(ตติญา)
ร้อน...มันร้อนมากๆ เลย ในร่างกายของฉันเหมือนมีซาวน่าขนาดย่อมๆ อยู่ในนั้น ยิ่งฉันขยับตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนมีไฟร้อนๆ สุมอยู่ในอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่าฉันต้องการ...เรื่องนั้นมากกว่าครั้งไหนๆ
“เข้าใจทำนะ เนียนดีฉันชอบ”
เสียงกระเส่าของชายหนุ่มที่ก่อนหน้าขู่ฉันจะเป็นจะตาย ทว่าตอนนี้เขากำลังกระซิบอยู่ข้างหูของฉัน มือหนาป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าอกบีบเคล้นจนเจ็บจี๊ด แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งเขาทำรุนแรงมากเท่าไร นั่นก็ไม่ต่างจากการปลุกอารมณ์ประหลาดวูบวาบในตัวฉันให้ตื่นขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
ฉันเพิ่งรู้ว่านี่คือเขาก็ตอนที่ตัวเองอยู่ในห้องอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีสติจะมาสนใจนักว่าเขาคือใคร
ขอแค่ความรู้สึกประหลาดนี่หายไปจะใครก็ได้ทั้งนั้น
เขาพลิกตัวฉันให้นอนคว่ำก่อนที่จะดึงให้เข้าไปประชิดตัวในท่านั่ง มือข้างหนึ่งล้วงต่ำลงมาบริเวณหน้าท้องแบนราบ ออกแรงกดให้แผ่นหลังของฉันแนบไปกับแผงอกของเขามากยิ่งกว่าเดิม แล้วยิ่งกว่านั้นคือมีบางอย่างที่ทั้งอุ่นทั้งแข็งขืนกำลังดันอยู่กับสะโพกของฉัน
“แล้วมันบอกหรือเปล่า ว่าแค่นี้ถ่วงเวลาฉันไม่ได้หรอก”
“อ๊ะ...ฉันไม่รู้ว่า...อะ...คุณพูดถึงเรื่องอะไร อื้อ!!”
ใจกลางกายถูกเขารบกวนจนฉันไม่อาจกลั้นเสียงครางเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่านี่คือครั้งแรกของฉัน แต่นั่นก็ไม่ได้เจ็บปวดมากนัก เพราะตอนนี้ส่วนนั้นมันกำลังปวดหนึบและเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจ
“ไม่รู้เหรอ? ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ เธอตั้งใจเข้าหาฉันตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือไง”
“ฉัน...เปล่า อะ...อ๊า”
กลีบกลางกายถูกสอดแทรกเข้ามาด้วยนิ้วเย็นเฉียบของเขา เพียงแค่นิ้วเดียวแต่นั่นก็คือสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้ทั้งตัวฉันสะดุ้งเฮือก เขาขยับนิ้วนวดคลึงปากทางเข้าอย่างไม่คิดปรานีใดๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงน่าอายดังออกมาเป็นระยะ
ฉันกำลังมีอารมณ์ร่วมไปกับเขาจนไม่สามารถจะหยุดได้แล้ว ร่างกายมันขยับไปตามที่เขาอยากให้เป็นเหมือนคนบ้า ข้างในมันปั่นป่วนไปหมด เมื่อความเสียวซ่านกำลังพุ่งทะยานเขาก็ปล่อยมือออกไม่ยอมทำต่อราวกับกำลังลงโทษ
“แน่นซะด้วยนี่ ไอ้มาร์คมันเข้าใจเลือกคนจังแฮะ”
“อ๊ะ...อื้อ”
ความปั่นป่วนที่กลางกายเกิดขึ้นสลับกับปลายยอดอกที่ถูกเขาบีบบี้ด้วยความเอาแต่ใจ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันผิดอะไรกันแน่ ทั้งที่เขาเป็นคนลากฉันเข้ามาในห้องเองแท้ๆ แต่กลับทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนผิด ซ้ำยังขยับนิ้วเข้าออกรัวเร็วจนร่างกายของฉันมันกำลังตอบสนองอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้รู้สึกทรมานหรือเจ็บปวดเลยสักนิด
“ฉันจะทำให้เธอรู้ ว่าการมาขวางทางของฉันมันเป็นยังไง”
“ไม่นะ ฉันไม่...”
เขาไม่รอช้าผลักฉันลงไปนอนราบกับเตียงที่ฉันได้เคยทำมันเปื้อน เสื้อผ้าของเขาที่สวมเอาไว้ได้ถูกถอดออกไปจนหมดทุกชิ้น เผยให้เห็นเรือนร่างขาวที่มีรอยสักน่าเกรงขาม
ก่อนหน้านี้ฉันเห็นเพียงแค่เล็กน้อยแม้มีเสื้อคลุมอาบน้ำปกปิดเอาไว้ แต่ตอนนี้มันปรากฏต่อหน้าฉันแย่งซีนอยู่กับมังกรตรงหว่างขา มันกำลังขยายตัวผงาดชี้หน้าฉันจนต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
เมื่อกี้แค่นิ้วยังทำให้ฉันสะดุ้ง แล้วถ้าเป็นไอ้นั่นจะขนาดไหน
“คุณจะทำอะไรคะ...”
“ก็เธอเอายาปลุกเซ็กซ์มาป้อนให้ฉันถึงปาก แล้วคิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ”
“มะ...ไม่นะ ไม่!!”
ร่างสูงเข้ามาทาบทับโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของฉันเลยสักนิด มือทั้งสองข้างของฉันถูกรวบเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา ก่อนที่ใบหน้าเจ้าเล่ห์นั่นจะขยับเข้ามาใกล้ทีละนิด
“ฉันเปล่า...”
“หรือต้องให้ฉันพิสูจน์มากกว่านี้อีก”
“ไม่นะ อื้อ!!”
เพียงแค่มือของเขาออกแรงกระชากเพียงครั้งเดียว กางเกงชั้นในตัวบางของฉันก็หลุดออกไปจากตัวในทันที ความเย็นวาบที่ท่อนล่างทำให้ฉันรีบเบียดขาเข้ามาปิดส่วนน่าอายเอาไว้อย่างหวาดกลัว แต่คนตรงหน้าก็ไม่ได้ให้โอกาสฉันได้หลบจากเขาเลยสักวินาทีเดียว
ความรู้สึกเสียดเสียวที่ใจกลางความเป็นสาวเพิ่มมากขึ้นเมื่อท่อนลำที่ฉันไม่ได้เตรียมใจรับค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา ถึงจะคิดอยากถอยหนีตอนนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะถูกล็อกเอาไว้ทุกทาง
“เอา...ออกไป...ฮึก มันเจ็บ”
“อะไรนะ? เอาแรงๆ กว่านี้เหรอ”
“ไม่ อ๊า...”
เจ็บ...ในตัวฉันเหมือนจะฉีกออกเป็นสองส่วนให้ได้ ยิ่งเมื่อเขาขยับเข้าออกโดยไม่ได้รอให้ฉันได้เตรียมใจ ความอึดอัดที่แสนเจ็บปวดนั่นทำให้น้ำตาของฉันไหลลงมาอย่างช้าๆ อยากจะลุกขึ้นมาต่อต้านใจจะขาด แต่ร่างกายมันกลับไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิด
ไอ้ความรู้สึกดีแบบนี้มันคืออะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ
“ปากบอกว่าไม่ แต่แอ่นอกสู้เลยนะ”
“ฉันเปล่า...”
เขาไม่ยอมฟังเลยไม่ว่าฉันจะพูดอะไรออกมาก็ตาม ฉันเกือบลืมไปแล้วว่ามืออีกข้างของเขานั้นยังว่างอยู่ ชุดชั้นในถูกเลิกขึ้นจนกระทั่งไปกองอยู่ที่เนินอก เผยให้เห็นหน้าอกคัพซีที่ตั้งยอดน่าอายรอเขามาสัมผัส
“ข้างล่างก็แน่น ข้างบนก็สวยซะด้วย ของดีเลยนี่หว่า”
สายตาคู่นั้นมาพร้อมกับเอวสอบที่ขยับเข้าออกอย่างไม่เบาแรง ปลายเท้าฉันจิกเข้ากับผ้าปูที่นอนจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บเล็กๆ ที่ปลายเล็บ แต่นั่นก็ยังบรรเทาความรู้สึกที่ทั้งเจ็บและ...เอ่อ...เสียว...ตรงนั้นไม่ได้
“ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้คุณ”
“ไม่ได้ทำ? แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำ”
พูดเฉยๆ ไม่ต้องขยับจะได้ไหม ฉันกำลังพยายามห้ามความรู้สึกปั่นป่วนที่อยู่ในความรู้สึก มันเหมือนจะตายให้ได้ แต่พอเขาขยับมันก็กลับดีขึ้นเสียอย่างนั้น
“เธอกำลังมีอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนใช่ไหมล่ะ”
คำถามของเขาทำให้ฉันหยุดความคิดทั้งหมดเอาไว้ ราวกับว่าร่างกายมันรู้ตัวเมื่อถูกจับจุดได้ พอเขาหยุดขยับ ความทรมานที่ฉันไม่ได้สังเกตว่ามีอยู่แต่แรกก็พุ่งสูงขึ้นมาจนฉันต้องเป็นฝ่ายกัดปากกลั้นความรู้สึกประหลาดนี่เอาไว้
“ฉัน...ไม่...”
“ไอ้ที่เธอโดนเขาเรียกว่ายาปลุกเซ็กซ์ แล้วใครเป็นคนเอามาให้เธอดื่ม บอกฉันมา”
เสียงของเขาสั่นมากๆ คล้ายคนที่กำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างหนัก อย่าบอกนะว่าเขาเองก็กำลังโดนยาเหมือนกัน
“ฉันไม่รู้” ทั้งเรื่องยา ทั้งเรื่องดื่ม ไม่รู้...ไม่รู้อะไรเลย แม้แต่ความรู้สึกของร่างกายตัวเองตอนนี้ก็ไม่รู้
“ถ้าเมื่อไหร่ที่เธอไม่ได้ปลดปล่อยเธอก็จะตาย เรื่องนี้รู้ด้วยหรือเปล่า?”
“ตายเลยเหรอ อื้อ!”
เขาขยับเข้ามาพร้อมกับซบหน้าลงที่ไหล่ของฉัน ลมหายใจของชายหนุ่มตรงหน้ามันหนักหน่วงขึ้นจนน่ากลัว ซ้ำร่างกายของเขายังร้อนรุ่มจนเหมือนคนจับไข้...อย่าบอกนะว่านี่คือผลของยานั่น...
“เธออาจจะไม่ แต่ฉันนี่สิ...”
ฟุบ
จู่ๆ เขาก็ล้มลงข้างตัวฉัน หน้าอกที่มีรอยสักรูปมังกรขยับขึ้นลงถี่รัวเหมือนคนหายใจหอบ...
เขาไม่ได้กำลังจะตายใช่ไหม
“เดี๋ยวสิ...คุณมาทำอย่างนี้ไม่ได้ ฉันกลัวนะ”
“ขึ้นสิ” น้ำเสียงของเขาสั่นเหมือนคนจะขาดใจ แต่ถึงอย่างนั้นมือหนาก็ยังเอื้อมมาจับมือของฉันเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าฉันจะหนีไป
จนถึงตอนนี้อาการของเขาไม่สู้ดีนัก ฉันจะเชื่อคำพูดของเขาแล้วทำต่อไปดีไหม หรือว่าจะรีบหนีไปเลยตอนที่ยังหนีได้
“เร็วสิ...”
ถึงใจจะบอกว่าให้ฉันรีบหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตาม ฉันไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อนเลยสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขยับไปคร่อมร่างเขาเอาไว้ด้วยความรู้สึกอับอายขั้นสุด
ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย
“จะตายอยู่แล้ว เร็วๆ”
“คุณจะตายมันเกี่ยวอะไรกับฉัน อ๊ะ...”
เขามันบ้าที่สุด อาศัยจังหวะที่ฉันยังไม่ทันตั้งตัว จับของตัวเองตั้งขึ้นมาแล้วกดตัวฉันลงไปเฉยเลย แม้ว่าตรงนั้นมันจะไม่ได้เจ็บเหมือนอย่างตอนแรกที่เขาทำ แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี
“ฮื่อ...” มันคือเสียงเดียวที่ฉันสามารถเปล่งออกไปได้ ส่วนนั้นมันกำลังทำเรื่องน่าอายด้วยการตอดรัดเขาอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
“ขยับ...อ่า...”
อย่ามาสั่งแบบเอาแต่ใจอย่างนั้นได้ไหม ฉันกำลังจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ร่างกายมันไม่ฟังเสียงของตัวเองอีกต่อไป มือทั้งสองข้างของฉันวางลงบนหน้าอกหนาแล้วดันตัวขยับขึ้นลงช้าๆ
“เร็วขึ้นอีก ซี้ด...”
ยิ่งได้ยินเสียงครางของคนใต้ร่างก็เหมือนกับได้จุดไฟความกล้าในตัวฉันให้มากขึ้น ความเสียดเสียวที่กระโจนเข้ามาอย่างหนักหน่วงมอมเมาเราทั้งคู่จนเสียงครางดังผสมกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อเป็นระยะ
ในบางครั้งความจุกหน่วงก็เข้าเล่นงานจนนึกเสียใจที่เลือกทำอย่างนี้ ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าร่างกายมันแทบจะลอยไปติดบนเพดาน
“อืม...”
แรงบีบที่บั้นท้ายทั้งสองข้างพร้อมกับร่างของชายหนุ่มเกร็งกระแทกสวนขึ้นมาเป็นระยะ ฉันไม่สามารถมองภาพตรงหน้าเพื่อตอกย้ำความน่าอายของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ได้แต่เชิดหน้าขึ้นหลับตาปล่อยให้ความรู้สึกมันลอยล่องไปอย่างที่มันควรเป็น
ความสุขที่ถูกปลดปล่อยออกมาทิ้งไว้เพียงเสียงลมหายใจแรงของเราทั้งคู่ ก่อนที่ฉันจะได้คิดอะไรต่อแขนก็ถูกดึงอย่างแรงจนทั้งตัวล้มลงไปนอนทับร่างของเขาทั้งอย่างนั้น หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างหนักหน่วง ทว่าฉันกลับรู้สึกได้ถึงความคับแน่นที่ยังไม่หายไป
“ความทรมานของการโดนยาบ้าๆ นี่มันก็อย่างนี้แหละ”
“อะไรนะ...”
“คือถ้าฤทธิ์ยายังไม่หายไป มันก็จะไม่ยอมอ่อนลง”
“ไม่...”
“รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไว้ด้วยล่ะ”
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ