ค่ำคืนที่เร่าร้อนของทั้งคู่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทว่านั่นกลับทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะไปช่วย แฟนเก่า ความคับแค้นใจทำให้ชายหนุ่มทั้งด่าทั้งสาปแช่ง ชาตินี้ขออย่าได้เจอกันอีก แต่ไม่คิดว่า... หญิงสาวจะมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา ในฐานะ ว่าที่เจ้าสาว +++++++++++++++++++ "นี่คือแหวนแต่งงาน คือของแทนใจเดียวที่ฉันรับมันมาจากคุณ ฉันคืนให้ค่ะ" วินาทีที่ยื่นแหวนวงนั้นคืนให้แก่เขา น้ำตามันไหลลงมาเป็นสายจนฉันไม่สามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนอีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาอาบแก้มใสพยายามกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน ภายในใจนั้นเจ็บจนด้านชาไร้ความรู้สึก ยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของเขาที่ตอบกลับมาอย่างใจร้าย "ก็แค่แหวนสำเร็จรูปราคาไม่เท่าไร เอาไปเถอะ อยากขายทิ้งก็ตามใจเธอเลย"
Lihat lebih banyakเพียงแค่สวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้าย...เขาก็จะเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของฉัน...
ทว่าความจริงที่เป็น คือฉันได้แต่ยืนมองสามีของตัวเองที่ควรจะยืนอยู่ตรงแท่นพิธี กลับกลายเป็นว่าเขากำลังอุ้มหญิงสาวอีกคนออกจากงานไปโดยไม่สนใจฉันที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
ฉันควรจะรู้สึกยังไงดี...
“ติญ่า ไปเถอะ บอสบอกว่าให้พาคุณกลับบ้านถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฝ่ามืออุ่นของคุณน้ำหวานจับข้อมือของฉัน เธอไม่ได้บังคับออกแรงดึงให้ฉันออกไปจากตรงนี้แต่อย่างใด ในทางกลับกันเธอกลับยืนจับมือฉันอยู่อย่างนั้นไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก ปล่อยให้ความอบอุ่นจากฝ่ามือแทรกซึมเข้ามาในใจฉันอย่างช้าๆ ท่ามกลางผู้คนที่เดินออกจากที่นี่ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ต้องคิดมากนะคะ นี่ไม่ใช่งานแต่งจริงๆ หลังเสร็จเรื่อง บอสจะต้องจัดงานแต่งที่ใหญ่กว่านี้ให้คุณแน่”
นั่นเป็นคำปลอบใจจากคนที่ฉันไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับเธอด้วยซ้ำ เราเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง แต่กลับเป็นเธอที่ยืนข้างฉันและเข้าใจฉันมากที่สุดในสถานการณ์อย่างนี้
“ฉันไม่ต้องการหรอกค่ะ ไม่เป็นไร” ฉันหันไปยิ้มให้คนข้างกาย แต่ทั้งที่ปากบอกว่าไม่เป็นไร น้ำตามันกลับไหลออกมาเสียอย่างนั้น...
“ไม่ต้องร้องนะคะ อยากร้องไปกับฉัน ฉันจะพาคุณกลับบ้าน”
“ฮึก...ฉันไม่ได้...อยากร้อง”
น้ำตาของฉันมันหยุดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้นเหมือนคนบ้า ในขณะที่คุณน้ำหวานเดินไปอยู่ข้างหน้าเอาตัวบังฉันจากสายตาของคนอื่นๆ คล้ายจะบอกว่าให้ฉันร้องไห้ได้เลย
ยิ่งเธอทำอย่างนั้น น้ำตาของฉันมันก็ยิ่งไหลลงมามากกว่าเดิม
ทั้งที่ฉันเป็นคนบอกเขาเองว่าให้จัดงานแต่งงานหลอกๆ นี่ขึ้นมา ทั้งที่บอกว่าตัวเองไม่คิดอะไรเลย แต่ทำไม...ทำไมมันเจ็บอย่างนี้ ในอกของฉันมันบีบเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ช่องท้องวูบโหวงเหมือนจะหายใจไม่ออก...
ฉัน...กำลังอกหักใช่ไหม...
“พอหรือยังคะ”
คนที่ยืนหันหลังให้ฉันพูดขึ้น เธอยังคงไม่ปล่อยมือที่ปลอบใจฉันอยู่แม้ว่าจะผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ตาม
“ฮึก...” มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นตอบกลับไปเท่านั้น ส่วนเธอ...ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก
คุณน้ำหวานพาฉันออกมาจากตรงนั้นเงียบๆ เธอขับรถพาฉันกลับบ้านโดยไม่ถามหรือพูดอะไรมากให้ฉันต้องลำบากใจ แม้แต่เดินมาเจอคุณย่าที่รออยู่หน้าบ้าน เธอก็เป็นคนเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังแล้วพยักพเยิดให้ฉันขึ้นมาสงบสติอารมณ์บนห้อง
ฉันในชุดเจ้าสาวทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มที่ฉันนอนมาแล้วหลายคืน บรรยากาศภายในห้องก็เหมือนเดิม ทุกอย่างล้วนทำด้วยของหรูราคาแพงที่ฉันคงไม่มีวันเอื้อมถึง แต่สภาพจิตใจของฉันมันกลับไม่มีอารมณ์จะชื่นชมความเลอค่าของมันเลยสักนิด
คุณคามินทร์...เขาอยู่ที่ไหน ทำไมเขาไม่บอกอะไรกับฉันบ้างเลย เขาอุ้มแฟนเก่าหายออกไปจากงานแต่งงาน แม้แต่หน้าฉันยังไม่มองด้วยซ้ำ
ถึงฉันจะไม่อยากคิดอย่างนั้น แต่ทุกอย่างมันทำให้ฉันรู้แล้วว่าความจริงได้มาถึงแล้ว
ฉันควรจะยอมรับเสียที ว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
แหวนเงินประดับเพชรจากแบรนด์หรูที่ฉันควรสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายของเขายังคงอยู่ในมือฉัน ส่วนอีกวงนั้นสวมอยู่ที่ฉัน มันควรเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตแต่งงานที่กำลังเริ่มต้น แต่พอฉันจ้องมองมัน ก็ไม่ต่างจากการตอกย้ำว่าจริงๆ แล้ว...มีแค่ฉันที่คิดไปเองแค่ฝ่ายเดียว
เขาไปอยู่ที่ไหนกันนะ
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
Komen