“นั่งคิดอะไรอยู่คะ” เสียงที่ได้ยิน ทำให้ผมหยุดคิดเรื่องเก่าๆ ที่ล้วนแต่เป็นความทรงจำดีๆ ไว้ก่อน ผมส่งยิ้มให้น้องดา ที่วันนี้ใจดีแวะมารอผมที่ทำงาน เหลือเวลาอีกชั่วโมงนิดๆ ผมก็เลิกงานแล้ว หลังจากนั้นเราก็จะออกไปหามื้อเย็นกินกัน
แต่พอเห็นเธอ ก็อดที่จะใจหายไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่วันเราก็ต้องห่างกันครึ่งค่อนโลก ผมไม่อยากให้น้องดาไปเรียนต่อ แต่ก็รู้ว่านั่นคือความฝันของเธอ ซึ่งผมไม่มีสิทธิ์ไปคัดค้าน ได้แต่ยอมรับและรอวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน เฮ้อ... “คิดเรื่องอดีตน่ะครับ คิดว่าเรามีวันนี้กันได้ยังไง” “คิดเป็นคนแก่ไปได้” เธอแยกเขี้ยวขาวๆ ให้ผม “พี่ยอมรับว่าแก่ แต่แก่ยังไงก็ยังหล่อว่าไหม” “หลงตัวเอง ดาเพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าพี่นิกหลงตัวเอง” “พี่ยังมีอะไรตั้งเยอะที่น้องดายังไม่รู้ อย่างเช่น บนตัวพี่มีไฝตรงไหนบ้าง” ผมจงใจพูดแหย่ให้เธอเขิน ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะเธอหน้าแดงก่ำ คงจินตนาการอะไรอยู่เป็นแน่ ก่อนจะเฉไฉตอบกลับมา “บ้า! ใครจะอยากไปรู้เรื่องนั้นกัน” “พรุ่งนี้น้องดาว่างไหมครับ” “อืมม์…ว่างค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” สีหน้าเธอดูสงสัย ผมจึงลุกจากเก้าอี้ทำงานมานั่งบนโซฟาตัวข้างๆ เธอ “พอดีพี่จะพาไปเจอใครหน่อย” “ใครคะ” “ลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง ชื่อเปรม มันอยากเจอน้องดา” “ดาขี้เหร่ จะอยากเจอทำไม” เธอถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้าคนตรงหน้าผมขี้เหร่ คนบนโลกก็คงไม่มีคนสวยแน่ๆ เพราะในสายตาผม น้องดาน่ารัก จมูกเล็กๆ ตาโต แก้มป่อง และปากอิ่มสีชมพูระเรื่อแสนน่าจูบนั่นอีก คิดแล้วผมก็ชักจะร้อนวูบๆ วาบๆ “ขี้เหร่ตรงไหน ออกจะน่ารักขนาดนี้” ผมเอ่ยชม ทำเอาเธออายม้วนไปอีก พอได้มาคบกัน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ผมถึงรู้ว่าน้องดาน่ารัก บางครั้งก็ห้าวไม่แพ้ผู้ชายสักเท่าไหร่ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับน้องสาวผมยังกับอะไรดี สมแล้วที่เป็นเพื่อนสนิทกัน “เอาเป็นว่า บ่ายๆ พี่ไปรับนะครับ เราไปกินข้าวบ้านเปรมกัน เพราะมันออกไปไหนไม่สะดวก พอดีเมียมันท้องแก่ใกล้คลอดแล้วน่ะ” “อ้อ…ได้ค่ะ ว่าแต่เราจะซื้อของขวัญไปฝากหลานไหมคะ รู้เพศยัง ดาจะได้เลือกซื้อของได้ถูก” เธออาสาได้อย่างน่ารัก จนอยากให้รางวัลเป็นกอดหรือหอมสักฟอด แต่ไม่เอาดีกว่า รอก่อน “พี่ยังไม่รู้เพศ เพราะมันไม่ยอมบอก เอาเป็นว่าเราซื้อกระเช้าผักผลไม้ไปฝากเปรมกับเมียก่อนดีกว่า ส่วนของรับขวัญหลาน เดี๋ยวพี่จัดการตอนที่หลานคลอดก็คงได้” “ค่ะ…เสียดายจัง เพราะอีกไม่กี่วันดาต้องบินไปเรียนต่อแล้ว” “แค่บินไปเรียน มากสุดก็สองปีเอง” “สองปี เราต้องห่างกันตั้งสองปีเชียวนะ” “แค่สองปีเอง แป๊บๆ ก็ผ่านไปแล้ว” “พี่นิกจะไปรักคนอื่นไหม” “ถ้าพี่คิดจะรักคนอื่น ป่านนี้พี่รักไปตั้งนานแล้ว ไม่แอบรักใครข้างเดียวมาตั้งหลายปีแบบนี้หรอก แล้วน้องดาล่ะครับ จะไปรักคนอื่นไหม” “ไม่ค่ะ” “สัญญาแล้วนะ ถ้าใครผิดสัญญาขอให้อกหักรักคุด เป็นโสดไปตลอดชีวิต” “สัญญา” เธอเอ่ยขึ้น พร้อมๆ กับเกี่ยวก้อยสัญญากับผม เราสบตากันและเหมือนต้องมนตร์ไปชั่วขณะ ผมยกมือขึ้นมาไล้ผิวแก้มนุ่มๆ ของเธอ น้องดาส่งยิ้มให้ผม เธอดูเขินอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ยังพยายามข่มใจ ไม่หลบสายตา บอกแล้วว่ายิ่งเธอดูเขิน ผมก็ยิ่งชอบมอง ชอบทำให้เขิน ตั้งแต่คบกันเป็นแฟน ผมแทบไม่เคยได้แตะต้องน้องดาเลย ไม่ใช่ว่ากลัวเสียพนันกับเปรม เพราะจริงๆ แล้ว ผมออกจะหัวโบราณหน่อยๆ ไม่อยากมีอะไรกับคนรักก่อนคืนส่งตัวเข้าหอ แต่ก็ไม่รู้ว่าผมจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะน้องดาออกจะน่ารักขนาดนี้ “น้องดา” “ขา” คำตอบรับของเธอมันช่างหวานหูน่าฟัง “พี่หิวข้าวแล้ว เราไปกันตอนนี้เลยดีกว่าครับ” “คะ…ค่ะ” สีหน้าของน้องดายิ่งงงเข้าไปใหญ่ เมื่อครู่ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบ ต่างสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ของกันได้ดี รวมถึงเสียงเต้นของหัวใจที่มันดังโครมครามๆ บ่งบอกความรู้สึกประหม่า ตื่นเต้น แต่ผมก็ต้องหยุด ไม่งั้นเย็นนี้อาจไม่ได้ไปกินข้าว แต่ผมจะกินเธอแทน แล้วยอมเสียเงินพนันแสนนึงไปซะ ความรู้สึกอัดอั้นบ้าๆ ที่เกิดขึ้นมันจะได้หายไปบ้างเมื่อไม่มีกางเกง มือของเปรมก็ยิ่งสำรวจร่างกายฉันได้ง่ายขึ้น เขาสอดปลายนิ้วผ่านขอบแพนตี้แล้วสัมผัสกลีบดอกไม้ รวมทั้งส่งนิ้วเข้าไปสำรวจยังใจกลางลำตัวของฉัน ที่มันร้อนผ่าวๆ แม้ตอนนี้ฉันจะอยู่ในน้ำก็ตาม“ข้างในตัวที่รักมันทั้งอุ่น แถมยังนุ่มไม่เปลี่ยน” เขากระซิบชม ซึ่งเป็นคำชมที่ทำให้ฉันยิ่งเร่าร้อน ก่อนจะครางออกมาเมื่อเปรมเร่งนิ้วให้ถี่กระชั้นฉันขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนที่เปรมจะโน้มใบหน้าลงมาจูบฉัน ขณะที่ยังคงสอดนิ้วเข้าออกอยู่ในตัวฉันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งฉันลอยขึ้นจากน้ำ เพราะถูกเปรมอุ้มให้ขึ้นมานั่งอยู่ริมสระในสภาพกึ่งเปลือยขาทั้งสองข้างของฉันถูกแยกห่างออกจากกัน โดยมีเปรมแทรกตัวอยู่ตรงกลาง เขาไม่รอให้ฉันตั้งตัว ก็โน้มใบหน้าลงไปสัมผัสจุดกึ่งกลางของฉันด้วยความรวดเร็ว แม้จะมีแพนตี้กั้นอยู่ แต่เนื้อผ้ามันก็บางจึงขวางสัมผัสจากปลายลิ้นของเปรมแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ“อืมม์…ที่รักขา” ฉันครางออกมาเสียงกระเส่า พร้อมๆ กับขยำขยี้เส้นผมที่เปียกน้ำของเปรมเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอ
“หูย…อิจฉาริษยาคนมีปั๋วขยันส่งการบ้าน”“บางทีฉันก็ปล้ำเปรมก่อน...โฮะๆ” ฉันยิ้มกรุ้มกริ่ม ส่วนคนฟังก็แอบแลบลิ้นใส่ฉัน อ้อ…ลืมบอกไปว่าปรางทิพย์ก็แต่งงานแล้ว มีลูกชายน่ารักๆ หนึ่งคน ตอนนี้เรียนอยู่อนุบาลสอง“ยัยหื่น เอ้!...หรือว่าที่แกยังไม่ป่อง เพราะแกมันหื่นเกินไป”“หื่นเกินไป ทฤษฎีไหนของแกอีกเนี่ยยัยปราง”“ทฤษฎีด็อกเตอร์ปรางทิพย์นี่แหละจ้ะ ฉันว่าแกลองห่างกิจกรรมเข้าจังหวะกันไปสักเดือนนึงแล้วค่อยซั่ม คราวนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะติดน่าจะมากขึ้นนะ” ยัยเพื่อนตัวแสบยกตัวเองเป็นด็อกเตอร์ไปซะแล้ว แต่ทฤษฎีนี้ของปรางทิพย์ฉันไม่เคยได้ยิน แต่มันก็ไม่เสียหายที่จะลอง แต่หนึ่งเดือนมันนานไปไหม ฉันจะอดใจได้หรือเปล่า...งื้อ“โหว…ตั้งเดือนนึง” เสียงโอดครวญของฉันดังขึ้น“เออ…เดือนเดียวเอง ท่องไว้สิ ว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ยัยปรางให้กำลังใจฉันแบบสุดๆ“ฉั
จากนั้นก็นั่งคุกเข่าแล้วดื่มกินเกสรน้ำหวานที่กำลังหยาดเยิ้มออกมาจากใจกลางกุหลาบดอกสวย ที่กลีบดอกมันยังคงอวบอูมน่าสัมผัสไม่แพ้ครั้งแรกที่ผมได้เห็น ปลายลิ้นของผมที่ตวัดไปมาทำให้น้องดาสะท้าน ร่างกายสั่นไหวพร้อมๆ กับเสียงครางที่ยังคงดังให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง“พะ….พี่นิก อะ…อ่ะ” เธอเอ่ยกระท่อนกระแท่นในยามที่ผมเปลี่ยนมาใช้นิ้วแทนที่จะเป็นลิ้น ผมส่งนิ้วเข้าไปสำรวจความพร้อม ขยับเข้าออกถี่รัว พร้อมๆ กับโน้มใบหน้าลงมาดูดดุนหน้าอกของเธอด้วยการอ้าปากร้อนๆ รับเม็ดยอดสีชมพูสวยที่กำลังแข็งเป็นไตเข้าไปหยอกเย้าในปาก ในขณะที่มือก็ยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกไม่ได้หยุด“พี่นิกขา ดาไม่ไหวแล้ว อ่ะ…” ผมรู้ว่าน้องดาใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเต็มที นั่นเพราะภายในร่างกายของเธอมันตอดรัดถี่รัว ผมจึงเร่งจังหวะส่งเธอไปก่อน เพราะอีกไม่นานผมจะตามไปสมทบน้องดาอ่อนระทวยสลับไหวสะท้านขึ้นลงบ่งบอกว่าได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว ผมยิ้มให้เธอก่อนที่จะรั้งเธอมาจูบหนักๆ ซึ่งน้องดาเองก็จูบตอบผมกลับมาเช่นเดียวกันจังหวะนั
“มีค่ะ” เธอเอ่ยรับ ก่อนจะหยิบผ้าคลุมไหล่ออกมาพันไว้รอบเอวคอด ผมจึงหายใจหายคอโล่งขึ้นมาได้หน่อย เพราะไม่อยากให้ใครแทะโลมคู่หมั้นผมจากนั้นเราก็เดินจูงมือกันไปที่ชายหาด ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเล่นสกีก่อน แล้วค่อยลงเล่นน้ำกันทีหลัง พอเหนื่อยกับกิจกรรมทางทะเล เราก็ขึ้นมาอาบน้ำ แต่งชุดสวยๆ แล้วออกไปดินเนอร์กันที่ชายหาดในค่ำคืนที่มีดาวประดับประดาอยู่เต็มท้องฟ้า“พี่นิก ยิ้มอะไรคะ”“ยิ้มเพราะพี่มีความสุข พี่อยากเก็บภาพตอนนี้ไว้ให้มันอยู่ในความทรงจำเพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจของพี่ พี่จะรอจนกว่าเราจะได้กลับมาพบกัน”“สองปีเอง ไม่นานสักนิด” น้องดาพยายามปลอบผม ทั้งๆ ที่ผมรู้ว่าเธอเองก็กลัวเรื่องเวลาที่เราต้องห่างกัน แต่ผมจะทำลายความกลัวนั้นให้พังราบคาบเอง“ใช่…สองปี ไม่เห็นจะนานเลย”“ดารักพี่นิกนะคะ”“พี่ก็รักน้องดาจ้ะ ไปเต้นรำกับพี่ไหม” ผมเอ่ยชวน เพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศมันดูเศร้า&
“ว่าแต่ข้า เอ็งบอกยัยสรยังว่าเย็นนี้ชวนข้าไปกินเหล้า”“บอกแล้วสิ ถ้าไม่บอกข้าจะมาชวนเอ็งแบบนี้เหรอ”“บอกตอนไหนคะ พี่ตรัย” ผมนี่เห็นกับตาว่าไอ้ตรัยมันมีอาการสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองน้องสาวผม พร้อมกับถามเสียงอ่อยๆ ผมอยากหัวเราะท่าทางมันนัก แต่ต้องเก็บอาการเอาไว้“สร มาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”“ก็นานพอจะได้ยินทั้งหมดนั่นแหละค่ะ ว่าไงคะ สรจำไม่ได้นะ ว่าพี่ตรัยบอกสรตอนไหนว่าเย็นนี้จะไปปาร์ตี้กับพี่นิก...หืม” เอาแล้วไง น้องสาวผมเริ่มซักแล้ว โชคดีนะเพื่อนตรัย“บอกตอนนี้จ้า สรจ๋า...คืนนี้พี่ขอไปปาร์ตี้กับไอ้นิกหน่อยได้ไหมจ๊ะ”“นั่นไง ทีตะกี้ทำเป็นซ่าส์ เอ็งมันก็พ่อบ้านใจกล้าดีๆ นี่เองแหละไอ้ตรัย” ผมเอ่ยขึ้น มันถึงกับหันขวับมามองผมเลยทีเดียว“อืมม์…จะให้ไปดีไหมนะ”“อดแล้วเอ็ง” ประโยคนี้ก็ยังเป็นของผม ส่วนไอ้ตรัยตอนนี้หน้ามันจ๋อยๆ บอกไม่ถูก
“งั้นก็อย่าห้ามพี่เลยนะ พี่ขอ เพราะอีกไม่กี่วันเราก็ต้องอยู่ห่างกันครึ่งค่อนโลกแล้ว” ผมได้ทีกระชับอ้อมกอด“ชิส์…ทำมาเป็นอ้อน ดูไม่เข้ากับพี่นิกเท่าไหร่เลย”“ก็เมื่อก่อนพี่ไม่เคยมีคนให้อ้อนแบบนี้นี่นา พี่ต้องเป็นพี่ใหญ่ ต้องเข้มแข็ง ขืนมามุ้งๆ มิ้งๆ ยัยสรได้ล้อตาย”“เชอะ”“พี่อ้อนน้องดาก็เพราะพี่รักนะ หรือน้องดาไม่รักพี่” ผมถามกลับบ้าง เพราะอยากได้ยินเธอบอกรักกลับมา ซึ่งมันก็ได้ผล“รักค่ะ ไม่รักพี่นิกแล้วจะให้ดาไปรักใคร รู้อยู่ว่าดาแอบรักคนแถวนี้มาตั้งหลายปี...ชิส์” เอ่ยจบเธอก็ย่นจมูกให้ผม ผมจึงโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มเธอหนักๆ ก่อนจะลามมาเป็นการจูบ ที่มันกินเวลาไปหลายนาที กว่าที่ผมจะยอมปล่อยน้องดาให้เป็นอิสระ“เรื่องหมั้น เดี๋ยวพี่ให้ผู้ใหญ่ไปคุยกันนะ พ่อแม่เราจะได้เจอกันด้วย”“ค่ะ” น้องดาตอบรับอู้อี้อยู่ใต้แผงอกของผม ตอนนี้เธอหายใจหอบเหนื่อย คงเพราะเราเพิ่งจู