(คามินทร์)
ยัยบ้านี่...ไม่ใช่ผมเพิ่งจะปล่อยไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเองไม่ใช่เหรอวะ ทำไมถึงได้กลับมาอีกแล้ว ซ้ำยังกลับมาในสภาพเมาปลิ้น ปรี่เข้ามาจูบผมแบบไม่ให้ตั้งตัวอีก
“คุณ...มาเป็นของฉันได้ไหมคะ?”
แล้วนี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา คนเราจะขอให้คนอื่นมาเป็นของตัวเองก็ต้องมีความสนใจในตัวอีกฝ่ายมากพอ แต่นี่เราไม่ได้รู้จักกัน เจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้ประทับใจเลยด้วยซ้ำ
ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าผมนั้นแดงก่ำ ร่างกายของเธอมีความผิดปกติบางอย่างที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนเมาแน่ๆ
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ตอนนี้ร่างกายของผมมันก็เกิดอาการเช่นกัน มันทำให้ผมร้อนไปหมดทั้งตัว รู้สึกวูบวาบประหลาดทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยแท้ๆ
อาการมันเหมือนกับ...ตอนที่ผมโดนยาก่อนหน้านี้
“คุณมาเป็นของฉันเถอะนะคะ ฉันไม่ไหวแล้ว”
มือเล็กปัดป่ายไปทั่วร่างกายของผมโดยไม่สนเลยว่าคนอื่นเขาจะมองยังไง โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนกำลังฉลองกันอยู่เลยไม่ได้มีใครสนใจตรงนี้ ด้านจาเรดเมื่อเห็นว่าผมเจอปัญหาก็รีบวิ่งตรงเข้ามาดูในทันที
“บอสมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อือ มี ปัญหาใหญ่ซะด้วย”
ก็ช่วยอยู่นิ่งๆ สิโว้ย ดูท่าว่าเธอคนนี้ก็คงกำลังโดนยาบ้านั่นด้วยเช่นกัน แต่โดนได้ยังไง โดนวิธีไหน แล้วเอามาโดนผมด้วยได้ยังไงต้องหาทางวินิจฉัยอีกทีซึ่งคงทำตรงนี้ไม่ได้
“ให้ผมจัดการเถอะครับ” จาเรดพยายามยื่นมือมาคว้าตัวเธอไปแต่ผมหยุดเอาไว้ได้ซะก่อน
“ไม่ต้อง นี่เป็นยาที่ฉันเคยโดน แกไปคุ้มกันจันทร์จ๋า อย่าให้เธอดื่มเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า หรือถ้าดื่มไปแล้วมีอาการแปลกๆ ให้รีบมาบอกฉันทันที”
“รับทราบครับบอส”
หลังสั่งงานเสร็จผมก็หันมาหาคนที่อยู่ในอ้อมกอด ร่างเล็กดิ้นดุกดิกโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“ส่วนเธอยัยตัวยุ่ง มานี่”
ผมลากยัยตัวปัญหากลับมายังห้องพักของตัวเอง ระหว่างทางก็เหมือนว่าเธอจะหมดสติลงไปเสียดื้อๆ อาการแบบนี้ไม่รู้ว่าโดนไปเยอะแค่ไหน ดูทรงแล้วคงทั้งเมาทั้งโดนยาแน่ๆ ที่สำคัญคือโดนมาจากไหน ใครเป็นคนเอาให้เธอ
“เวลเด้”
ผมเรียกลูกน้องอีกคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู
“ครับบอส”
“ไปหาว่าผู้หญิงคนนี้ดื่มเหล้าอะไร ได้มาจากใคร เอาให้ละเอียดที่สุด”
“ได้ครับ”
“อ้อ แล้วก็สั่งให้คนอื่นออกไปให้ห่างหน้าห้องกูด้วย”
“ทำไมครับ? แบบนั้นมันจะไม่ปลอดภัย...”
“กูจะเอาผู้หญิง พอใจยัง!”
ไอ้บ้านี่ ต้องให้ได้ตะคอก
“คะ...ครับบอส ตามคำสั่งเลยครับ”
ทีนี้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้ว หญิงสาวถูกโยนลงบนเตียงให้นอนราบไปทั้งอย่างนั้น แต่ชุดเดรสสั้นฟูฟ่องที่เธอสวมก็ได้เลิกขึ้นจนเห็นต้นขาขาว ยิ่งเธอขยับร่างกายไปตามความรู้สึกที่กำลังปะทุ อารมณ์บางอย่างที่กำลังถูกยากระตุ้นในร่างกายของผมมันก็ได้พุ่งขึ้นสูงเช่นเดียวกัน
แต่ไม่ได้ ตอนนี้ผมต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่อย่างนั้นอาจจะปกป้องจันทร์จ๋าไม่ทัน...โธ่เว้ย!
ผมรีบต่อสายไปยังประเทศไทยในทันที โชคดีของยัยนี่ที่สัญญาณมือถือยังคงใช้งานได้ ไม่อย่างนั้นเธอได้ตายกลางทะเลแน่ๆ
รอไม่กี่วินาทีอีกฝ่ายก็รับสาย
[เออ ว่า]
คนที่ผมเลือกจะโทรหาคือ ภาคินทร์ พี่ชายฝาแฝดของผมเอง อันที่จริงก็ไม่ได้สนิทกันมากหรอก ในสามคนพี่น้องผมกับนาวินทร์สนิทกันมากกว่าไอ้พี่ชายคนโต แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของน้องชายผมมันไม่สมประกอบ จะโทรไปกวนมันก็ยังไงอยู่
“กูมีเรื่องให้ช่วย”
[มึงเนี่ยนะมีเรื่องให้ช่วย โทรผิดหรือเปล่า นี่กูภาคินทร์]
“เออ กูเมมชื่อมึงตัวใหญ่กว่าไอ้วินทร์อีก”
[แล้วลมอะไรพัดเข้าตาถึงได้โทรหากู ขอเนื้อๆ กูง่วง]
“มึงช่วยกูหาได้ไหมว่าไอ้ยาปลุกเซ็กซ์ที่กำลังระบาดๆ อยู่ทุกวันนี้อะ นอกจากให้ยาระงับตามอาการทางสายน้ำเกลือแล้วมันรักษายังไงได้อีก”
ร่างกายของผมมันเริ่มจะแปลกๆ ขึ้นไปทุกที ก่อนออกจากโรงพยาบาลหมอบอกว่าหากโดนครั้งที่สองแล้วเป็นยาตัวเดิมอาการจะแรงขึ้นจนอาจหัวใจวายได้เลย ผมไม่รู้หรอกว่ามันคือยาตัวเดิมไหมแต่ร่างกายมันกำลังตอบสนองรุนแรงจนน่ากลัว
ผมต้องปกป้องจันทร์จ๋า จะมาเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
[มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะ อย่าบอกนะว่าโดน?]
“เออ โดน กำลังอารมณ์ขึ้นเลยเนี่ย เร็วดิ ถามมากว่ะ”
[โดนก็หาผู้หญิงมาเอาสักคน ยากตรงไหนวะ คนอย่างมึงไม่น่าขาดนะผู้หญิงอะ]
เฮ้อ...นี่คือความคิดของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่มูลค่าระดับพันล้าน ถ้าด่าพี่ชายตัวเองว่า ปัญญาอ่อน จะมีใครว่าผมไหม
“เออ กูรู้ มีอารมณ์ก็แค่เอาผู้หญิงสักคน แต่มัน...อึก...ไอ้เหี้ย...มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ ครั้งที่แล้วฉีดเข้าเส้นยังต้องรอตั้งหลายชั่วโมง”
[เฮ้ยๆๆ อย่ามาครางใส่สายกูนะไอ้น้องเวร แล้วนี่มึงเป็นไง หนักมากเหรอวะ]
ไม่ต้องมาทำห่วงตอนนี้เลย ไม่ทันแล้วไอ้พี่เวร
“เออ หนักมาก กูขอไปปลดปล่อยก่อน เสร็จแล้วจะโทรหา”
[เออ เดี๋ยวกูเรียกกู้ภัยรอ]
นั่นปากเหรอวะ พูดจบมันก็ตัดสายไป ทิ้งให้ผมอยู่กับอารมณ์ปั่นป่วนที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงหน้าที่นอนบิดซ้ายบิดขวาส่งเสียงครางอู้อี้ในลำคออยู่บนที่นอนของผม แค่ผมแวบไปคุยสายกับพี่ชายไม่กี่นาที กลับมาก็พบว่าเสื้อผ้าของเธอหายออกไปจากตัว เหลือเพียงชั้นในที่ปกปิดร่างกายเอาไว้เสียแล้ว
ให้มันได้อย่างนี้สิ แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบฝืนตัวเองด้วยการทนมองเรือนร่างของหญิงสาวแล้วไม่ทำอะไรหรอกนะ ถึงผมจะสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่มีอะไรกับใครจนกว่าจะได้จันทร์จ๋าคืนมา แต่นี่มันเหตุสุดวิสัย
ถ้าผมไม่ทำ คนตรงหน้ารวมทั้งผมเองก็อาจจะหัวใจวายตายกันทั้งคู่ มันไม่มีทางเลือก ผมคิดว่าเธอคงเข้าใจ
แค่นั้นแหละ ไม่ต้องถามมาก
“ร้อน...”
ปากเล็กๆ นั่นเอาแต่ส่งเสียงออดอ้อนอยู่ตลอดเวลา เคล้าไปกับเสียงครางกระเส่าที่ดังเร้าอารมณ์ผมอยู่เป็นระยะๆ
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติผมคงไล่เธอออกไปจากห้องแทบไม่ทัน แต่นี่ผมเองก็กำลังสติกระเจิดกระเจิงเพราะไอ้ยาบ้าๆ นี่ จึงทำให้ร่างกายผมตอบสนองต่อเสียงนั่นได้อย่างง่ายดาย
“ร้อน...ก็ถอดที่เหลือออกให้หมดสิ”
ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งตัวผมเองก็ร้อนรุ่มไม่แพ้กัน จนท้ายที่สุดแล้วได้ทาบทับลงไปจนรับรู้ได้ถึงเรือนร่างนุ่มนิ่มที่กำลังร้องเรียกหาสัมผัสของผมอยู่ตรงหน้า...
รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่บ้า แต่ผู้หญิงคนนี้ถูกต้องตามสเปกผมทุกส่วน ทั้งทรงผม ใบหน้าออดอ้อนแม้ยามเธอกำลังหวาดกลัว หุ่นที่เหมือนนางแบบจากนิตยสารมาเอง หน้าอกหน้าใจใหญ่เต็มไม้เต็มมือ บั้นท้ายกลมกลึงน่าบีบเคล้น
ไหนๆ เจอของโปรดมาป้อนถึงปาก ก็ขอ กิน ให้มันหนำใจหน่อยก็แล้วกัน
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ