อย่างไร้เสียนับแต่ขาหัก อ๋องฉีก็ยิ่งอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายขึ้นช่วงนี้แม้แต่หมอเทวดาเซวียก็ยังถูกเขารบกวนจนรำคาญแล้วขันทีสวีลองหยั่งเชิงถามว่า “ท่านอ๋อง ทรงหมายถึงสิ่งใดขอรับ”“เฝิงไฉ่เวยหาใช่หญิงธรรมดา” อ๋องฉีโบกจดหมายเหล่านั้น ริมฝีปากแย้มยิ้มเจือเย้ย “หากว่าชีหยวนเปรียบเสมือนไฟเพลิงที่ลุกโชน เช่นนั้นนางก็คืองูพิษตัวหนึ่ง รอคอยจังหวะพุ่งขึ้นมาฉกกัดเจ้าได้ทุกเมื่อ”ชาติก่อนมันก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?ไม่ให้เป็นชายาของพระนัดดารัชทายาท นางก็เปลี่ยนตัวพระนัดดารัชทายาทเสียก็ได้เมื่อหวนคิดถึงเรื่องในอดีต อ๋องฉีก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีเขานึกถึงที่เฝิงไฉ่เวยเขียนไว้ในจดหมายว่า เซียวอวิ๋นถิงได้กราบทูลต่อฮ่องเต้หย่งชาง ว่าตนมีสตรีที่หมายปองแล้ว หวังให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ในภายหน้า นั่นก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเฝิงไฉ่เวยจะเลือกเดินทางใดวังบูรพานั้น มิใช่แผ่นเหล็กไร้รอยร้าวเรื่องในโลกล้วนแล้วแต่ไม่กลัวขาดแคลน หากแต่กลัวไม่เท่าเทียมกันเฉกเช่นเมื่อครั้งฮ่องเต้หย่งชางเคยลำเอียงเข้าข้างตน เหล่าเสนาขุนนางทั้งหลายก็ย่อมรอดูท่าทีแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไปตามสถานการณ์องค์รัชทายาทในยามนี้ ก็หาได้เป็
ตอนที่อ๋องฉีได้รับจดหมายนั้น อากาศก็ร้อนแล้วเขาเพิ่งมาถึงเมืองเมืองหงตู ทุกอย่างล้วนไม่ราบรื่น ขณะที่กำลังหงุดหงิดใจ ยิ่งในยามที่อากาศร้อนจัด เมืองหงตูก็ราวกับเตาไฟ เผาจนผู้คนหายใจแทบไม่ออก แม้กระทั่งขาของเขาก็เหมือนจะปวดมากขึ้นอารมณ์ของเขาจึงยิ่งขุ่นเคือง ทนไม่ไหวถึงกับเตะม้านั่งข้างๆ เข้าอย่างแรงผลคือกลับกระแทกเข้าที่ขาเจ็บของตนเอง ความเจ็บแล่นปราดขึ้นมา ทำให้เขาขมวดคิ้วแน่นด้วยความเจ็บปวดจินเป่าถือถ้วยน้ำแข็งเข้ามา พอเห็นเขาก็แทบยืนไม่มั่น รีบวางถ้วยแล้วเข้าไปพยุงเขาอ๋องฉีกลับปัดเขาออก แล้วทรุดตัวลงไปนวดขาของตนเอง พลางเอ่ยเสียงต่ำ “อาจารย์ของเจ้าอยู่ไหน?”จินเป่ายืนตัวตรงอย่างนอบน้อม ตอบกลับว่า “กราบทูลท่านอ๋อง ท่านอาจารย์ได้รับข่าวสารบางอย่างแล้วก็ออกไปข้างนอก ตอนนี้ยังไม่กลับมาขอรับ”อ๋องฉีจึงแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะขมวดคิ้ว หยิบสาส์นทักทายจากเจ้าเมืองเมืองหงตูขึ้นมาอ่านในขณะที่อ่านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ขันทีสวีก็เร่งฝีเท้าเข้ามา โค้งตัวลงอย่างเคารพ เอ่ยเรียกท่านอ๋องเขาส่งเสียงรับคำ พลางโยนสาส์นในมือทิ้ง แล้วหันศีรษะไปมองขันทีสวี เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไร ฝั่งเมืองหลวงจัดก
หากบอกเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ เฝิงอวี้จางย่อมต้องห้ามเรื่องนี้แน่นอน!เช่นนั้น เฝิงจวิ้นก็คงไม่ต้องตาย!ฮูหยินเฝิงนั่งตัวแข็งอยู่บนเตียง ชั่วขณะหนึ่งก็ยังไม่อาจกลืนรับเรื่องราวทั้งหมดที่เฝิงอวี้จางกล่าวได้ลง ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกตะลึงเฝิงอวี้จางตบโต๊ะเสียงดัง “ข้าไม่ได้โกรธที่ไฉ่เวยมีเล่ห์เหลี่ยม สำหรับนางและตระกูลเฝิงแล้ว การมีเล่ห์เหลี่ยมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ข้าโกรธก็แต่ ที่นางเอาเล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดไปใช้ในเรื่องไร้สาระเช่นนั้น!”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฝิงอวี้จางก็ยิ่งเดือดดาลให้ค่อยเป็นค่อยไปอะไรกัน หากเชื่อฟังพวกเขาแต่แรก ป่านนี้ยังจะมีเรื่องของชีหยวนอยู่หรือ?เพราะที่ผ่านมา พวกเขาต่างปล่อยตามใจนางมากเกินไป จนเลี้ยงให้นางกลายเป็นคนหยิ่งทะนงในใจฮูหยินเฝิงปวดศีรษะจนแทบแตก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฝิงไฉ่เวยเป็นเด็กที่ได้รับความรักและทะนุถนอมที่สุดในบ้าน ฟังจากคำพูดของเฝิงอวี้จางกล่าวนี้ จากนี้ไปจะไม่สนใจนางอีกแล้ว?นางอ้าปาก กล่าวว่า “แล้ว ทางฝั่งพระนัดดารัชทายาท…...”“ยังจะหวังอะไรกับพระนัดดารัชทายาทอีก?” เฝิงอวี้จางหัวเราะอย่างขื่นขม มิอาจอดกลั้นความเจ็บปวดในใจ “เขาไม่มี
ตอนที่ตระกูลเฝิงเพิ่งกลับเข้าเมืองหลวง ก็ยังคงเป็นที่จับตามองและได้รับความนิยมไม่น้อย แต่ไม่นานหลังจากกลับมา ก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นติด ๆ กันหลายเรื่อง หลังจากนั้นก็ถูกสั่งห้ามมิให้ออกจากจวน ชาวเมืองหลวงเริ่มรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติตระกูลเฝิงกลับเมืองหลวงมาได้สักพักแล้ว ตลอดช่วงเวลานี้ นอกจากในงานเลี้ยงชมดอกโบตั๋นที่เฝิงไฉ่เวยสามารถจำแนกดอกโบตั๋นได้กว่าร้อยสายพันธุ์ และมีฝีมือเขียนพู่กันที่งดงามไร้ที่ติ ก็แทบจำไม่ได้ว่าตระกูลเฝิงมีเรื่องอะไรให้ผู้คนจำได้อีกเลยอย่างน้อยเมื่อทุกคนเริ่มคิดทบทวน ก็ค่อย ๆ ตระหนักได้ว่า หากเบื้องบนมีใจจะให้ตระกูลเฝิงกลับมาเป็นที่ใช้งานอย่างจริงจัง คนที่โด่งดังไม่ควรจะมีแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกเรือนเท่านั้นประตูเรือนของตระกูลเฝิงที่ก่อนหน้านี้ถูกเหยียบย่ำแทบพังกลับพลันเงียบเหงาลงในทันทีฮูหยินเฝิงร้อนใจจนปากพองไปหมดนับตั้งแต่เฝิงจวิ้นเสียชีวิต นางก็ล้มป่วยในช่วงที่เฝิงไฉ่เวยนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ นาง ในที่สุดฮูหยินเฝิงก็หาโอกาสได้ จับมือเฝิงไฉ่เวยไว้แน่นเสียจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ จ้องนางเขม็งพลันถามว่า “ท่านปู่เจ้าบอกว่าก่อนที่พี่เจ้าจะลงมือ เ
ซ่งเหลียงตี้เหลือบตามองเขาอย่างตื่นตระหนก “อย่าพูดส่งเดช!”จวิ้นอ๋องหนานอานไม่พอใจยิ่งนักที่มารดาระมัดระวังจนเกินเหตุ เขาแค่นหัวเราะเบา ๆ พลางพูดว่า “ทว่าเขายึดหลักคุณธรรมก็ดีนัก หากเขาไม่ทำตัวสูงส่งเสแสร้งเช่นนั้น ข้าจะมีโอกาสได้ออกหน้าได้อย่างไร?”ซ่งเหลียงตี้กดเสียงลงต่ำ ถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม!”นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอัดอั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เซียวอวิ๋นถิงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทไปแล้ว......”นางหยุดไปชั่วครู่ ก่อนกัดฟันกล่าวว่า “อดทนอีกนิดเถอะ รอจนถึงวันที่เสด็จพ่อของเจ้าขึ้นกุมอำนาจแล้ว เจ้าก็จะได้ผงาดขึ้นได้เต็มที่ แล้วเหตุใดจึงต้องเสี่ยงในตอนนี้เล่า?”เวลานี้ ฮ่องเต้หย่งชางยังทรงพระพลานามัยแข็งแรงและมีอำนาจเต็มมือ อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ทรงกดข่มองค์รัชทายาทไว้แน่นหนาในยามเช่นนี้ มีเหตุอันใดจำเป็นต้องก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเซียวอวิ๋นถิงให้เปลืองตัวเล่า?แค่รอให้นานพอ ย่อมได้ทุกอย่างแน่นอนแต่ทว่าเซียวจิ่งเจากลับมิได้คิดเช่นนั้นต่างก็เป็นพระราชนัดดาของฮ่องเต้เหมือนกัน เหตุใดเมื่อเอ่ยถึงวังบูรพา ผู้คนจ
สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกกำหนดให้เป็นอุบัติเหตุบรรดาฮูหยินเหล่าขุนนางต่างก็ลอบถอนหายใจโล่งอกกันไม่มากก็น้อย เพียงแต่ว่าก็มีคนตาย งานเลี้ยงนี้ย่อมไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีกองค์หญิงใหญ่ออกมากล่าวขอโทษด้วยพระองค์เอง ค่อยได้ส่งแขกเหรื่อทั้งหมดกลับไปเสียทีรถม้าของเฝิงไฉ่เวยกุกกักเคลื่อนตัวออกจากจวนองค์หญิงใหญ่ นางอดไม่ไหวจึงยกม่านรถม้าขึ้น บังเอิญเห็นเซียวอวิ๋นถิงกำลังยืนอยู่ข้างหน้าสิงโตหินของจวนองค์หญิงใหญ่ ในยามนั้นเขายิ้มอยู่ และไม่รู้ว่ากำลังเอ่ยสิ่งใดกับคนในรถม้าคนในรถม้านั้นไม่แม้แต่จะยกม่านขึ้น ไม่รู้ว่าเอื้อนเอ่ยอะไร รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวอวิ๋นถิงยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นสีหน้าของนางพลันมืดหม่นชีวิตช่างน่าแปลกนัก ในอดีตสิ่งตนเคยรู้สึกงดงามเจิดจ้า ไม่มีใครเทียบได้ ถึงขั้นทำให้ตนยอมสละทุกอย่างเพื่อให้ได้มา เมื่อเวลาผ่านไป หรือแค่เปลี่ยนมุมมองเสียหน่อย กลับพบว่าของพวกมันนั้นไร้ซึ่งแสงสว่างอย่างสิ้นเชิงสำหรับนางแล้ว เซียวอวิ๋นถิงในตอนนี้ ก็คือสิ่งของเช่นนั้นเมื่อก่อน นางเคยคิดว่าเขาเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นประกายพราวพรายตลอดเวลาทว่ายามนี้ เมื่อนางมองเขาอีกครั้ง กลับรู้สึกเพียงว่าใบหน้าข