายามดึงสติกลับมา
ณัฐพลเห็นน้องสาวตัดพ้ออยู่ในความเงียบ เขาจึงลูบหัวน้องเบาๆ พร้อมยิ้มให้กำลังใจ
“น้องสาวพี่สวย เดี๋ยวก็เจอคนที่รักจริง... ถ้าไม่ใช่พี่ก็ต้องมีคนอื่นที่รักเธอ”
เขาพูดไปด้วยความหวังดี แต่ในใจลึกๆ เขายังไม่อาจทิ้งความปรารถนาในใจที่อยากเห็นน้องสาวสมหวังกับความรักที่ผู้ใหญ่มั่นหมายไว้ให้
แม้ณัฐชาจะพูดแบบนั้น แต่ใจของณัฐชากลับยังไม่อาจปล่อยความรู้สึกที่หลงเหลือจากหัสนัยน์ได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
“อ๋อ...พรุ่งนี้หนูกลับคอนโดนะคะ พอดีว่าจะนัดไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ค่ะ” ณัฐชาบอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงร่าเริงปนเขินเล็กน้อย
“จ้า แม่นักเที่ยว... ดูแลตัวเองด้วยนะ ไปไหนมาไหนต้องระวังตัวด้วย สาวโสด”
ณัฐพลตอบกลับพร้อมยิ้มเอ็นดู แต่ในใจยังอดเป็นห่วงน้องสาวไม่ได้ เขาคิดว่าดีแล้วที่ณัฐชาเลือกออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ให้ได้ผ่อนคลาย
ดีกว่าจะมัวหมกมุ่นอยู่กับปัญหาหัวใจ ชีวิตต้องก้าวต่อไป และการหาความสุขให้ตัวเองก็สำคัญ
“ขอบคุณค่ะ...พี่ชายที่รักของหนู”
ณัฐชาพูดพลางยิ้มกว้าง เธอยกมือจับแก้มพี่ชายเบาๆ ด้วยท่าทีซุกซน ก่อนจะหมุนตัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดหายไป
ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะสดใสที่ดังแว่วมาจากชั้นบน ทำให้ณัฐพลยิ้มตามอย่างอ่อนโยน
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
แปดเดือนต่อมา"โอ๊ย! ปวดท้อง!" ณัฐชาร้องเสียงหลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความเจ็บปวดจากการคลอดทำให้เธอแทบหมดแรงหัสนัยน์รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นรถโดยไม่รอช้า "อดทนนะที่รัก ใกล้ได้เห็นหน้าลูกของเราแล้ว"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา แม้จะเจ็บปวดแต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล "คุณพ่อจะเข้าห้องคลอดด้วยไหมคะ?"หัสนัยน์พยักหน้าแน่วแน่ "แน่นอนครับ ผมอยากอยู่ให้กำลังใจภรรยาและลูกของผม"เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ ๆ เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น"ยินดีด้วยนะคะ! คุณได้ลูกสาวค่ะ"หัสนัยน์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื้นตัน เขาหันไปกุมมือณัฐชาแน่น น้ำตาของเขาไหลทันที"ขอบคุณมากนะที่ทำให้พี่มีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้"ณัฐชายิ้มทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าจางหายไปเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อยนอกห้องคลอด ครอบครัวทั้งสองฝ่าย พราวฟ้าและณัฐพลต่างรอคอยข่าวดีอย่างใจจดใจจ่อเมื่อพยาบาลเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนก็เฮด้วยความยินดีณัฐพลหันไปกระซิบข้างหูพราวฟ้า "ฟ้า…พี่อยากมีลูกแล้ว"พราวฟ้าหันมาค้อนใส่ "เราควรแต่งงานก่อนมั้ย? อยู่ ๆ จะมาขอมีลูกเลย พี่พลนี่จริงๆ เลย!"
เย็นวันนี้ ณัฐชามีงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ทันทีที่เธอก้าวลงบันไดบ้านในชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ เผยให้เห็นความงามสง่าที่โดดเด่น ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเมคอัพอ่อนๆ ริมฝีปากเงางามด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันณัฐพลที่ยืนรออยู่ด้านล่างมองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูและชื่นชมไม่ปิดบัง เขายิ้มพลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น“วันนี้น้องสาวพี่สวยมากเลย ดูสง่า หนุ่มๆ ในงานคงมองจนลืมกะพริบตาแน่ๆ”ณัฐชาหัวเราะเขินอาย เธอส่ายหัวเบาๆ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แหม…ชมกันเองแบบนี้ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ”บรรยากาศภายนอกเย็นฉ่ำด้วยฝนที่ตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีดาวสักดวงปรากฏให้เห็น เมื่อถึงโรงแรม ณัฐชาเปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับพี่ชายก่อนก้าวลง“สี่ทุ่มครึ่งพี่มารับหนูนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมั่นใจภายในงานเลี้ยง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงดนตรีคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก เพื่อนๆ ทั้งหญิงชายต่างหันมองณัฐชาเป็นตาเดียวกัน ความงามสะดุดตาของเธอสร้างความประทับใจให้ทุกคน รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งทำให
เช้าตรู่วันใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน หัสนัยน์ถือถุงขนมเดินเข้ามาในบ้านของณัฐชา เขาพยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า วันนี้แม่ทำขนมมาให้ ผมเลยเอามาฝากครับ”เขากล่าวเสียงนุ่มนวลพลางยื่นถุงขนมไปวางบนโต๊ะ รพีหันมายิ้มรับด้วยท่าทางใจดี“ของโปรดณัฐชาเลย ขอบคุณมากนะ ฝากขอบคุณแม่เราด้วยล่ะนัยน์”“ได้เลยครับ”หัสนัยน์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาก็ยังมองหาณัฐชาอย่างลุ้นๆ“แล้วณัฐชาอยู่ไหนเหรอครับ?”อาคม ผู้เป็นพ่อของณัฐชา เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ พลางพยักหน้าไปทางสวนหลังบ้าน“น่าจะอยู่ที่สวนข้างบ้านนะ”“ขอบคุณครับคุณลุง”หัสนัยน์โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนหยิบขนมที่ถูกจัดใส่จานแล้วเดินตรงไปยังสวนทันทีที่สวนข้างบ้านในสวนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ณัฐชากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เธอเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของหัสนัยน์ดังใกล้เข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วทันที“แม่พี่ทำขนมที่ณัฐชาชอบมาให้ ลองทานหน่อยนะ”เสียงของหัสนัยน์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาพยายามยื่นจานขนมไปตรงหน้าเธอ ณัฐชาลุกข
คอนโดณัฐชาเสียงเบรกดังเอี๊ยดทำลายความเงียบในลานจอดรถ หัสนัยน์รีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ รัวนิ้วกดหมายเลขชั้นของณัฐชาอย่างไม่รอช้า ในใจเขาสับสนวุ่นวาย คำพูดมากมายผุดขึ้นแต่ไม่มีคำไหนที่รู้สึกว่าเหมาะสมจะเอ่ยออกไปเมื่อพบเธอเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของณัฐชา เขายกมือกดกริ่ง เสียงเรียกดังสะท้อนอยู่ในโถงเงียบสงัด เขายืนรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หัสนัยน์ถอนหายใจ รู้สึกถึงน้ำหนักของความเงียบที่กดทับหัวใจ เขาพึมพำกับตัวเองว่าเธออาจโกรธเขาและไม่อยากพบหน้า แต่เขาไม่อาจรอได้นานไปกว่านี้ภายในห้อง เสียงกริ่งดังมาถึงในขณะที่ณัฐชากำลังอาบน้ำอยู่ เธอไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าคนที่มาอาจเป็นพ่อแม่ ซึ่งมีคีย์การ์ดเปิดห้องอยู่แล้ว เธอค่อยๆ ปล่อยให้น้ำอุ่นชะล้างความเหนื่อยล้าของวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเขาหัสนัยน์มองประตูที่เงียบงัน ก่อนหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าออกมา เขามองมันชั่วครู่ด้วยความลังเล ก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เขากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปนั่งลงบนโซฟาด้