ขนาดลุงของอลันเป็นถึงอธิปดีกรมการปกครองที่ว่าใหญ่แล้ว ยังไม่กล้าก้าวล่วงถึงประวัติของนายพลกลาโหม
รู้มาบ้างเพียงคร่าว ๆ จากพรรคพวกบางคนที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกใจว่า ทำไมทุกอย่างของครอบครัวของนายพลเคเซน จึงถูกปกปิดไว้เป็นความลับ นั่นกลับทำให้เรื่องราวของเซนเซียช่างน่าสงสัย และทำให้อลันอยากค้นหาประวัติ กับความเป็นมาของเธอมากยิ่งขึ้น คงต้องเริ่มจากเพื่อนทหารของเขานี่แหละมั้ง
“นี่มึงดูสนใจเด็กคนนี้เกินไปรึเปล่าวะไอ้ลัน”
เดวินเอ่ยถามพร้อมกับที่หรี่ตามองเพื่อนร่วมรุ่น ที่สนิทกันมากที่สุดแบบหยั่งเชิง
“เออ..มึงก็แค่เล่าเรื่องของเธอตอนที่อยู่ที่นี่ ให้กูฟังว่าการเรียนทฤษฎี หรือการฝึกภาคสนาม ตั้งแต่ปีแรกจนถึงวันนี้เธอเป็นอย่างไรบ้างก็เท่านั้นแหละน่า”
“ มึงไม่มีเคสรักษาคนป่วยหรือดูแลคนไข้เลยหรือไงวะ ดูว่างเกิ้น!”
เดวินประชดคนตัวใหญ่พอกัน ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเขา คล้ายกับเล่นตัว
“ตอนแรกไม่มีเคสอะไรนะ แต่ตอนนี้ใกล้จะมีละ หากมึงยังกั๊กไม่เล่าออกมาให้กูฟังเดี๋ยวนี้น่ะ”
อลันตอบโต้กลับไปเชิงขู่ ในขณะที่เอานิ้วเคาะโต๊ะไปพร้อมกัน ทำเอาอีกคนหัวเราะร่วนออกมาอย่างขบขัน
“มึงนี่ก็ใจร้อนเหมือนเดิม เป็นหมอห่าอะไรวะ น่าจะเป็นหน่วยจู่โจมมากกว่านะกูว่า”
“มึงจะเล่าได้ยัง!”
อลันดึงเพื่อนมาเข้าเรื่อง เพราะรำคาญความลีลาของมันเต็มที
“แลกกับเหล้าอย่างดีสักขวด เพราะเงินเดือนหมอของมึงเยอะกว่ากู..เคป่ะ?”
“เออ!..มึงเล่ามาเลยนะห้ามกั๊ก...”
หลังจากนั้น อลันจึงเงียบเสียงของตัวเองลง เพื่อฟังเดวินเล่าเรื่องราวของหญิงสาวให้เขาฟังอย่างตั้งใจเพื่อเก็บรายละเอียดเอาไว้ทั้งหมด
“เธอสอบเข้ามาได้ในลำดับต้น ๆ ตอนอายุสิบหก แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่เธอชำนาญทางด้านการใช้อาวุธทุกชนิด และการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เหมือนกับถูกฝึกทุกอย่างมาแล้ว นั่นละในเชิงปฏิบัติของเธอ จึงอยู่ในอันดับที่หนึ่งไม่เคยเป็นรองใคร น่าแปลกมากนะมึงว่าไหม?...”
เดวินหยุดเล่าในขณะที่ถามอลันกลับมา เชิงขอความเห็นของอีกคน ที่กำลังนั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ก็คิดตามไปพร้อมกัน แต่เมื่ออลันไม่ถาม หรือไม่ตอบอะไรกลับมา เดวินจึงเล่าต่อจากนั้น
“หน่วยของเราต้องเรียนและฝึกทั้งหมดเจ็ดปี พอขึ้นปีที่สี่ถึงเจ็ด ทั้งสี่ปีนี้แกก็รู้ใช่ไหมว่า ต้องให้นักเรียนทหารทุกคนออกไปฝึกภาคสนามกับสถานที่ที่มีการต่อสู้กันจริง ๆ แล้วก็ต้องมีการตายจริง ๆ ในทุก ๆ ปีไม่เคยมีนักเรียนทหารรุ่นไหนกลับมาได้ครบเลย แต่เซนเซียพาทุกคนในรุ่นของเธอกลับมาได้หมด จนถึงทุกวันนี้ก็ใกล้จะจบกันแล้ว มึงว่ามันปกติไหมละ ที่เธอจะถูกเรียกตัวเข้าพบด่วน เธออาจถูกวางตัวเอาไว้ เพื่อให้ทำภารกิจอะไรบางอย่าง อันนี้กูเพิ่งมาวิเคราะห์ตอนที่มึงทักนั่นละ...แล้วมึงละคิดว่ายังไง?”
“ มึงอย่างเพิ่งมาถามกู มึงเล่าที่มึงรู้มาก็พอ...” สีหน้าบวกกับน้ำเสียงจริงจังของอลันทำให้อีกฝ่ายถึงกับส่ายหน้า ก่อนจะเล่าเท่าที่ตัวเองรู้มาต่อจากนั้น
“ที่กูรู้นี่เพราะกูเคยสงสัย เลยเรียกเพื่อนร่วมรุ่นของเธอมาถามไง...ทุกคนตอบเหมือนกันหมดเลยว่า เด็กนั่นมีหูที่ได้รับสัญญาณของเสียงได้ดี แค่เพียงเอาหูแนบกับพื้นดิน เธอก็รู้ว่ามีคนกี่คนกำลังเดินเข้ามาใกล้ และรู้ว่าระยะทางที่อยู่ข้างหน้ามีระเบิดฝังอยู่ตรงไหน? ทุกคนจึงยอมให้เธอเป็นผู้นำทางในทุก ๆ ปี พวกนี้จึงรอดมาได้ แค่นี้ละที่กูรู้ แล้วมึงละคิดว่ายังไง? เดวินกล่าวทิ้งท้ายกับอลันด้วยคำถามเดิม
อลันยังไม่ตอบเพื่อนในทันที เขาเสสายตาหันไปมองอีกทาง ก่อนจะชักสายตากลับมามองคนตรงหน้านิ่ง ๆ แล้วจึงเอ่ยออกไปว่า
“ขอบใจว่ะ สำหรับข้อมูล”
อลันลุกขึ้นยืน พร้อมกับดันเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งไปไว้ทางด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ในขณะที่อีกคนรีบเอ่ยทักขึ้นมาเลยว่า
“อ้าวเฮ้ยไอ้ลัน! แล้วไหนเหล้ากูละ?”
อลันยกมือขึ้นทำสัญญาณให้ ในขณะที่เอี้ยวคอหันไปเอ่ยกับเพื่อนว่า
“เดี๋ยวกูให้ลูกน้องกูเอามาให้ มึงรอแดกอยู่นี่แหละ ”
ยายตัวเล็กนั่นเริ่มทำให้เขาสนใจเธอมากยิ่งขึ้น จนยากจะลืมเธอได้ลงจริง ๆ
ยอมรับว่ามันติดตา กับท่าทางเงอะงะไม่ประสีประสาของเธอที่ไม่ตรงกับปาก ที่เอ่ยวาจาออกมาแล้วดูแก่แดดจนเกินตัว และทำท่าเหมือนตัวเองเจนเวที และโชกโชนมาแล้วทุกที่ทุกสนาม
ติดใจกับรสสัมผัส จนทำกับเธอไปหลายครั้ง ซึ่งมันเหมือนกับว่า เท่าไหร่กับเธอเขาก็ยังไม่รู้สึกพอ ไม่รู้สึกอิ่ม มันวนเวียนกับความรู้สึกจนไม่สามารถสลัดทิ้ง ออกจากไปหัวของเขาได้เลย
จนได้มาพบกันอีกครั้ง และเหมือนกำลังจะห่างกันออกไปอีกแล้วด้วย
เธอคือใครกันนะเซนเซีย?
มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันอะไร กับท่านนายพลกลาโหมกันแน่?
ยิ่งกว่านั้น...เธอจะได้กลับมาที่นี่อีกไหม?
และที่สำคัญที่สุด...เราจะได้พบกันอีกรึเปล่า?
กระทั่งภาพระหว่างเธอกับเขาในคืนนั้น มันก็ประเดประดังกันเข้ามา อยูู่ในหัวของเขาเต็มไปหมด....
“ผู้พันช่วยตอบคำถามของผมด้วยครับ อย่าลืมว่าคุณกำลังอยู่ในเครื่องจับเท็จอยู่นะ กรุณาอย่าคิดนาน...”อามิลเอ่ยเร่ง พร้อมกับย้ำคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งซึ่งความจริงมันไม่ใช่ตัวเขาเองหรอกนะที่เป็นคนตั้งคำถาม แต่มันมาจากหูฟังที่มี่คำสั่งส่งมาตามสาย ที่อยู่ห้องถัดไปของผู้ให้กำเนิดเพียงเพราะพวกท่านอยากจะรู้ ว่าผู้ชายคนนี้เหมาะสมกับลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคนในบ้านมากแค่ไหน?ถึงต้องทำกันขนาดนั้นเชียว?ผู้พันดันเล่นของสูงมันก็ต้องมีเดิมพันกันหน่อยละ...เดิมพันด้วยชีวิตนะ!...หากตอบผิดชีวิตของผู้พันจะเปลี่ยนเลยทันที...ไม่ถูกจับถ่วงในทะเลกว้าง...ก็ถูกจับฝังอยู่กลางป่าลึก“ฉันรักเซน!...” อลันตอบกลับอย่างไว“แค่ไหน?” อามิลถามกลับไปตามคำสั่ง พลางบ่นในใจ...โอ๊ย! ท่านแม่คร๊าบ!...เข้ามาถามเองเลยก็ได้มั๊ย!?“ชีวิต...มากกว่าชีวิตของฉัน”อลันตอบกลับมาทันที สายตาคมมองสบตากับอามิลอย่างไม่หวาดหวั่น แม้แต่เครื่องจับเท็จนั่นยังทำอะไรอลันไม่ได้เลยอามิลเงียบเสียงของตัวเองลงไปเพราะกำลังรอฟังคำถามเสียงจากปลายสาย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดกลับมา อามิลจึงบอกกับอลันต่อจากนั้นว่า
เมื่อข่าวนี้มันดังกระจายออกไปจนถึงหูของอลัน นั่นจึงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ชายหนุ่ม ย้ายตัวเองเพื่อหนีเธอไปอยู่ไกลถึงชายแดน เขาหายไปจากชีวิตของหญิงสาวราวกับตายจากโนอาร์ละคำพูด ก่อนจะลุกไปหยิบน้ำในตู้เย็นออกมาดื่มดับกระหาย จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งที่เดิม แล้วเริ่มเล่าต่อเพราะรู้ว่าน้องสาวกำลังรอฟัง“พี่เพิ่งจะรู้ข่าวจากท่านแม่ว่า องค์ชายมักจะชอบหักหาญน้ำใจเราบ่อยๆ จนครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะหนีไปพักผ่อนที่ทะเลทางใต้ เราได้ทำร้ายองค์ชายเอาไว้ด้วยนี่ใช่มั๊ย?...” เมื่อเห็นเซนเซียพยักหน้ารับ โนอาร์ถึงกับกลั้วหัวเราะขำ“เราทำร้ายร่างกายท่านจนแทบจะสูญพันธ์เลยนี่หว่า...ถึงขนาดต้องพาแพทย์ประจำพระองค์เข้ามาตรวจรักษาอาการกันตอนนั้นเลย...แล้วเราก็หนีออกมาจากวังหน้าตาเฉย...”“ก็ถ้าหนูไม่รีบออกมา องค์ชายอาจจะตายคามือหนูเลยก็ได้นะคะ” เซนเซียเอ่ยออกไปเสียงเข้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกองค์ชายเรียกตัวเข้าไปพบในห้องเพราะต้องการจะลวนลามเชิงข่มขู่บังคับ เธอก็เลยทำให้ตรงนั้นของท่านดับอย่างอนาถ ให้สมกับที่ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ“พี่ก็ว่างั้น...แต่พระองค์ทรงกริ้วเรามากเลยนะ ถึงได้สั่งให้คนของท่านตามไปเฝ้าเราไว้ แล้
ความจริงในใจกับภาพที่อลันได้เห็นเซนเซียร้องไห้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไร มันเจ็บจุกจนพูดไม่ออกต่างหากละอีกทั้งการกระทำต่างๆ ที่ทำให้คนรอบกายได้เห็นว่า เขากำลังเข้มแข็งตามที่ปากว่า ด้วยการปล่อยน้ำตาของลูกผู้ชายให้ไหลกลับเข้าไปข้างในนั้น....มาลิคที่ยืนรอจังหวะนั่นอยู่นาน เมื่อสบโอกาสเขาจึงรีบกดโทรศัพท์ถึงลุงของอลันที่เป็นถึงอธิปดีกรมการปกครองทันทีชายหนุ่มเล่าทุกอย่างเท่าที่เขารู้ และประติดประต่อเรื่องราวเอาเองได้ไม่ยากจากที่อลันเคยเล่าให้เขาฟังกระทั่งคนสุดท้ายที่มาลิคต้องส่งข่าวให้รู้ก็คือคลูเซ็น ที่เป็นน้องสาวของอลัน อีกทั้งยังเป็นคนรักของเขานั่นเองเมื่อวางสายจากมาลิค อธิปดีกรมการปกครองจึงสั่งให้ลูกน้องคนสนิท ติดต่อหาเอกอัครราชทูตเมสันกับคุณหญิงเซลิน่าภรรยาซึ่งทั้งคู่ก็คือผู้ให้กำเนิดของอลันพอติดต่อเมสันได้ อธิปดีกรมการปกครองซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชาย จึงเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองคนนั่นได้ฟังแต่เพียงคร่าวๆหลังจากได้รู้ข่าวของลูกชาย ทั้งคู่จึงรีบบินกลับประเทศเปรมาเดี๋ยวนั้นทันที ด้วยเครื่องบินที่มีประจำตำแหน่งเอกอัครราชทูตเมสันคงต้องใช้วาทะศิลป์ที่ตัวเองถนัด และมีความสามารถทางด้านนี้เ
อลันดึงร่างบางออกห่าง พลางพูดกับเจ้าตัวต่อจากนั้นทันที “อย่าดื้อกับพี่ชาย...แล้วก็ท่านพ่อกับท่านแม่นะเข้าใจมั๊ย?...พี่ไม่เป็นไร...”“หนูไม่ให้พี่ไป...ฮึกๆ ”“เซน!หยุดร้องไห้...” อลันออกคำสั่งเชิงบังคับกับเธออีกครั้ง ในขณะที่ใช้สายตาคม ก้มมองร่างเล็กที่กอดเขาเอาไว้ มือใหญ่ค่อยๆ แกะมือน้อยๆ ของเธอให้หลุดออก แต่ยังคงกุมมือของหญิงสาวเอาไว้แน่น“พี่ลัน! ไม่นะคะ!”“อย่าดื้อกับพี่นะเซน!...เราเป็นทหารต้องเข้มแข็ง อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นว่าเรากำลังอ่อนแอ...พี่พูดแค่นี้เธอเข้าใจพี่ใช่มั๊ย!?” อลันเอ่ยกับร่างบางเสียงเข้ม จากนั้นจึงปล่อยมือน้อยออกจากการมือใหญ่ของเขาน้ำเสียงที่ดูจริงจังราวกับสั่งได้ของชายหนุ่ม ทำให้เซนเซียเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มแน่นๆ ก่อนจะคลายเสียงสะอื้นลงทีละน้อย แต่ถึงอย่างนั้นมือใหญ่ก็ค่อยๆ ยกขึ้นเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาออกให้ อย่างแผ่วเบาราวกำลังปลอบโยนผู้พันหนุ่มไม่ต้องการทำให้คนในครอบครัวของหญิงสาว ต้องมาผิดใจกันเพราะมีเขาเป็นสาเหตุใหญ่ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือกฎข้อบังคับ ที่ทหารทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะวินัยที่ดีของนายทหารคือไม่ควรขัดคำสั่งของผู้บังคับบั
“แต่มันเป็นคำสั่งของท่านนายพลนะครับคุณเซนเซีย...คำสั่งของท่านผู้นำเท่านั้นที่สำคัญ และถือว่านั่นคือที่สุด!...”“งั้นก็ไม่ต้องพูดมาก! เพราะฉันไม่อยากจะฟัง! อย่างมากก็แค่ให้พังกันไปข้าง!”เซนเซียพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดกระด้างอย่างรู้สึกโมโหมาก จากนั้นมันก็ไต่ระดับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเริ่มจะเปลี่ยนไป.... จากบรรยากาศที่กำลังสดใส แต่ในตอนนี้เมฆสีขาวที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ต่างพากันรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้าไปบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์น้ำทะเลถูกกระแสลมแรงพัดผ่านจนเกิดคลื่นสูงใหญ่ ในขณะที่เม็ดทรายบนพื้นนั่นก็ฟุ้งกระจายขึ้นไปในลักษณะที่ไม่ต่างกันมาบัดนี้ดวงตาคู่สวยที่เคยมีประกายวาวหวานอยู่ในนั้น มันกำลังเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัดมากขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่รางบางย่างเท้าเข้าไปหาเหล่าบรรดานายทหารที่อยู่ตรงหน้านั่นอย่างท้าทาย ผิดกับอีกฝ่ายที่พร้อมใจกันเดินถอยหลังอย่างรู้สึกหวาดกลัวเซนเซียกำลังโกรธจัดจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์และสติของตัวเองได้เหมือนกับทุกๆ ครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่ามันคือคำสั่งที่มาจากท่านผู้นำก็ตามหากเธอยอมให้พวกนั้นเอาตัวอลันไปได้ง่ายๆ ชายหนุ่มอาจ
เสียงของเฮลิคอปเตอร์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งน่านฟ้า เพราะบินตามกันมาไม่ต่ำกว่าสิบลำ เรียกสายตาของทั้งสองคู่ที่กำลังเดินเล่นกันอยู่บริเวณริมชายหาด ให้มองตามไปยังจุดที่ทุกลำพากันลงจอด ก่อนจะละสายตากลับมามองหน้ากันอีกครั้ง พร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่ยังติดอยู่บนใบหน้างามของเธอ“ทำไมเฮลิคอปเตอร์ถึงได้มาลงจอดที่ค่ายหลายลำนักละคะ?” คนตัวเล็กกว่าหันมาถามอลันอย่างรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยในทันทีเพราะดูจากจำนวนของเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามกันมาเป็นขบวนขนาดนั้น คนที่นั่งมานั่นย่อมเป็นคนสำคัญและน่าจะมียศใหญ่ที่ไม่ธรรมดาเลย“ไม่รู้สิ...เพราะพี่เป็นหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า มันคนละส่วนกันน่ะ อย่าไปสนใจเลยนะ เพราะมันไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกันกับเรา...เราสองคนรีบไปขึ้นเรือกันเถอะ พี่จะได้พาเธอไปนอนค้างกลางทะเล เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในแบบที่เธอต้องการไง...”อลันบอกพร้อมกับกดจมูกลงพวงแก้มนุ่มในจังหวะที่หญิงสาวหันมาย่นจมูกใส่เขาพอดี“งื้อ~~...พี่ลันชอบล้อหนู...” เธอต่อว่าในขณะที่เอนหน้าหนีปลายจมูกโด่งของร่างหนาที่ทำท่าจะโน้มลงมาอีกรอบ“ไอ้ลัน!”แต่ทว่าในจังหวะเดียวกันก็มีเสียงของผู้ชายเรียกชื่อของอลันดังมาแต่ไก