ในสายตาของคุณนายไป๋ เฉินเฟยเฟยมีโอกาสถึงแปดในสิบที่จะเป็นผู้หญิงของเย่เทียนหยู่ เพราะไม่อย่างนั้น อีกฝ่ายคงไม่ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อเธอมากมายขนาดนี้แน่อีกอย่าง ต่อให้จะไม่ใช่ แต่ความสัมพันธ์ก็ต้องมีความใกล้ชิดอย่างแน่นอน เธอจะต้องทำให้พวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดให้ถึงที่สุดแต่พยัคฆ์ทมิฬกลับรู้สึกสับสน ในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ คุณนาย นี่เธอไม่เข้าใจสถานการณ์เลยใช่ไหมเนี่ย เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้ว โอกาสที่ฉันจะสู้เข้าได้มีไม่ถึงสองส่วนด้วยซ้ำ!ตอนนี้เธอไม่แค่ให้ฉันจัดการเขา แถมยังบอกให้ไว้ชีวิตเขาอีกต่างหาก เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไรเมื่อเห็นว่าพยัคฆ์ทมิฬยังคงนิ่งเฉย คุณนายไป๋ก็พูดด้วยความโกรธออกไปว่า “พยัคฆ์ทมิฬ ยังไม่ลงมืออีกเหรอ อย่าบอกนะ ว่าแกที่มีอายุมากกว่า กลับกลัวเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่จริง ๆ?”พยัคฆ์ทมิฬโกรธจัด นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องกลัวหรือไม่กลัว แต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก“ดี ดีนี่ ดูท่าแกคงปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ ฉันทำอะไรแกไม่ได้แล้วใช่ไหม”คุณนายไป๋โกรธจัด เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เธอเกลียดมากที่สุด ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้
หลังจากที่คุณนายไป๋ร้องออกมาเสียงดัง เธอก็รู้สึกมึนงงอยู่พักหนึ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนทั่วไปไม่มีใครกล้าหายใจออกมาเสียงดังต่อหน้าเธอ แต่วันนี้เธอกลับถูกคนตบหน้าอย่างเปิดเผยแล้วนี่จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร เมื่อเธอรู้สึกตัว เธอก็รีบลุกขึ้นด้วยความตกใจทันที ก่อนจะพูดด้วยความโกรธขึ้นว่า “แกกล้าตบฉันเหรอ แกกล้าตบหน้าฉัน ฉันจะฆ่าแก!”สีหน้าของเย่เทียนหยู่ดูเย็นชา มองไปยังคุณนายไป๋ที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด มือขวาของเขาก็ยกขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่การยกมือครั้งนี้เป็นการใช้หลังมือ เขาเหวี่ยงกระแทกเธอจนเกิดเสียงดังสนั่นครั้งนี้ เขาได้เหวี่ยงคุณนายไป๋ที่เพิ่งจะลุกขึ้นจากพื้นจนเธอหงายหลังกลับลงไปที่เดิมทันทีและเนื่องจากเขาใช้หลังมือ จึงเป็นการตบอีกด้านของใบหน้า ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนว่าจะแรงยิ่งกว่าเดิม เขาตบจนใบหน้าของคุณนายไป๋บวมเป่งคุณนายไป๋รู้สึกเจ็บจนต้องกัดฟัน พร้อมกับแสดงความโกรธออกมา ก่อนจะตะโกนออกไปว่า “ไอ้หนู แกตายแน่ แกจะต้องตายสถานเดียว ฉันจะไม่มีทางปล่อยแกไปแน่!”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ สีหน้าดูเย็นชา เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ เป็นผมต่างหากที่จะไม่ป
เมื่อเห็นว่าภายใต้คำขู่ของเย่เทียนหยู่ ทำให้ทุกคนก็ไม่กล้าขยับตัว คุณนายไป๋ก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในตอนที่เย่เทียนหยู่เดินเข้ามาใกล้เธอจึงพูดอย่างรีบร้อนออกไปว่า “แกหยุดนะ ในที่สาธารณะแบบนี้ หรือแกคิดจะฆ่าฉันงั้นเหรอ?”“แล้วทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ คุณคิดว่ามีแค่ตระกูลของคุณเท่านั้นเหรอ ที่สามารถทำแบบนั้นได้?” เย่เทียนหยู่พูดพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเหยียบลงบนฝ่ามือข้างขวาของคุณนายไป๋อ้าก!คุณนายไป๋ร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนอยู่บนส้นเท้า เขากดน้ำหนักลงบนนิ้วมือทั้งห้าของเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก เธอจึงพูดออกไปว่า “ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”“ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันเถอะ!”สิบนิ้วเชื่อมถึงใจ มันช่างเจ็บมากเหลือเกินในเวลานี้ เธอไม่เหลือความสูงส่งที่เคยมี และไม่เหลือความดุดันหรือเกรี้ยวกราดอีกต่อไป มีเพียงความเจ็บปวดและความกลัวที่ปรากฏขึ้นจนเต็มใบหน้าเพียงเท่านั้น“นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเอง คุณก็มาขอร้องผมแล้วเหรอ?” เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แสดงให้เห็นว่าเขายังมีวิธีทรมานอีกมากมายที่ยังไม่ได้เอาออกมาใช้ทันใดนั้น คุณนาย
“ไม่ได้นะ ขอร้องล่ะ ขอให้เธอเปลี่ยนเงื่อนไขได้ไหม ขืนฉันโขกศีรษะให้พวกเธอ ฉันก็ไม่มีหน้าจะไปเจอคนอีกแล้ว”“หน้าของคุณงั้นเหรอ ตั้งแต่ตอนที่คุณตบพวกเธอไปเมื่อกี้ คุณก็ได้สูญเสียมันไปนานแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสี่สิบห้าวินาที” เย่เทียนหยู่พูดอย่างเย็นชา ขณะที่เขาพูด มีดสั้นในมือของเขาส่องประกายเย็นยะเยือกมากขึ้นเรื่อย ๆเวลาเดินไปอย่างช้า ๆ คุณนายไป๋เหงื่อไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง“ห้า สี่ สาม สอง......”“ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว!”คุณนายไป๋ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดและความกลัวได้อีกต่อไป เธอจึงรีบคลานไปหา และคุกเข่าลงต่อหน้าทั้งสามคนทันทีการที่เธอคลานเข้าไปหาแบบนี้ มันจึงทำให้เฉินเฟยเฟยรู้สึกตกใจอยู่นิดหน่อยผู้คนที่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดทั้งหมดด้านนอก ต่างก็พากันตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ใครจะไปคิดล่ะว่า คุณนายไป๋จะกล้าคุกเข่าจริง ๆ เขากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอถึงยังไง นี่ก็เป็นที่สาธารณะ เด็กหนุ่มคนนี้จะกล้าฆ่าคนจริง ๆ น่ะเหรอแต่เห็นได้ชัด ว่าเพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง จึงไม่ได้รับแรงกดดันจากพลังจิตที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าของเย่เทียนหยู่ ความรู้สึกที่พวกเขาได้รับจึงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกล
คำพูดนี้ ทำให้จางผิงรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันทีหลายคนเองก็อดยิ้มอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นฉากนี้ก็รู้สึกว่าแปลก ๆในเวลานี้ เหมือนว่าคุณนายไป๋จะลืมความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้นแล้ว ร่างกายชาไปทั้งตัววันนี้เธอไม่เพียงแค่ประสบกับความเจ็บปวดทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังต้องเสียหน้าในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น เธอแทบจะเหมือนถูกกดให้จมดิน แล้วบดขยี้อย่างบ้าคลั่งอีกด้วยเย่เทียนหยู่ไม่ได้สนใจคุณนายไป๋อีกต่อไป เขาพูดอย่างเฉยเมยออกมาว่า “เมื่อกี้ใครบ้างที่ลงมือ ตอนนี้ก็ก้าวออกมาเองซะ!”ทันทีที่คำนี้ถูกพูดออกมา บอดี้การ์ดที่เคยลงมือต่างก็หน้าซีดกันหมดพวกเขานอนดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด กระทั่งมีคนแกล้งทำเป็นหมดสติไปเลยด้วยซ้ำ ในใจรู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าเย่เทียนหยู่จะเริ่มคิดบัญชีกับพวกเขาแต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เลยรู้สึกว่าคงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วก็ยังหนีไม่พ้นอยู่ดี“อย่าคิดว่าการแกล้งตายจะทำให้หนีรอดไปได้นะ ให้เวลาพวกแกอีกสิบวินาที”เย่เทียนหยู่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พร้อมกับเสียงพูดที่ดูเย็นชาเมื่อเย่เ
ถึงยังไง ก็เป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่ง แม้จะลงมือรุนแรงแค่ไหน แต่ความผิดก็ยังไม่ถึงตายแต่ฉากนี้ก็กลับทำให้อีกคนที่ยังแกล้งสลบอยู่ตกใจจนพูดไม่ออกครั้งนี้ ไม่ต้องรอให้เย่เทียนหยู่ถาม เขาก็รีบพุ่งตัวออกมาทันที พร้อมกับพูดอย่างลนลานว่า “ขอโทษครับ ผมทำเอง ผมยอมรับผิด ผมออกมายอมรับผิดเองแล้วครับ”“สายไปแล้ว!”“แกหักขาข้างหนึ่งของตัวเองซะ” เย่เทียนหยู่พูดอย่างเฉยเมย“ครับ ๆ!”เขาไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะรีบไปหาอุปกรณ์ แล้วลงมือทำทันที อันที่จริง เขาไม่กล้าลงมือจริง ๆ แต่เมื่อเห็นสภาพของพวกพ้องแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าทำอีกในตอนนั้นเอง คุณนายไป๋ก็ได้สติ เธอมองดูเย่เทียนหยู่ที่กำลังทำตัวหยิ่งยโสอวดดี มันก็ยิ่งทำให้เธอทั้งโกรธและโมโห แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปสู้กับอีกฝ่ายเพราะไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองเป็นแน่เพราะคนคนนี้มันบ้า คนบ้าที่ไม่รู้จักเกรงกลัวอะไรเลยเธอจะต้องทำให้อีกฝ่ายเสียใจอย่างแน่นอนเมื่อจัดการกับคนที่ต้องจัดการเสร็จแล้ว เย่เทียนหยู่ก็ไม่อยากสนใจพวกเขาอีกต่อไป เขาจึงเดินไปหาเฉินเฟยเฟย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกเราไปกันเถอะ”เฉ
เมื่อกลับมาถึงห้อง เหอฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “คุณเย่คะ ฉันรู้ว่าคุณเก่งกาจมาก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เราไปที่โรงพยาบาลกันเถอะนะคะ”“ทำไม?” เย่เทียนหยู่ถาม“แบบนั้นเราก็จะสามารถตรวจสอบร่องรอยบาดแผลได้ เพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าเราถูกพวกเขาทำร้าย เพื่อให้คุณได้สามารถตอบโต้กับข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายได้ เพราะไม่อย่างนั้น ตำรวจก็อาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ได้”เหอฉุนพยายามอธิบายเย่เทียนหยู่ส่ายหัว และพูดออกไปว่า “ต่อให้จะมีบาดแผลอยู่จริง ๆ แต่หากนำไปที่สถานีตำรวจ พวกเราก็ยังไม่ถือว่าเป็นฝ่ายถูกอยู่ดี กลับกัน อาจกลายเป็นผู้รับผิดชอบด้วยซ้ำ”“เรื่องนั้น......”“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อฉันกล้าลงมือ นั่นก็หมายความว่า ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย”“หากเป็นแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณนายไป๋คงจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เก่งเท่าคุณเย่ แต่ถึงยังไงก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองตะวันออก อำนาจคับฟ้า ยังไงก็ควรจะระมัดระวังเอาไว้บ้างนะคะ”เหอฉุนเคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลไป๋มาอยู่บ้าง รู้ว่าตระกูลไป๋นั้นน่ากลัวและทรงพลังมากแค่ไหน โดยเฉพาะหั
“ไม่ว่าจะยังไง ต่อไปจะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ได้อีก มันอันตรายเกินไป เอาแบบนี้นะ เดี๋ยวพี่จะจัดกำลังคนมาคอยปกป้องพวกเธอเอง”เย่เทียนหยู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจว่าจะหาคนมาคุ้มครองเฉินเฟยเฟย รอจนกว่าพวกเธอจะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องพวกเธออีกเช่นเดียวกับคนอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา เช่นเฉินเข่อซิน เขาเองก็ได้ส่งยอดฝีมือไปคอยปกป้องเธออย่างลับ ๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนหยางเฉียนเฉียนและจูเก่อหลิวหลี เดิมพวกเธอก็เป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องใด ๆและหลินหว่านหรูที่อยู่ข้างกายเขา เธอมียอดฝีมือระดับสูงเป็นผู้หญิงที่คอยปกป้องเธอมากกว่าหนึ่งคนด้วยซ้ำ เพียงแค่ตัวหลินหว่านหรูเองไม่ทันได้สังเกตุก็เท่านั้นการปกป้องภรรยานั้น สำหรับเขามันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดหลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เย่เทียนหยู่ถึงได้จากไปตอนนี้เวลาก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เย่เทียนหยู่จึงโทรไปหาเลขาส่วนตัวของหลินหว่านหรู เพื่อสอบถามว่าหลินหว่านหรูได้ให้เธอสั่งอาหารเที่ยงมาแล้วรึยังเมื่อได้ยินดังนั้น เย่เทียนหยู่ก็รีบบอกให้เธออย่าเพิ่งสั่ง ก่อนที่เขาจะโทรสั่งให้โร
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป