ในขณะที่เหล่าบรรดานักศึกษานายร้อยทหารทุกคน กำลังเรียนภาคปฏิบัติการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากผู้พันนายแพทย์อลันเป็นวันที่สอง จู่ ๆ ก็มีนายทหารยศสัญญาบัตรคนหนึ่ง เปิดประตูเข้ามา ก่อนจะหันไปทำท่าตะเบ๊ะเชิงขออนุญาตกับอลัน เมื่อเขาพยักหน้ารับ นายทหารคนนั้นจึงคลี่กระดาษ ที่มีตราประทับของกระทรวงกลาโหม พร้อมกับอ่านข้อความที่อยู่ภายในนั้นอย่างสรุปใจความสำคัญมาให้ว่า
“ มีคำสั่งด่วน มาจากท่านนายพลกลาโหม เรียกตัวนักศึกษาทหารหญิงเซนเซียเข้าพบ เป็นการส่วนตัว...ครับผม!”
แน่นอนว่าสายตาทุกคู่หันมามองที่เซนเซียเพียงจุดเดียว รวมไปถึงดวงตาคมเข้มคู่นั้นที่กำลังเลิกขึ้นสูงเชิงสงสัย
เพราะทุกคนในที่นี้ไม่มีใครรู้ว่า นายพลกลาโหมเคเซนคือบิดาของเซนเซีย
แล้วท่านเรียกเธอให้เข้าพบด่วนขนาดนี้ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาก่อนแล้วนะแบบนี้น่ะ...
โทรศัพท์ก็มี แต่เวลาเรียนเธอไม่สามารถพกพามันมาได้ พ่อจึงเลือกใช้วิธีส่งคำสั่ง เป็นลายลักษณ์อักษร มาทางเมลอย่างงั้นเหรอ แล้วจะไห้เธอกลับไปยังไง ในเมื่อที่นี่กับในเมืองหลวงนั่น มีระยะทางห่างไกลกันตั้งหลายร้อยกิโล
“ท่านนายพลเคเซน มีคำสั่งให้ผู้พันเอมิล เอาเฮลิคอปเตอร์มารอรับ อยู่ที่ลานจอดในตอนนี้แล้วครับ”
เสียงเพื่อนร่วมห้องฮือฮากันขึ้นมา พร้อมกับสีหน้าที่มีเครื่องหมายคำถามปนสงสัยของทุกคน
เธอคงไม่มีเวลามาอธิบาย หรือถึงมีเวลาก็ไม่สามารถอธิบายให้ใครฟังได้ เพราะทุกอย่างที่เธอกำลังทำอยู่นี่มันคือความลับ และผู้พันเอมิลคนนั้นก็คือพี่ชายคนรองของเธอเอง
คงจะด่วนมากจริง ๆ นั่นละ ไม่งั้นท่านคงไม่ทำให้คนอื่นๆ พากันสงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับท่านแบบนี้แน่ ๆ
“นักศึกษาทหารหญิงเซนเซีย รีบไปตามคำสั่งของท่านนายพลเถอะ ฉันอนุญาต”
ผู้พันเดวินเป็นผู้บัญชาการฝึกของที่นี่ เดินเข้ามาเอ่ยย้ำ เมื่อเห็นเซนเซียยังทำท่าลังเล
เพราะดูเหมือนเธอทิ้งการฝึกฝนลงกลางคัน ซึ่งมันก็ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อมีคำสั่งมาจากเบื้องบน ใครกันละจะกล้าขัดคำสั่ง ของผู้บัญชาการทหารสูงสุด
“หนูขออนุญาตค่ะ”
เซนเซียเอ่ยพร้อมกับคำนับให้ ก่อนจะพาร่างบอบบาง เดินผ่านร่างสูงใหญ่ของอลัน ที่กำลังจ้องมองเธออย่างไม่วางตา เชิงสงสัย และเขาต้องได้รู้...
เซนเซียรีบวิ่งไปที่ลานจอดเครื่องบินของค่าย และได้เห็นพี่ชายคนรองยืนอ้าแขนรอรับเธอ อยู่ในชุดของทหารอากาศ
หญิงสาวกระโดดเข้าไปกอดคอเขาไว้ทั้งตัว อย่างรู้สึกดีใจพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมา หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานร่วมปี
“เป็นทหารกล้า อย่ามาขี้แยให้ใครเห็นน้ำตาได้สิวะ”
เอมิลเอ่ยเตือน ก่อนจะดันตัวน้องสาวออกมามองหน้า แล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้
ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนที่ปากว่า ความจริงเขาก็อยากจะร้องไห้ออกมาเหมือนกันนั่นละ แต่พยายามบังคับให้มันไหลกลับเข้าไปข้างในต่างหากละ
เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นนี้ อยู่รวมกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งเขาเองยังมองไม่เห็นทาง ถ้ายังไม่มีใครสามารถกำจัดตัวบงการ ที่คอยปลุกปั่นยุแยง และต้องการแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ เพื่อจะขึ้นปกครองซะเองให้มันล้มลงได้
“หนูคิดถึงพี่เอมิล พี่โนอาร์ แล้วก็พ่อกับแม่ด้วยนี่คะ”
เธอเอ่ยเสียงเครือพร้อมกับเอาหลังมือตัวเองป้ายเช็ดน้ำตาที่กำลังร่วงลงมาเหมือนเด็กๆ
“พี่มารับเรากลับไปนี่ไง พ่อมีคำสั่งลงมาด่วน แต่อย่างเพิ่งถามพี่นะ เพราะยังไม่รู้อะไรเหมือนกับเรานั่นละ ท่านคงจะบอกกับเราพร้อมกัน รีบไปกันเถอะ ท่านทั้งสองคนน่าจะกำลังรอเราอยู่”
เอมิลอธิบายพร้อมกับวาดแขนโอบบ่าน้องสาว พาขึ้นไปนั่งบนเฮลิคอปเตอร์ด้วยกัน พร้อมกับออกคำสั่งให้พลขับรีบพาเขากับน้องสาวกลับเข้าเมืองหลวงทันที
ทุกการกระทำของทั้งคู่อยู่ในสายตาคมกริบ ของผู้พันนายแพทย์อลันตลอด เขามองเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น จนมันหายลับไปจากสายตา ก่อนจะหันมาเอ่ยถามเอากับอีกคนหนึ่งว่า
“ผู้พันเดวิน รู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนั่นบ้างไหม?”
“ กูก็รู้เท่าที่มึงรู้ อยู่กันสองคนมึงไม่ต้องมาเจ้ายศเจ้าอย่างกับกูก็ได้มั๊ย! ไอ้ลัน!”
“เออ..กูลืมตัว...บางทีเธออาจจะเป็นอีหนูลับ ๆ ของนายพลก็ได้มั้ง...มึงเห็นด้วยกับกูไหม?”
“มึงคิดอะไรปัญญาอ่อนไปไหมวะไอ้ลัน ท่านนายพลกลาโหมน่ะรักเมียยังกับอะไรดี แล้วก็มีเมียเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่เคยมีข่าวเลยนะว่าท่านเลี้ยงเด็ก ๆ อีกอย่างถ้ากล้ามีอีหนู ก็ถูกตัดตอนลูกเดียวเลยสิ ใคร ๆ ก็รู้ว่า เมียทหารของท่านที่เป็นคนไทยน่ะดุจะตายชัก แล้วยังเก่งทางด้านการต่อสู้ เก่งกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก หัวแข็งก็ที่หนึ่ง ปลุกระดมผู้หญิงในประเทศของเรา ให้มีความเสมอภาคทัดเทียมกับผู้ชาย ตั้งแต่เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว แถมยังเป็นคนสนิทของเหนือหัวของเราอีกด้วยนะ หรือนักเรียนทหารหญิงเซนเซียนั่น จะเป็นลูกหลานของท่านกันวะ”
เดวินพยายามวิเคราะห์ให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด แต่ถูกอีกคนค้านกลับมาว่า
“ลูกหลานจริง จะให้มาลำบากลำบนหรือเสี่ยงตายทำไมวะ นั่งสวย ๆ แต่งงานเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านสบาย ๆ ไม่ดีกว่ารึไงฮึ...”
“ทีมึงมีพ่อเป็นถึงท่านทูต แทนที่มึงจะเป็นหมออยู่โรง’บาลใหญ่ ได้ฟันทั้งหมอทั้งพยาบาล มึงเสือกมาฝึกเป็นทหาร แล้วยังขอย้ายมาอยู่ไกลถึงที่นี่ ให้ลำบากตัวเองทำไมวะ?”
“กูเป็นคนมีอุดมการณ์ไง”
“ท่านนายพลก็คงเหมือนกัน ท่านเป็นคนตงฉิน จงรักภักดี ท่านอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง เพราะลูกชายของท่าน ก็เป็นทหารเหมือนกับเรานี่ละ แต่กูก็ไม่เคยเห็นนะ ก็แล้วทำไมมึงถึงได้สนใจเด็กคนนั้นขึ้นมาวะ สวยมากก็จริงอยู่ แต่ตัวกะเปี๊ยกเดียว จับไม่ค่อยเต็มไม้เต็มมือเท่าไหร่หรอกนะแบบนั้นน่ะ...เจออย่างเราเข้าไปน่าจะหักกลางเลยละมั้งกูว่า”
“ฮึ...มึงยังไม่รู้อะไร...ก็อย่าพูดส่งๆ”
อลันเอ่ยออกไปลอยๆ คล้ายกับรำพึง เมื่อนึกถึงคำพูดในคืนนั้นของหญิงสาว ที่ยังก้องอยู่ในหัวของเขาอยู่เลย
‘หนูจะเป็นคนแรกที่ทำให้คุณลืมหนูไม่ลง’
“แล้วมึงจะให้กูรู้เหี้ยไรกะมึงวะไอ้นี่...แปลกคน!...อ้าวเฮ้ย!..ไอ้ลันมึงรอกูด้วยดิ...”
เพื่อต้องการจะสืบหาเรื่องราวของหญิงสาว เอากับคนที่น่าจะรู้จักกับครอบครัวของเธอดี
นั่นก็คือ...อธิปดีกรมการปกครองซึ่งเป็นลุงของเขานั่นไง...
“ผู้พันช่วยตอบคำถามของผมด้วยครับ อย่าลืมว่าคุณกำลังอยู่ในเครื่องจับเท็จอยู่นะ กรุณาอย่าคิดนาน...”อามิลเอ่ยเร่ง พร้อมกับย้ำคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งซึ่งความจริงมันไม่ใช่ตัวเขาเองหรอกนะที่เป็นคนตั้งคำถาม แต่มันมาจากหูฟังที่มี่คำสั่งส่งมาตามสาย ที่อยู่ห้องถัดไปของผู้ให้กำเนิดเพียงเพราะพวกท่านอยากจะรู้ ว่าผู้ชายคนนี้เหมาะสมกับลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคนในบ้านมากแค่ไหน?ถึงต้องทำกันขนาดนั้นเชียว?ผู้พันดันเล่นของสูงมันก็ต้องมีเดิมพันกันหน่อยละ...เดิมพันด้วยชีวิตนะ!...หากตอบผิดชีวิตของผู้พันจะเปลี่ยนเลยทันที...ไม่ถูกจับถ่วงในทะเลกว้าง...ก็ถูกจับฝังอยู่กลางป่าลึก“ฉันรักเซน!...” อลันตอบกลับอย่างไว“แค่ไหน?” อามิลถามกลับไปตามคำสั่ง พลางบ่นในใจ...โอ๊ย! ท่านแม่คร๊าบ!...เข้ามาถามเองเลยก็ได้มั๊ย!?“ชีวิต...มากกว่าชีวิตของฉัน”อลันตอบกลับมาทันที สายตาคมมองสบตากับอามิลอย่างไม่หวาดหวั่น แม้แต่เครื่องจับเท็จนั่นยังทำอะไรอลันไม่ได้เลยอามิลเงียบเสียงของตัวเองลงไปเพราะกำลังรอฟังคำถามเสียงจากปลายสาย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดกลับมา อามิลจึงบอกกับอลันต่อจากนั้นว่า
เมื่อข่าวนี้มันดังกระจายออกไปจนถึงหูของอลัน นั่นจึงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ชายหนุ่ม ย้ายตัวเองเพื่อหนีเธอไปอยู่ไกลถึงชายแดน เขาหายไปจากชีวิตของหญิงสาวราวกับตายจากโนอาร์ละคำพูด ก่อนจะลุกไปหยิบน้ำในตู้เย็นออกมาดื่มดับกระหาย จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งที่เดิม แล้วเริ่มเล่าต่อเพราะรู้ว่าน้องสาวกำลังรอฟัง“พี่เพิ่งจะรู้ข่าวจากท่านแม่ว่า องค์ชายมักจะชอบหักหาญน้ำใจเราบ่อยๆ จนครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะหนีไปพักผ่อนที่ทะเลทางใต้ เราได้ทำร้ายองค์ชายเอาไว้ด้วยนี่ใช่มั๊ย?...” เมื่อเห็นเซนเซียพยักหน้ารับ โนอาร์ถึงกับกลั้วหัวเราะขำ“เราทำร้ายร่างกายท่านจนแทบจะสูญพันธ์เลยนี่หว่า...ถึงขนาดต้องพาแพทย์ประจำพระองค์เข้ามาตรวจรักษาอาการกันตอนนั้นเลย...แล้วเราก็หนีออกมาจากวังหน้าตาเฉย...”“ก็ถ้าหนูไม่รีบออกมา องค์ชายอาจจะตายคามือหนูเลยก็ได้นะคะ” เซนเซียเอ่ยออกไปเสียงเข้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกองค์ชายเรียกตัวเข้าไปพบในห้องเพราะต้องการจะลวนลามเชิงข่มขู่บังคับ เธอก็เลยทำให้ตรงนั้นของท่านดับอย่างอนาถ ให้สมกับที่ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ“พี่ก็ว่างั้น...แต่พระองค์ทรงกริ้วเรามากเลยนะ ถึงได้สั่งให้คนของท่านตามไปเฝ้าเราไว้ แล้
ความจริงในใจกับภาพที่อลันได้เห็นเซนเซียร้องไห้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไร มันเจ็บจุกจนพูดไม่ออกต่างหากละอีกทั้งการกระทำต่างๆ ที่ทำให้คนรอบกายได้เห็นว่า เขากำลังเข้มแข็งตามที่ปากว่า ด้วยการปล่อยน้ำตาของลูกผู้ชายให้ไหลกลับเข้าไปข้างในนั้น....มาลิคที่ยืนรอจังหวะนั่นอยู่นาน เมื่อสบโอกาสเขาจึงรีบกดโทรศัพท์ถึงลุงของอลันที่เป็นถึงอธิปดีกรมการปกครองทันทีชายหนุ่มเล่าทุกอย่างเท่าที่เขารู้ และประติดประต่อเรื่องราวเอาเองได้ไม่ยากจากที่อลันเคยเล่าให้เขาฟังกระทั่งคนสุดท้ายที่มาลิคต้องส่งข่าวให้รู้ก็คือคลูเซ็น ที่เป็นน้องสาวของอลัน อีกทั้งยังเป็นคนรักของเขานั่นเองเมื่อวางสายจากมาลิค อธิปดีกรมการปกครองจึงสั่งให้ลูกน้องคนสนิท ติดต่อหาเอกอัครราชทูตเมสันกับคุณหญิงเซลิน่าภรรยาซึ่งทั้งคู่ก็คือผู้ให้กำเนิดของอลันพอติดต่อเมสันได้ อธิปดีกรมการปกครองซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชาย จึงเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองคนนั่นได้ฟังแต่เพียงคร่าวๆหลังจากได้รู้ข่าวของลูกชาย ทั้งคู่จึงรีบบินกลับประเทศเปรมาเดี๋ยวนั้นทันที ด้วยเครื่องบินที่มีประจำตำแหน่งเอกอัครราชทูตเมสันคงต้องใช้วาทะศิลป์ที่ตัวเองถนัด และมีความสามารถทางด้านนี้เ
อลันดึงร่างบางออกห่าง พลางพูดกับเจ้าตัวต่อจากนั้นทันที “อย่าดื้อกับพี่ชาย...แล้วก็ท่านพ่อกับท่านแม่นะเข้าใจมั๊ย?...พี่ไม่เป็นไร...”“หนูไม่ให้พี่ไป...ฮึกๆ ”“เซน!หยุดร้องไห้...” อลันออกคำสั่งเชิงบังคับกับเธออีกครั้ง ในขณะที่ใช้สายตาคม ก้มมองร่างเล็กที่กอดเขาเอาไว้ มือใหญ่ค่อยๆ แกะมือน้อยๆ ของเธอให้หลุดออก แต่ยังคงกุมมือของหญิงสาวเอาไว้แน่น“พี่ลัน! ไม่นะคะ!”“อย่าดื้อกับพี่นะเซน!...เราเป็นทหารต้องเข้มแข็ง อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นว่าเรากำลังอ่อนแอ...พี่พูดแค่นี้เธอเข้าใจพี่ใช่มั๊ย!?” อลันเอ่ยกับร่างบางเสียงเข้ม จากนั้นจึงปล่อยมือน้อยออกจากการมือใหญ่ของเขาน้ำเสียงที่ดูจริงจังราวกับสั่งได้ของชายหนุ่ม ทำให้เซนเซียเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มแน่นๆ ก่อนจะคลายเสียงสะอื้นลงทีละน้อย แต่ถึงอย่างนั้นมือใหญ่ก็ค่อยๆ ยกขึ้นเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาออกให้ อย่างแผ่วเบาราวกำลังปลอบโยนผู้พันหนุ่มไม่ต้องการทำให้คนในครอบครัวของหญิงสาว ต้องมาผิดใจกันเพราะมีเขาเป็นสาเหตุใหญ่ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือกฎข้อบังคับ ที่ทหารทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะวินัยที่ดีของนายทหารคือไม่ควรขัดคำสั่งของผู้บังคับบั
“แต่มันเป็นคำสั่งของท่านนายพลนะครับคุณเซนเซีย...คำสั่งของท่านผู้นำเท่านั้นที่สำคัญ และถือว่านั่นคือที่สุด!...”“งั้นก็ไม่ต้องพูดมาก! เพราะฉันไม่อยากจะฟัง! อย่างมากก็แค่ให้พังกันไปข้าง!”เซนเซียพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดกระด้างอย่างรู้สึกโมโหมาก จากนั้นมันก็ไต่ระดับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเริ่มจะเปลี่ยนไป.... จากบรรยากาศที่กำลังสดใส แต่ในตอนนี้เมฆสีขาวที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ต่างพากันรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้าไปบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์น้ำทะเลถูกกระแสลมแรงพัดผ่านจนเกิดคลื่นสูงใหญ่ ในขณะที่เม็ดทรายบนพื้นนั่นก็ฟุ้งกระจายขึ้นไปในลักษณะที่ไม่ต่างกันมาบัดนี้ดวงตาคู่สวยที่เคยมีประกายวาวหวานอยู่ในนั้น มันกำลังเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัดมากขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่รางบางย่างเท้าเข้าไปหาเหล่าบรรดานายทหารที่อยู่ตรงหน้านั่นอย่างท้าทาย ผิดกับอีกฝ่ายที่พร้อมใจกันเดินถอยหลังอย่างรู้สึกหวาดกลัวเซนเซียกำลังโกรธจัดจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์และสติของตัวเองได้เหมือนกับทุกๆ ครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่ามันคือคำสั่งที่มาจากท่านผู้นำก็ตามหากเธอยอมให้พวกนั้นเอาตัวอลันไปได้ง่ายๆ ชายหนุ่มอาจ
เสียงของเฮลิคอปเตอร์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งน่านฟ้า เพราะบินตามกันมาไม่ต่ำกว่าสิบลำ เรียกสายตาของทั้งสองคู่ที่กำลังเดินเล่นกันอยู่บริเวณริมชายหาด ให้มองตามไปยังจุดที่ทุกลำพากันลงจอด ก่อนจะละสายตากลับมามองหน้ากันอีกครั้ง พร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่ยังติดอยู่บนใบหน้างามของเธอ“ทำไมเฮลิคอปเตอร์ถึงได้มาลงจอดที่ค่ายหลายลำนักละคะ?” คนตัวเล็กกว่าหันมาถามอลันอย่างรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยในทันทีเพราะดูจากจำนวนของเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามกันมาเป็นขบวนขนาดนั้น คนที่นั่งมานั่นย่อมเป็นคนสำคัญและน่าจะมียศใหญ่ที่ไม่ธรรมดาเลย“ไม่รู้สิ...เพราะพี่เป็นหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า มันคนละส่วนกันน่ะ อย่าไปสนใจเลยนะ เพราะมันไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกันกับเรา...เราสองคนรีบไปขึ้นเรือกันเถอะ พี่จะได้พาเธอไปนอนค้างกลางทะเล เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในแบบที่เธอต้องการไง...”อลันบอกพร้อมกับกดจมูกลงพวงแก้มนุ่มในจังหวะที่หญิงสาวหันมาย่นจมูกใส่เขาพอดี“งื้อ~~...พี่ลันชอบล้อหนู...” เธอต่อว่าในขณะที่เอนหน้าหนีปลายจมูกโด่งของร่างหนาที่ทำท่าจะโน้มลงมาอีกรอบ“ไอ้ลัน!”แต่ทว่าในจังหวะเดียวกันก็มีเสียงของผู้ชายเรียกชื่อของอลันดังมาแต่ไก