การเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ จากค่ายทหารที่เซนเซียประจำการ มาถึงที่เมืองหลวงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่
กระทั่งเฮลิคอปเตอร์ได้พาทั้งสองคนมาลงจอด ณ.บริเวณบนดาดฟ้าของตึกที่ทำการ ของท่านนายพลกลาโหมโดยตรง
เซนเซียกะโดดลงก่อนทันที แล้วรีบเดินปรี่ลงไปโดยไม่สนใจพี่ชายอย่างคนรู้เส้นทางดี แน่นอนว่าเธอคุ้นเคยกับที่นี่พอๆ กับที่บ้านนั่นเลยละมั้ง
หญิงสาวมาหยุดยืนรอพี่ชายอยู่หน้าประตูลิฟท์ ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกัน เมื่อประตูลิฟท์ถูกเปิดออก ก็เจอเข้ากับพื้นพรมสีแดงราคาแพงที่ปูเป็นทางยาว ทำเอาเซนเซียไม่กล้าจะเหยียบย่ำลงไปเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่หญิงสาวควรจะมาใส่ใจ มากไปกว่าผู้ให้กำเนิด ที่กำลังนั่งรอลูกสาวกับลูกชายอยู่ภายในห้อง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกันนั่นต่างหากละ
ห้องของนายพลกลาโหม
เคเซน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของประเทศเปรมา เจ้าของร่างใหญ่ใบหน้าคมคายที่ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ ถึงแม้วัยจะเลยเลขห้ามาหลายปี เงยหน้าขึ้นมามองสองคนพี่น้อง ที่เวลานี้ทั้งคู่ได้มายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะพากันยกมือขึ้นมาไหว้ผู้ให้กำเนิด ตามหลักธรรมเนียมไทย ที่ถูกมารดาสอนมาอย่างดี ก่อนจะพากันนั่งลงตรงกันข้าม ต่อเมื่อเซนเชียเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของบิดา เธอจึงเอ่ยถามออกมาทันที
“ท่านพ่อมีภารกิจอะไรเหรอคะ ถึงได้ตามลูกกับพี่เอมิลมาด่วนขนาดนี้ แล้วท่านแม่ละคะ”
เซนเซียเอ่ยถาม ในขณะที่กวาดสายตามองหามารดา เมื่อเห็นว่าท่านไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนทุกที เพราะโดยปกติพ่อกับแม่แทบไม่เคยจะแยกจากกันไปไหน หากไม่ใช่ธุระจำเป็น
เคเซนยังไม่ตอบลูกสาวในทันที เขาเลื่อนสายตามาที่ลูกชาย ก่อนจะดึงสายตากลับมามองหน้าลูกสาวอีกครั้ง พร้อมกับพรูลมหายใจออกมาเสียงดัง
“วันนี้แม่พายายของเราไปวัดน่ะ พ่อโกหกเขาว่ามีประชุมนายทหารระดับสูง เพราะไม่ต้องการให้แม่ของเรารู้เรื่องนี้ ฟังพ่อนะเอมิล เซน”
เซนเซียหันมามองหน้าพี่ชาย หลังจากที่ได้ยินคนเป็นบิดาพูดออกมาแบบนั้น มันต้องเป็นอะไรที่สำคัญ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่คิดปิดบังคนเป็นแม่อย่างแน่นอน
“กลุ่มผู้ก่อการร้ายฝ่ายนั้นบุกเข้ามาในค่าย แล้วจับตัวโนอาร์พี่ชายของเราไปพร้อมกับคนของเราอีกส่วนหนึ่ง”
เอมิลกับเซนเซียเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยิน
เพราะหากพี่ชายของพวกเธอถูกพวกนั้นจับตัวไป โอกาสที่ยังมีลมหายใจจะเหลือสักกี่เปอร์เซ็นต์เชียว
“สายของเรารายงานมาว่า ตอนนี้โนอาร์ยังมีชีวิตอยู่”
ฟู่!
คำตอบจากคนเป็นบิดาทำให้ทั้งคู่พรูลมหายใจออกมาพร้อมกันอย่างโล่งใจ
โนอาร์พี่ชายคนโตเป็นนายแพทย์ทหารที่ไปประจำการอยู่ในค่ายติดกับชายแดน ซึ่งที่นั่นมีหมู่บ้านที่มักจะถูกโจมตีและขับไล่ให้ออกไปจากพื้นที่อยู่บ่อยๆ แต่ชาวบ้านที่นั่นไม่ยอมย้ายออกไปไหน ยืนยันจะปักหลักสู้ตาย จนมีคำสั่งมาจากเหนือหัว ให้ตั้งค่ายทหารประจำการอยู่ที่นั่นเพื่อคอยดูแลชาวบ้านกลุ่มนี้ แล้วคนที่มีอุดมการณ์อย่างแรงกล้าแบบโนอาร์ ก็อาสามาประจำการอยู่ที่นั่นโดยไม่ฟังคำทัดทานของใครเลย
คำว่ารั้วของชาติ มันฝังอยู่ในสายเลือดของทหาร อย่างเช่นครอบครัวของเซนเชียไปเสียแล้ว
เซนเซียทิ้งความคิดในหัวออกไปก่อนจะเงียบเสียงของตัวเองลงเพื่อรอฟัง คนเป็นพ่อพูดต่อจากนั้น
“พวกมันต้องการหมอ เพื่อเอาไปรักษาคนของมันที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าหมดประโยชน์แล้วนั่นแหละก็ไม่แน่ อีกอย่างถ้ามันรู้ว่าโนอาร์เป็นลูกพ่อ มันต้องเอามาต่อลอง พ่อถึงได้เรียกตัวเราสองคนมาด่วนเลยนี่ไง แต่เราจะให้แม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้ ยายก็เหมือนกัน”
เมื่อเคเซนเอ่ยจบประโยค เซนเซียก็พูดออกมาต่อจากนั้นเลยว่า
“ งั้นเราจะรอช้าไม่ได้นะคะท่านพ่อ เพราะเวลาที่เราจะช่วยพี่โนอาร์ออกมาได้นั่น มันอาจจะเหลือน้อยลงไปทุกที ท่านพ่อมีแผนแล้วใช่ไหมคะ”
“ พวกมันมีหูมีตายังกับสัปปะรด การที่เราจะนั่งรถผ่านทางหลักเข้าไปในหมู่บ้านพวกมันต้องรู้แน่ เพราะฉะนั้นเซนต้องเดินเท้าเข้าป่า ไปทางด้านหลังของหมู่บ้าน ลักษณะเหมือนกับชาวบ้านที่เพิ่งออกมาการหาของป่า ลูกพร้อมสำหรับงานนี้หรือเปล่าเซน”
“ค่ะท่านพ่อ ไม่มีคำว่าไม่พร้อมสำหรับหนู ในเมื่อเราเตรียมการโจมตีพวกมันมาตั้งหลายปี แค่หนูต้องทำภารกิจนี้เร็วกว่าที่เราวางแผนกันเอาไว้แค่นั้นเองค่ะ”
เซนเซียเอ่ยออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจ ดวงตาคู่สวยเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ราวกับเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งแตกต่างจากนิสัยขี้เล่น อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
“เอมิล ลูกกลับค่ายไปเตรียมความพร้อม และบุกเข้าโจมตีทางอากาศทันทีที่ได้รับคำสั่ง”
เคเซนหันไปสั่งลูกชายที่เอาแต่เงียบฟัง แต่เขาก็ตอบรับทันทีหลังจากที่บิดาเอ่ยจบประโยคลง
“รับคำสั่งครับท่านพ่อ”
“เอมิลไปได้...”
ลูกชายหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะโค้งศีรษะให้ แล้วเดินออกไปหลังจากนั้นทันที
เมื่อประตูห้องถูกปิดลง เหลือไว้เพียงหญิงสาวที่ยังนั่งรอคนเป็นพ่อให้พูดต่อกับเธอให้จบ
เมื่อพี่ชายออกไปจากห้องแล้วนั่นแหละ เคเซนจึงมองหน้าลูกสาวนิ่งๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พื้นที่ป่าหลังหมู่บ้านเคยเป็นสมรภูมิรบ มีกับระเบิดที่เรายังเก็บกู้ไม่หมดอยู่หลายจุด พ่อรู้ว่าเซนเป็นเด็กพิเศษ แต่พ่อก็ยังเป็นห่วง เพราะงั้นพ่อจะให้คนที่คิดว่าน่าจะไว้ใจได้ และรู้จักพื้นที่ที่นั่นดีกว่าใคร ให้เขาเป็นคนนำทางลูกไป เขาเป็นทหารที่มียศใหญ่กว่า ลูกต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา...อย่าใจร้อนหรือเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าให้งานใหญ่พังเพราะน้ำมือเรา ”
“หนูต้องออกเดินทางไปกับเขาสองคนเหรอคะท่านพ่อ” เซนเซียเอ่ยถามหลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน
“ใช่...นายทหารคนนี้เป็นนายแพทย์ที่มีประวัติโปร่งใสและน่าจะไว้ใจได้ อีกอย่างเขาเป็นหลานชายของอธิปดีกรมการปกครอง ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาเป็นคนมีอุดมการณ์และเป็นคนเสนอตัวทำภารกิจนี้ร่วมกับเราเอง อีกสักชั่วโมงก็คงจะได้พบกัน”
“...??...”
“พันโทนายแพทย์อลัน...คือชื่อของเขา”
อย่าบอกนะว่าเป็นคนเดียวกัน...นั่นน่ะไว้ใจได้จริงเหรอ?
“ผู้พันช่วยตอบคำถามของผมด้วยครับ อย่าลืมว่าคุณกำลังอยู่ในเครื่องจับเท็จอยู่นะ กรุณาอย่าคิดนาน...”อามิลเอ่ยเร่ง พร้อมกับย้ำคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งซึ่งความจริงมันไม่ใช่ตัวเขาเองหรอกนะที่เป็นคนตั้งคำถาม แต่มันมาจากหูฟังที่มี่คำสั่งส่งมาตามสาย ที่อยู่ห้องถัดไปของผู้ให้กำเนิดเพียงเพราะพวกท่านอยากจะรู้ ว่าผู้ชายคนนี้เหมาะสมกับลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคนในบ้านมากแค่ไหน?ถึงต้องทำกันขนาดนั้นเชียว?ผู้พันดันเล่นของสูงมันก็ต้องมีเดิมพันกันหน่อยละ...เดิมพันด้วยชีวิตนะ!...หากตอบผิดชีวิตของผู้พันจะเปลี่ยนเลยทันที...ไม่ถูกจับถ่วงในทะเลกว้าง...ก็ถูกจับฝังอยู่กลางป่าลึก“ฉันรักเซน!...” อลันตอบกลับอย่างไว“แค่ไหน?” อามิลถามกลับไปตามคำสั่ง พลางบ่นในใจ...โอ๊ย! ท่านแม่คร๊าบ!...เข้ามาถามเองเลยก็ได้มั๊ย!?“ชีวิต...มากกว่าชีวิตของฉัน”อลันตอบกลับมาทันที สายตาคมมองสบตากับอามิลอย่างไม่หวาดหวั่น แม้แต่เครื่องจับเท็จนั่นยังทำอะไรอลันไม่ได้เลยอามิลเงียบเสียงของตัวเองลงไปเพราะกำลังรอฟังคำถามเสียงจากปลายสาย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดกลับมา อามิลจึงบอกกับอลันต่อจากนั้นว่า
เมื่อข่าวนี้มันดังกระจายออกไปจนถึงหูของอลัน นั่นจึงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ชายหนุ่ม ย้ายตัวเองเพื่อหนีเธอไปอยู่ไกลถึงชายแดน เขาหายไปจากชีวิตของหญิงสาวราวกับตายจากโนอาร์ละคำพูด ก่อนจะลุกไปหยิบน้ำในตู้เย็นออกมาดื่มดับกระหาย จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งที่เดิม แล้วเริ่มเล่าต่อเพราะรู้ว่าน้องสาวกำลังรอฟัง“พี่เพิ่งจะรู้ข่าวจากท่านแม่ว่า องค์ชายมักจะชอบหักหาญน้ำใจเราบ่อยๆ จนครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะหนีไปพักผ่อนที่ทะเลทางใต้ เราได้ทำร้ายองค์ชายเอาไว้ด้วยนี่ใช่มั๊ย?...” เมื่อเห็นเซนเซียพยักหน้ารับ โนอาร์ถึงกับกลั้วหัวเราะขำ“เราทำร้ายร่างกายท่านจนแทบจะสูญพันธ์เลยนี่หว่า...ถึงขนาดต้องพาแพทย์ประจำพระองค์เข้ามาตรวจรักษาอาการกันตอนนั้นเลย...แล้วเราก็หนีออกมาจากวังหน้าตาเฉย...”“ก็ถ้าหนูไม่รีบออกมา องค์ชายอาจจะตายคามือหนูเลยก็ได้นะคะ” เซนเซียเอ่ยออกไปเสียงเข้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกองค์ชายเรียกตัวเข้าไปพบในห้องเพราะต้องการจะลวนลามเชิงข่มขู่บังคับ เธอก็เลยทำให้ตรงนั้นของท่านดับอย่างอนาถ ให้สมกับที่ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ“พี่ก็ว่างั้น...แต่พระองค์ทรงกริ้วเรามากเลยนะ ถึงได้สั่งให้คนของท่านตามไปเฝ้าเราไว้ แล้
ความจริงในใจกับภาพที่อลันได้เห็นเซนเซียร้องไห้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไร มันเจ็บจุกจนพูดไม่ออกต่างหากละอีกทั้งการกระทำต่างๆ ที่ทำให้คนรอบกายได้เห็นว่า เขากำลังเข้มแข็งตามที่ปากว่า ด้วยการปล่อยน้ำตาของลูกผู้ชายให้ไหลกลับเข้าไปข้างในนั้น....มาลิคที่ยืนรอจังหวะนั่นอยู่นาน เมื่อสบโอกาสเขาจึงรีบกดโทรศัพท์ถึงลุงของอลันที่เป็นถึงอธิปดีกรมการปกครองทันทีชายหนุ่มเล่าทุกอย่างเท่าที่เขารู้ และประติดประต่อเรื่องราวเอาเองได้ไม่ยากจากที่อลันเคยเล่าให้เขาฟังกระทั่งคนสุดท้ายที่มาลิคต้องส่งข่าวให้รู้ก็คือคลูเซ็น ที่เป็นน้องสาวของอลัน อีกทั้งยังเป็นคนรักของเขานั่นเองเมื่อวางสายจากมาลิค อธิปดีกรมการปกครองจึงสั่งให้ลูกน้องคนสนิท ติดต่อหาเอกอัครราชทูตเมสันกับคุณหญิงเซลิน่าภรรยาซึ่งทั้งคู่ก็คือผู้ให้กำเนิดของอลันพอติดต่อเมสันได้ อธิปดีกรมการปกครองซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชาย จึงเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองคนนั่นได้ฟังแต่เพียงคร่าวๆหลังจากได้รู้ข่าวของลูกชาย ทั้งคู่จึงรีบบินกลับประเทศเปรมาเดี๋ยวนั้นทันที ด้วยเครื่องบินที่มีประจำตำแหน่งเอกอัครราชทูตเมสันคงต้องใช้วาทะศิลป์ที่ตัวเองถนัด และมีความสามารถทางด้านนี้เ
อลันดึงร่างบางออกห่าง พลางพูดกับเจ้าตัวต่อจากนั้นทันที “อย่าดื้อกับพี่ชาย...แล้วก็ท่านพ่อกับท่านแม่นะเข้าใจมั๊ย?...พี่ไม่เป็นไร...”“หนูไม่ให้พี่ไป...ฮึกๆ ”“เซน!หยุดร้องไห้...” อลันออกคำสั่งเชิงบังคับกับเธออีกครั้ง ในขณะที่ใช้สายตาคม ก้มมองร่างเล็กที่กอดเขาเอาไว้ มือใหญ่ค่อยๆ แกะมือน้อยๆ ของเธอให้หลุดออก แต่ยังคงกุมมือของหญิงสาวเอาไว้แน่น“พี่ลัน! ไม่นะคะ!”“อย่าดื้อกับพี่นะเซน!...เราเป็นทหารต้องเข้มแข็ง อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นว่าเรากำลังอ่อนแอ...พี่พูดแค่นี้เธอเข้าใจพี่ใช่มั๊ย!?” อลันเอ่ยกับร่างบางเสียงเข้ม จากนั้นจึงปล่อยมือน้อยออกจากการมือใหญ่ของเขาน้ำเสียงที่ดูจริงจังราวกับสั่งได้ของชายหนุ่ม ทำให้เซนเซียเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มแน่นๆ ก่อนจะคลายเสียงสะอื้นลงทีละน้อย แต่ถึงอย่างนั้นมือใหญ่ก็ค่อยๆ ยกขึ้นเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาออกให้ อย่างแผ่วเบาราวกำลังปลอบโยนผู้พันหนุ่มไม่ต้องการทำให้คนในครอบครัวของหญิงสาว ต้องมาผิดใจกันเพราะมีเขาเป็นสาเหตุใหญ่ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือกฎข้อบังคับ ที่ทหารทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะวินัยที่ดีของนายทหารคือไม่ควรขัดคำสั่งของผู้บังคับบั
“แต่มันเป็นคำสั่งของท่านนายพลนะครับคุณเซนเซีย...คำสั่งของท่านผู้นำเท่านั้นที่สำคัญ และถือว่านั่นคือที่สุด!...”“งั้นก็ไม่ต้องพูดมาก! เพราะฉันไม่อยากจะฟัง! อย่างมากก็แค่ให้พังกันไปข้าง!”เซนเซียพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดกระด้างอย่างรู้สึกโมโหมาก จากนั้นมันก็ไต่ระดับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเริ่มจะเปลี่ยนไป.... จากบรรยากาศที่กำลังสดใส แต่ในตอนนี้เมฆสีขาวที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ต่างพากันรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้าไปบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์น้ำทะเลถูกกระแสลมแรงพัดผ่านจนเกิดคลื่นสูงใหญ่ ในขณะที่เม็ดทรายบนพื้นนั่นก็ฟุ้งกระจายขึ้นไปในลักษณะที่ไม่ต่างกันมาบัดนี้ดวงตาคู่สวยที่เคยมีประกายวาวหวานอยู่ในนั้น มันกำลังเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัดมากขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่รางบางย่างเท้าเข้าไปหาเหล่าบรรดานายทหารที่อยู่ตรงหน้านั่นอย่างท้าทาย ผิดกับอีกฝ่ายที่พร้อมใจกันเดินถอยหลังอย่างรู้สึกหวาดกลัวเซนเซียกำลังโกรธจัดจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์และสติของตัวเองได้เหมือนกับทุกๆ ครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่ามันคือคำสั่งที่มาจากท่านผู้นำก็ตามหากเธอยอมให้พวกนั้นเอาตัวอลันไปได้ง่ายๆ ชายหนุ่มอาจ
เสียงของเฮลิคอปเตอร์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งน่านฟ้า เพราะบินตามกันมาไม่ต่ำกว่าสิบลำ เรียกสายตาของทั้งสองคู่ที่กำลังเดินเล่นกันอยู่บริเวณริมชายหาด ให้มองตามไปยังจุดที่ทุกลำพากันลงจอด ก่อนจะละสายตากลับมามองหน้ากันอีกครั้ง พร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่ยังติดอยู่บนใบหน้างามของเธอ“ทำไมเฮลิคอปเตอร์ถึงได้มาลงจอดที่ค่ายหลายลำนักละคะ?” คนตัวเล็กกว่าหันมาถามอลันอย่างรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยในทันทีเพราะดูจากจำนวนของเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามกันมาเป็นขบวนขนาดนั้น คนที่นั่งมานั่นย่อมเป็นคนสำคัญและน่าจะมียศใหญ่ที่ไม่ธรรมดาเลย“ไม่รู้สิ...เพราะพี่เป็นหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า มันคนละส่วนกันน่ะ อย่าไปสนใจเลยนะ เพราะมันไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกันกับเรา...เราสองคนรีบไปขึ้นเรือกันเถอะ พี่จะได้พาเธอไปนอนค้างกลางทะเล เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในแบบที่เธอต้องการไง...”อลันบอกพร้อมกับกดจมูกลงพวงแก้มนุ่มในจังหวะที่หญิงสาวหันมาย่นจมูกใส่เขาพอดี“งื้อ~~...พี่ลันชอบล้อหนู...” เธอต่อว่าในขณะที่เอนหน้าหนีปลายจมูกโด่งของร่างหนาที่ทำท่าจะโน้มลงมาอีกรอบ“ไอ้ลัน!”แต่ทว่าในจังหวะเดียวกันก็มีเสียงของผู้ชายเรียกชื่อของอลันดังมาแต่ไก