น่าเสียดาย ชีหยวนกลับเป็นเหมือนก้อนหินแข็งแกร่ง หัวแข็ง ไม่สะทกสะท้านหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ทว่า ก็มีคนส่งเสียงคัดค้านออกมาทันใด: “เช่นนี้ไม่เหมาะสม! จะแข่งขันก็แข่งขัน ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?” ชีหยวนเอียงศีรษะเล็กน้อย ครั้นมองเห็นดรุณีที่เอ่ยวาจาออกมาเมื่อครู่สวมเสื้อคลุมตัวสั้นสีเหลืองอ่อน ท่อนล่างมัดกระโปรงร้อยจีบสีชาขาว ยามนี้กำลังมองมายังตนเองด้วยท่าทางเป็นกังวล หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย แม่นางท่านนี้ช่างดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก และในขณะนั้นเอง แม่นางที่เมื่อครู่เสนอให้ตัดมือก็กล่าวแย้งด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม: “หวังฉาน เจ้าจะเสแสร้งอะไรนักหนา? ที่ว่าใช้ได้ที่ไหนกันคืออะไร? เจ้าคงกลัวว่าลูกพี่ลูกน้องของตนเองจะแพ้การแข่งมากกว่ากระมัง? ใครไม่รู้บ้างว่าจวนติ้งหย่วนป๋อและจวนหย่งผิงโหวของพวกเจ้าเกี่ยวดองเป็นญาติกัน!” จวนติ้งหย่วนป๋อ เป็นบุตรีของนางหลู่ป้าสะใภ้เองหรือ ชีหยวนเข้าใจในทันที มิน่านางถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าหวังฉานนัก ที่แท้ก็เพราะหวังฉานหน้าเหมือนนางหลู่ นางผงกศีรษะให้หวังฉานอย่างเป็นมิตร ก่อนจะดึงดูดสายตาของทุกคนกลับมาอย่างแนบเนียน : “มิใช่ว่าจะต้องประลองกันแล้วหรือ?
และในขณะเดียวกันนั้น เซียวอวิ๋นถิงซึ่งกำลังทักทายปราศรัยกับอ๋องโจวอยู่บนแท่นยกพื้นก็เห็นว่ามีคนเดินลงสนามแข่งแล้ว กระทั่งเห็นชัดว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใคร แทบจะบีบถ้วยน้ำชาจนแตกละเอียด ถ้อยคำกำชับนับพันหมื่นของเขา ล้วนสูญเปล่าทั้งสิ้น! เด็กคนนี้ลงสนามแข่งไปแล้ว! นางคิดจะทำอะไรของนาง? ปลิดชีวิตใครสักคนสามารถอาศัยแรงดุดันป่าเถื่อน หรือความโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าการเล่นตีคลีแตกต่างจากสิ่งเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง และหากว่าพลาดพลั้งร่วงลงมา เป็นอันต้องจบชีวิตแล้ว! งานแข่งตีคลีในเมืองหลวงจะมีปีใดบ้างที่ไม่ต้องสูญเสียชีวิตของผู้ใดไปสักคน? อ๋องโจวกลั้วหัวเราะพลางส่งเสียงร้องแปลกใจ ก่อนจะกวักมือเรียกขันทีน้อยข้างกายเข้ามา: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? ยังไม่เริ่มรำเพลงอุ่นเครื่องเปิดสนามเลย ไฉนจึงมีคนจูงม้าลงสนามไปแล้ว?” ขันทีน้อยหมุนตัวออกไปด้วยท่าทางร้อนรน ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมา พร้อมกระซิบรายงานต้นสายปลายเหตุของเรื่องดังกล่าวนี้ให้อ๋องโจวฟังด้วยเสียงเบาหวิว อ๋องโจวอุทานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยออกมา: “เฮอะ มีคนกล้าท้าแม่หนูหลิ่วประลองตัวต่อตัว ตีลูกตีคลีตัดสินในประตูเดียวด้วยหรือ?”
อ๋องโจวมองเซียวอวิ๋นถิงพลางกลั้วหัวเราะเช่นกัน: “ดูเหมือนอาชาเหงื่อโลหิตจะต้องเป็นของแม่หนูหลิ่วแล้ว” เซียวอวิ๋นถิงยังขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนแรก บัดนี้ได้ยินอ๋องโจวเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็พลันหัวเราะขึ้นมา: “ท่านปู่น้อย ชัยชนะจะตกอยู่ในมือใคร บัดนี้ยังไม่อาจรู้” อ๋องโจวหันกลับมา ก็เห็นชีหยวนตะบึงอาชา พุ่งไปตัดหน้าหลิ่วหมิงจูอย่างบ้าคลั่ง พลิกฝ่ามือสกัดลูกไว้ได้ก็หวดลูกกลับไปอีกฟากตรงข้ามแล้ว ลูกคลีถูกแย่งไปได้สำเร็จแล้วจริง ๆ! “เยี่ยม!” อ๋องโจวส่งเสียงร้องชมเชยออกมาอย่างอดไม่ไหว เสี้ยวขณะนั้นแอบรู้สึกตะลึงงันเล็กน้อย: “แม่หนูคนนี้เป็นใครกัน?” เซียวอวิ๋นถิงกระตุกมุมปาก ฮูหยินใหญ่หลิ่วเหยียดตัวตรงช้า ๆ ในแววตาฉายประกายอึ้งงันและไม่อยากเชื่อ เฝ้าดูบุตรีเล่นตีคลีซ้อมตีคลีมานานหลายปี นางย่อมรู้ดีว่าบุตรีมีความสามารถระดับใด และเพราะเหตุผลนี้ ตอนที่เห็นชีหยวนสามารถตะบึงอาชาเข้าไปตัดลูกคลีของหลิ่วหมิงจูมาได้ นางยิ่งรู้สึกตื่นตะลึงและงงงัน เป็นไปได้อย่างไร?! นางเด็กที่มาจากหุบเขาท้องทุ่งคนนี้ ไยจึงมีความสามารถได้ถึงเพียงนี้?! และในตอนนี้เสียงร้องเฮจากนอกสนามแข่งไม่มีทางจะส่งไปถึง
พระชายาอ๋องโจวตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง “หมิงจูพ่ายแพ้หรือ?”ฮูหยินใหญ่หลิ่วมีสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่ได้เอ่ยตอบแพ้แล้ว!บุตรสาวของนางพ่ายแพ้แล้ว!ในปีที่ได้เข้าพิธีปักปิ่น ในวันที่ควรจะมีแต่เกียรติยศ กลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กนอกคอกที่กลับมาจากชนบท!ฮูหยินรองตระกูลชีกลั้นลมหายใจ จากนั้นก็ตบมือด้วยใบหน้าแดงก่ำ!มันยากนัก นางเห็นอย่างชัดเจน ถ้าชีหยวนตอบสนองช้าไปเพียงชั่วขณะเดียว เช่นนั้นมือของชีหยวนคงถูกตัดจนขาดไปแล้วอ๋องโจวลูบเคราที่เพิ่งงอกบนใบหน้าและเป่าออกมาเบา ๆ “ในแผ่นดินย่อมมีคนมากความสามารถปรากฏโดยแท้! คุณหนูใหญ่ตระกูลชีผู้นี้ มาจากที่ใดกัน?”มาจากที่ใดกัน?เซียวอวิ๋นถิงนึกถึงสาวน้อยที่ฆ่าคนในทะเลสาบยามเช้า แล้วพลันยิ้มออกมา “ผุดขึ้นมาจากน้ำกระมัง”.....อ๋องโจวมองเซียวอวิ๋นถิงด้วยสายตาสับสน “เจ้ารู้จักนางหรือ?”เซียวอวิ๋นถิงรับคำ “นับว่ารู้จัก ดังนั้น ม้าเหงื่อโลหิตของท่านปู่น้อย อย่ามานึกเสียดายนะพ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นสิ่งที่นางแย่งชิงได้ด้วยตนเอง สมควรเป็นของนางอ๋องโจวเกิดความคิดบางอย่างในใจ “เจ้าเด็กนี่ หรือว่าเจ้า...”คำพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเรียกขององค์หญิงลั่วชวน “ห
นี่คือความอับอายใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต!เมื่อความอดทนหมดสิ้น ความโกรธและความอับอายก็เอาชนะเหตุผล ร่างของหลิ่วหมิงจูขยับไปเร็วกว่าสติสัมปชัญญะของตัวเอง นางฟาดแส้ลงไปบนหลังม้าอย่างแรง ม้าร้องด้วยความเจ็บ ก่อนจะยกขาหน้าขึ้นในทันที และด้วยการกระตุ้นจากหลิ่วหมิงจู ม้าตัวนั้นก็พุ่งตรงไปยังชีหยวนอย่างบ้าคลั่งหวังฉานที่กำลังปรบมือพลันหยุดชะงัก ใบหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งลงมาจากอัฒจันทร์หวังจะลงสนามไปกอดชีหยวนแต่นางลงบันไดไปได้แค่สองขั้น ก็เห็นว่าหลิ่วหมิงจูก็ควบม้าพุ่งตรงไปหาชีหยวนอย่างรวดเร็ว ใจของนางก็เหมือนจะเด้งออกมานอกอกเนื่องจากนางตกใจสุดขีด จนแม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเปล่งออกมา ได้แต่ยืนตัวแข็งมองหลิ่วหมิงจูพุ่งทะยานตรงไปอย่างรวดเร็ว นางง้างไม้ตีลูกคลีในมือสุดแรง ตีลงไปที่ขาหน้าของม้าที่ชีหยวนขี่อยู่!เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นในชั่วพริบตาทุกคนล้วนตะลึงงันอ๋องโจวมีสีหน้าเคร่งขรึม รีบก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วตวาดลั่น “เหลวไหล!”การแข่งขันแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นแค่เด็กสาว ชนะหรือแพ้มันจะมีความสำคัญสักแค่ไหนกัน?คนที่มาดูก็แค่พูดคุยกันไปชั่วขณะ เดี๋ยวก็ลืมกันหมดนี่เป็นเพียงการแ
ชีหยวนล้มลงกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ ทั้งร่างเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่กลับคล่องแคล่วพอที่จะหลบเลี่ยงการถูกม้าของหลิ่วหมิงจูเหยียบได้ทันหลิ่วหมิงจูยึดมั่นในความคิดว่าหากไม่ทำก็ไม่ทำ หากจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด นางหันหัวม้า ควบม้าพุ่งตรงไปหาชีหยวนอีกครั้งโดยไม่ลังเลคราวนี้ชีหยวนไม่ได้หลบอีกต่อไป นางถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา จ้องไปยังหลิ่วหมิงจูที่อยู่บนหลังม้าสูงด้วยสายตาแน่วแน่เซียวอวิ๋นถิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่เพียงแค่ไม่เคลื่อนไหว เขายังตะโกนห้ามบรรดาทหารองครักษ์จากจวนอ๋องโจวที่เตรียมลงสนามไปช่วยคนเหล่าทหารองครักษ์หันมองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจอะไรกัน คุณหนูใหญ่ชีผู้นี้ไม่เพียงแค่มีเรื่องกับหลิ่วหมิงจู ยังดูเหมือนจะมีปัญหากับอ๋องจิ้งผู้นี้ด้วยหรือ?หลิ่วหมิงจูนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ มือจับไม้ตีคลี ขณะที่ชีหยวนมือเปล่าไร้อาวุธใด ๆหากถูกม้าเหยียบในคราวนี้ วันนี้อาจต้องไปพบยมบาลแล้วอ๋องโจวที่เพิ่งมาถึงก็ไม่เข้าใจ “เจ้า...”เมื่อครู่ยังดูเหมือนจะเป็นห่วงชีหยวนมากอยู่เลยไม่ใช่หรือ?ไฉนตอนนี้กลับห้ามคนไม่ให้ลงไปช่วยแล้ว?ถ้าช้ากว่านี้ นางอาจจะกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อก็ได้เซียวอวิ๋น
ลมหายใจร้อนกระซิบข้างใบหู เสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นทำให้หลิ่วหมิงจูรู้สึกชาวาบทั้งใจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะให้บิดาของข้าฆ่าเจ้า! ฆ่าเจ้าให้ได้!”“งั้นหรือ?” ชีหยวนแย้มยิ้มเล็กน้อย ค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้ข้างหูหลิ่วหมิงจู “คุณหนูใหญ่หลิ่วพูดราวกับว่าตนเองเคยเห็นคนตายมาก่อน”ขณะที่พูด มือของนางก็ค่อย ๆ จับสายบังเหียนไว้แน่น กดเสียงต่ำเอ่ยถาม “ตอนนี้ข้าจะสอนให้คุณหนูใหญ่หลิ่วได้รู้ว่า ความรู้สึกใกล้ตายนั้นมันเป็นอย่างไร”ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดม้าถึงร้องเสียงยาวโหยหวน หลิ่วหมิงจูเสียการทรงตัว ตกลงจากหลังม้ากระแทกพื้นอย่างแรงนางตกลงมาหน้ากระแทกพื้นเต็ม ๆ ในชั่วขณะที่ตกลงมา นางรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในทั้งหมดถูกกดเข้าหากัน เจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยว คิ้วขมวดแน่น ก่อนจะรู้สึกถึงรสคาวในลำคอ และพ่นเลือดออกมาจำนวนมากฮูหยินใหญ่หลิ่วรีบวิ่งข้ามรั้วเข้ามา ตะโกนลั่น “หมิงจู! หมิงจู!”ยามนี้พระชายาอ๋องโจวไม่กล้าประมาทอีกต่อไป รีบสั่งคนให้ไปช่วยเหลือทันทีทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้ใครจะคิดเล่าว่า การมาชมการแสดงแข่งขันของเหล่าหญิงสาว กลับกลายเป็นการได้ชมละครฉากใหญ่
นี่ก็คือโฉมหน้าแท้จริงของผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ด้วยความชอบที่มีต่อราชสำนัก ทำให้พวกเขาได้ครอบครองทรัพย์สินและอำนาจที่คนธรรมดาหลายชั่วอายุคนก็ไม่มีทางไขว่คว้ามาได้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มองตัวเองเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนอีกต่อไปพวกเขาต้องการเป็นเทพเจ้าต้องการอยู่สูงส่ง ต้องการสร้างความแตกต่างระหว่างตนกับราษฎรธรรมดาไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง การนอน ทุกอิริยาบถต้องสะท้อนถึงความสูงส่ง ความพิเศษ และความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้ของพวกเขาถึงขั้นที่แม้แต่สุนัขในจวนของพวกเขาก็ต้องสูงส่งกว่าสุนัขของคนธรรมดาไร้จิตเมตตา สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงการโอ้อวดเรื่องฐานะและสายเลือดอันสูงส่งของตนเองแต่ว่าคนพวกนี้กลับมีพฤติกรรมที่น่าฉงนนักดูถูกราษฎรสามัญ แต่กลับต้องการให้ราษฎรเคารพรักและสรรเสริญพวกเขาเมื่อใดที่ตกลงมาจากแท่นบูชา ความเจ็บปวดนั้นก็จะยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดชีหยวนรู้ดีว่าจุดอ่อนของพวกเขาอยู่ที่ใด นางจึงหัวเราะเยาะออกมาเมื่อเห็นนางยังกล้าหัวเราะออกมาได้ ฮูหยินใหญ่หลิ่วโกรธจนแทบระเบิด ก้าวเร็วๆ เข้าไปแล้วยกมือขึ้นอย่างแรง “นางเด็กสารเลว! เจ้ากล้ายิ้มเยาะเย้ยหรือ!”นางอยากจะฆ่านางเด็กต
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ