เจ็บ...นี่คือสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวของฉัน
จุก...มึน ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นทั่วทั้งร่าง ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว อาการร้าวระบมที่แปลกประหลาดทำให้ฉันต้องพยายามฝืนตัวเองหน่อย เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ รับภาพที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือผ้าห่มสีขาวสะอาดเหมือนกันกับห้องพักของฉัน ทว่าผนังสีชานั้นกลับบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ห้องของฉันแน่นอน
มันคือห้องหรูที่ไม่ได้มีไว้สำหรับนักศึกษาซึ่งจ่ายค่าห้องโดยมหาวิทยาลัย แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเหมือนเคยมาที่นี่ก่อนหน้า
“โธ่เว้ย!!”
เพล้ง!
เสียงโวยวายที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก ร่างกายที่เหมือนจะขยับไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็กลับลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ วินาทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ชายหนุ่มผมสีเทาเข้มที่ฉันเจอเขาเมื่อวาน...เขาในตอนนี้เปลือยท่อนบนทำให้ฉันเห็นกล้ามเนื้อแน่นที่เต็มไปด้วยรอยสักหน้าตาประหลาด ซ้ำยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ที่เอวอีกด้วย
ฉันเห็นเขาจากข้างหลังเท่านั้น แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความเดือดดาลในอารมณ์ของเขา มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ในขณะที่บนพื้นก็มีแต่เศษแก้วแตกอยู่เต็มไปหมด
วินาทีที่เขาหันหน้ามามองฉันซึ่งนั่งอยู่บนเตียง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนเข้ากับแดดยามเช้าจากข้างนอกฉายแววความโกรธจนฉันถึงกับตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาพเมื่อคืนฉายเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ
เขากับฉัน...ร่องรอยบนร่างกายของเขาเกิดจากรอยเล็บของฉันทั้งหมด แล้วยังจะทิ้งความเจ็บปวดบนร่างกายที่เหมือนผ่านศึกหนักมาหมาดๆ ทุกอย่างฉายชัดในความรู้สึกจนทั่วใบหน้าเกิดเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกไปในทางเดียวกัน
“สมใจเธอแล้วสิ”
ดวงตาคู่นั้นมองฉันด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างหนัก เขาปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเข้าถึงตัวฉันได้สำเร็จ มือหนาจับเข้าที่ต้นแขนของฉันแล้วบีบอย่างแรงจนความเจ็บนั้นแล่นจากต้นแขนขึ้นมาที่หัวไหล่ เจ็บไปจนถึงแกนกระดูก...
“โอ๊ย!”
แต่เหมือนว่าการทำให้ฉันเจ็บจะไม่ใช่สิ่งที่ชายคนนี้พึงพอใจ
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอคือพวกไอ้มาร์ค แต่ยังนอนให้เธอยั่วอยู่ทั้งคืน เรื่องนี้เธอต้องรับผิดชอบ!!”
“คุณพูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง ปล่อยนะ โอ๊ย!”
ยิ่งฉันตอบกลับไปอย่างนั้น แรงบีบก็ยิ่งมากขึ้น มันเหมือนจะหักแขนฉันออกเป็นสองส่วนให้ได้ เจ็บจนน้ำตาของฉันมันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตา ผู้หญิงอย่างเธอต่อให้ร้องไห้มากแค่ไหนมันก็ดูตอแหล ปลอม!”
“อึก”
มือที่จับแขนฉันไว้ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยออก นั่นไม่ได้ต่างอะไรจากการผลักฉันอย่างแรงจนความเจ็บปวดทั้งหลายในร่างกายทวีขึ้นไปอีก...
ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองผิดอะไรกันแน่ เมื่อวานเขาเป็นคนลากฉันขึ้นเตียงเองแท้ๆ แต่วันนี้กลับทำเหมือนฉันพังชีวิตของเขา
ฉันยังไม่ทันได้คลายความสงสัย ประตูห้องก็ได้เปิดออกพร้อมกับชายชุดดำอีกหลายคนที่เข้ามาในนี้ นั่นทำให้ความสนใจของชายตรงหน้าเปลี่ยนไป เขาหันไปหาคนเหล่านั้นพร้อมทั้งตะคอกออกมาเสียงดังลั่น
“พวกมึงกลับมาทำเหี้ยอะไร กูบอกให้เฝ้าจันทร์จ๋าเอาไว้แล้วมึงกลับมากัน ทำไม!!”
น้ำเสียงของเขานั้นฟังดูโกรธมากกว่าตอนที่พูดอยู่กับฉันหลายเท่า ขนาดที่ว่าชายชุดดำพวกนั้นซึ่งหุ่นล่ำกว่าเขาจนน่าจะสามารถทุ่มเขาลงพื้นได้อย่างง่ายดาย กลับทำได้แค่ยืนก้มหน้าไม่กล้าเถียงอะไรกลับมาเลยสักคำ
“ตอนที่พวกเราขึ้นไปหัวหน้าแจ้งว่าให้ลงมาก่อนเดี๋ยวจะจัดการเอง แต่ไม่คิดว่าพวกนั้นจะถือโอกาสนี้ขับเรือหนีไปครับ” หนึ่งในชายชุดดำกลุ่มนั้นพูดเสียงสั่นๆ
“แล้วติดต่อจาเรดหรือยัง ตอนนี้บนเรือลำนั้นเป็นยังไงบ้าง”
“ยังครับ ทั้งคุณจาเรดและคุณจันทร์จ๋าไม่ได้เอามือถือไปทั้งคู่ครับ”
ผัวะ!
ท่ามกลางอาการงุนงงของฉันที่ยังไม่ทันหายดี ความตกใจก็เข้ามาแทนที่ซะก่อน เมื่อจู่ๆ หมัดหนักๆ ของชายผู้ถูกเรียกว่า บอส ก็เข้าซัดใบหน้าลูกน้องคนที่เพิ่งพูดจบไปจนชายคนนั้นถึงกับหมดสติ
นะ...นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว เมื่อวานก็ฆ่าคนแล้ววันนี้ยังมาทำเรื่องป่าเถื่อนต่อหน้าฉันอีก แม้ว่าในใจจะอยากประณามเขาออกไปมากแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่นั่งเงียบมองภาพตรงหน้าด้วยกลัวว่าถ้าเผลอทำอะไรไม่เข้าตาเขาเข้า รายต่อไปอาจเป็นฉันก็ได้
“กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้มาร์คมันเล็งจันทร์จ๋าอยู่ ให้ดูแลเธอให้ดี แล้วนี่พวกมึงกลับ...โธ่เว้ย!!”
จันทร์จ๋า...ผู้หญิงคนนี้คงจะสำคัญกับเขามากเลยสินะ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ เธอคือใครกัน...คนที่ทำให้เขาโมโหมากถึงขนาดนี้
ในขณะที่ฉันตกอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ เขาที่กำลังโมโหลูกน้องก็ได้หันกลับมาสนใจฉันอีกครั้ง
“เธอน่ะ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าเรือมันจะมุ่งหน้าไปไหน ไม่อย่างนั้นเธอได้สลบตามไอ้นั่นไปแน่”
มือของเขาชี้ไปยังชายชุดดำที่สลบเหมือดอยู่ตรงนั้น สายตาที่มองมายังฉันนั้นไม่มีคำว่าล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว เขากำลังทำเหมือนกับว่าหากฉันตอบคำที่ไม่ถูกใจ บางทีนอกจากสลบแล้วถึงขนาดเอาฉันตายเขาก็ทำได้
แค่คิดอย่างนั้นหัวใจมันก็เหมือนจะหยุดเต้นไปเสียดื้อๆ
“ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ” ฉันเลือกตอบออกไปตามตรง แม้จะรู้ว่านั่นคือการฝังตัวเองลงหลุมไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ตามที
“ไม่เข้าใจ? หรือว่าโดนกระแทกจนสมองกระทบกระเทือนไปหมด ต้องให้กระแทกซ้ำหรือเปล่าถึงจะจำได้”
“นี่คุณ...อั้ก!!”
เพียงแค่ฉันอ้าปากจะประท้วงเขากลับก็ถูกชายหนุ่มพุ่งเข้ามาบีบคางเอาไว้อย่างแรง เขาจ้องหน้าฉันจนแทบจะเปลี่ยนดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน ความเจ็บปวดบริเวณคางยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เจ็บ...”
“แล้วฉันไม่เจ็บเลยมั้ง เธอไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกควักหัวใจออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าหรอก คนร่านๆ อย่างเธอมันจะไปรู้อะไร!!”
เป็นอีกครั้งที่เขาทำให้ฉันเจ็บ แล้วก็ออกแรงผลักโดยไม่สนเลยว่าจะทำให้กระดูกส่วนไหนของฉันหักไปหรือเปล่า ความโกรธของเขาที่แสดงออกมาไม่ได้ทำให้ฉันกลัว แต่กลับทำให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่า
ฉันกำลังทำอะไรอยู่กันนะ? แล้วฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ วันนี้คือวันแรกที่ฉันจะใช้ชีวิตในฐานะของผู้ใหญ่ แล้วทำไมชีวิตของฉันต้องเริ่มต้นอย่างน่าอดสูแบบนี้ด้วย
ในขณะที่ฉันนั่งซึม นึกสังเวชให้แก่ชีวิตของตัวเองอยู่นั้น คนที่กำลังเดือดดาลเมื่อครู่เห็นว่าความรุนแรงของเขาทำร้ายฉันไม่ได้ เขาจึงได้ถอยออกไปพร้อมกับคาดโทษฉันเอาไว้
“ออกไปให้พ้นหน้าฉันซะ อย่าให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่”
เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในอก ฉันในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าควรรู้สึกยังไงดี
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ