องค์หญิงเป่าหรงก้าวไปข้างหน้าจัดผ้าห่มให้กับอ๋องฉีอย่างสงบเยือกเย็น “ใช่แล้วเสด็จพี่ เสด็จพ่อมาเยี่ยมท่านทุกวัน อย่างน้อยท่านก็ควรคิดถึงเสด็จพ่อ คิดถึงเสด็จแม่บ้าง เสด็จแม่ร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ๋องฉีจึงจับแขนขันทีสวีค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมานั่งพอเห็นบุตรชายยอมลุกขึ้นมานั่งเสียที เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็กุมหน้าร้องไห้ น้ำตาไหลพรากราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝนฮ่องเต้หย่งชางทรงยื่นพระหัตถ์ไปโอบไหล่นางเบาๆ และตบปลอบโยนขณะที่ทรงอยู่เป็นเพื่อนอ๋องฉี ขันทีเซี่ยก็รีบก้าวเข้ามา แล้วกระซิบทูลรายงานบางอย่างข้างพระกรรณทันใดนั้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ผละออกจากเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยทันที พระพักตร์ตกตะลึงอย่างยิ่งพลางตรัสถามขึ้นว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีเซี่ยก้มตัวลงทูลรายงานอีกครั้งฮ่องเต้หย่งชางถึงกับทรงลืมเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยข้างกาย เกือบทรงทำอะไรไม่ถูก ยืนนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจู่ๆ ก็พุ่งออกไปด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว และเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็หายลับไปในพริบตาขันทีเซี่ยและข้าราชบริพารคนอื่นๆ ต่างพากันรีบตามเสด็จไปหมดเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมองตามเงาด้านหลังของพระองค์ด้วยความตกตะลึง ริม
คู่สามีภรรยาที่ไม่ได้เจอกันหลายปี เมื่อมาพบกันอีกครั้งสรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนได้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อฮ่องเต้หย่งชางก้าวเข้าสู่ตำหนักไท่จี๋ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในพระทัยในเสี้ยววินาทีนั้น สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของเขาทั้งหมดคือความลำบากของพวกเขาสองสามีภรรยาเมื่อครั้งเพิ่งมาถึงเมืองจางโจวตอนนั้น เขายังเป็นเพียงท่านอ๋องที่ไม่ได้รับความโปรดปราน เมืองที่ได้รับมาปกครองก็เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงที่ทรุดโทรมบางครั้งก็มีพายุไต้ฝุ่น พอถึงฤดูหนาวก็หนาวเย็นแทบทนไม่ไหวตอนที่เขาเพิ่งไปถึงที่นั่น แม้แต่จวนของตัวเองก็ยังไม่มี ต้องพาพระชายาหลิ่วไปอาศัยอยู่ในจวนผู้ว่าการฝูเจี้ยนจนกระทั่งเขามุมานะ สร้างเมืองท่า ปราบปรามโจรสลัดและเหล่าผู้ร้าย จนในที่สุดสามารถตั้งหลักได้มั่นคง กระทั่งสามปีต่อมา ถึงได้มีจวนหมิ่นอ๋องเป็นของตัวเองแต่ถึงจะเป็นจวนอ๋อง ก็ไม่เหมือนกับจวนของอ๋องท่านอื่นๆ ที่มีกำแพงแดงและกระเบื้องเคลือบ เพียงแค่ใช้วัสดุในท้องถิ่น สร้างขึ้นจากไม้เนื้อแข็งและอิฐสีเขียวในพื้นที่ จวนอ๋องก็ไม่ได้มีการแกะสลักคานหรือวาดลวดลายตกแต่งตามเสาวันเวลาเหล่านั้น เหมือนจะผ่านไปเพียงชั
เป็นฮองเฮาเฝิงหรือ เป็นตระกูลเฝิงหรือ?ฮ่องเต้หย่งชางกัดฟันตรัสด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะไม่มีวันปล่อยพวกมันไปแน่!”พระองค์อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำร้ายพวกเจ้าในปีนั้น?”หากเป็นฮองเฮาเฝิง คราวนี้ก็จะถือโอกาสที่พระชายาหลิ่วกลับมา ปลดฮองเฮาเฝิงเสีย และกำจัดตระกูลเฝิงไปได้ในคราวเดียวกัน!พระชายาหลิ่วมีสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันรู้เพียงว่าไม่ใช่ตระกูลเฝิง”“ไม่ใช่ตระกูลเฝิง?”สีหน้าของฮ่องเต้หย่งชางเปลี่ยนไปทันที แววตาฉายความลังเล “ไม่ใช่ตระกูลเฝิง เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจเช่นนั้น?”ในอดีต องค์หญิงใหญ่ก็ยืนกรานเช่นกันว่าไม่ใช่ตระกูลเฝิง ด้วยเหตุนี้ พระองค์เคยทะเลาะกับองค์หญิงใหญ่อย่างรุนแรงมาแล้วด้วยองค์หญิงใหญ่เลือกเก็บตัวอยู่ที่อารามไป๋อวิ๋น ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่ยอมลงจากเขาตอนนี้เมื่อได้ยินพระชายาหลิ่วกล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือตระกูลเฝิง ฮ่องเต้หย่งชางก็รู้สึกยากที่จะยอมรับได้พระชายาหลิ่วหัวเราะเยาะ “ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันมั่นใจ แต่เป็นเพราะตอนนั้น หากเป็นตระกูลเฝิงที่ส่งนักฆ่าไปจริง เหตุใดจึงเป็นทหารชั้นยอดจากแคว้นหมิ่น? คน
ฮ่องเต้หย่งชางได้ยินดังนั้น ก็ถึงกับดีพระทัยจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พระองค์รู้สึกผิดต่อองค์หญิงใหญ่มาโดยตลอด และแทบไม่มีหน้าไปพบหน้านางแต่บัดนี้ ลู่หมิงอันกลับมาแล้ว อย่างน้อยพระองค์ก็สามารถให้คำอธิบายต่อองค์หญิงใหญ่ได้เสียทีด้วยความปลาบปลื้ม พระองค์จึงเปล่งเสียงเรียกให้ชีเจิ้นเข้ามาก่อนจะตบไหล่พระชายาหลิ่วเบาๆ “หว่านหยิน ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ไปพักผ่อนให้ดีก่อนเถอะ ข้าจะเรียกท่านฉู่กั๋วกงและฮูหยินฉู่กั๋วกงเข้าวังมาเยี่ยมเจ้า”แต่พระชายาหลิ่วกลับสะบัดพระหัตถ์ออกทันทีนางหรี่ตาลงอย่างเย็นชา มองฮ่องเต้หย่งชางแล้วถามว่า “ฝ่าบาทคงทราบดีว่าท่านแม่ของหม่อมฉันสิ้นไปแล้วตั้งแต่ยังอยู่ที่เมืองศักดินา ในโลกนี้จะมีฮูหยินฉู่กั๋วกงคนที่สองมาจากไหนกัน?”……ฮ่องเต้หย่งชางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฮูหยินฉู่กั๋วกงคนปัจจุบันเป็นภรรยาที่แต่งใหม่พระองค์รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายเสียงเบา “เป็นภรรยาใหม่ของฉู่กั๋วกง แต่นางเป็นคนอ่อนโยนและรู้ความยิ่งนัก ยังเลี้ยงดูน้องชายและน้องสาวของเจ้าเสมือนลูกแท้ๆ ของนางเอง…...”พระชายาหลิ่วแค่นหัวเราะออกมา รู้สึกขบขันยิ่งกว่าเดิ
ชีเจิ้นตอบรับทันทีทางด้านตระกูลชีรออยู่นานแล้ว เขารู้ว่าชีหยวนต้องรอข่าวจากเขาอยู่แน่ ดังนั้นเขาจึงรีบเร่งเดินทางกลับตระกูลชีโดยไม่หยุดพักเมื่อถึงจวน ท่านโหวผู้เฒ่าชีก็รออยู่แล้ว และพาเขาไปยังหอหมิงเยว่ระหว่างทาง ท่านโหวผู้เฒ่าก็ไม่ได้อ้อมค้อม บอกเรื่องของชีอวิ๋นถิงให้ชีเจิ้นฟังชีเจิ้นชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าพลันมืดครึ้มท่านโหวผู้เฒ่าชีมองสีหน้าของเขาแล้วถอนหายใจเฮือกยาว “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องโกรธแน่……”ความจริงแล้วสำหรับชีเจิ้น จะว่าโกรธก็คงไม่ใช่ เพียงแต่เมื่อลูกชายเกิดเรื่อง เขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดาแต่หลังจากไปรับพระชายาหลิ่ว เขากลับเห็นเรื่องราวมากกว่านั้นการที่มีลูกหลานตระกูลขุนนางเสเพลนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ลูกหลานในตระกูลขุนนางทรราชมีมากมายทว่าทายาทผู้สืบทอดตระกูล จะมีข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้น ตระกูลที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องล่มสลายเขาเก็บอารมณ์แล้วพูดเสียงหนักแน่นว่า “อย่างน้อยเขาก็ยังรอดมาได้ ด้วยนิสัยของชีหยวน นับว่าเมตตาแล้ว”ท่านโหวผู้เฒ่าชีเห็นเขาพูดเช่นนี้ ก็รู้ว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ดีแล้ว จึงพยักหน้าและตบไหล่เบาๆเมื่อไปถึงหอหมิงเยว่ ชีหยวนรออ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ ใครโผล่มาก่อน ก็ฆ่าคนนั้นก่อน”นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วหรือ?นางแสยะยิ้มเย็นชา “ท่านพ่อจัดให้ราชบุตรเขยลู่และลูกชายของเขา รวมถึงผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นไปอยู่ที่ตำหนักชานเมืองหลวง คงเป็นความต้องการของพระชายาหลิ่วและราชบุตรเขยลู่สินะ?”เรื่องที่ว่าราชบุตรเขยลู่สูญเสียความทรงจำและป่วย หรือว่าผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นร่างกายอ่อนแอจนเดินทางไม่ไหว จริงๆ แล้วก็เป็นแค่ข้ออ้างทั้งนั้นตั้งแต่พระชายาหลิ่วเข้าวังมาแล้วเผยให้เห็นว่าความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของพ่อลูกเป็นเพียงภาพลวงตา ก็รู้ได้ทันทีว่านางกลับมาครั้งนี้เพื่อแก้แค้นก็แน่อยู่แล้ว ใครกันจะไม่คลั่ง หากถูกพ่อแท้ๆ ของตัวเองวางแผนปองร้าย ต้องสละตำแหน่งฮองเฮาที่กำลังจะได้มา อีกทั้งยังถูกตามล่าจนต้องหลบๆ ซ่อนๆ มาหลายสิบปี ลูกของตัวเองก็ต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อนเพราะพิษไข้สูงญาติพี่น้องงั้นหรือ?สำหรับพระชายาหลิ่ว นั่นไม่ต่างอะไรจากงูพิษแมงป่องต่อหน้าลูกสาวคนนี้ ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว ชีเจิ้นพยักหน้า “เป็นความต้องการของพระชายาหลิ่วจริงๆ นางบอกข้าว่าเซียวโม่ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถ
ดังนั้นตอนนี้ แม้ว่าจะถูกพระชายาหลิ่วเปิดโปงในที่นี้ แต่เขากลับยังคงแสดงท่าทีองอาจมีคุณธรรม เพียงแค่ถอนหายใจหนักๆ เท่านั้นฮ่องเต้หย่งชางทั้งทรงตกพระทัยและทรงกริ้วถึงกับไม่รู้ว่าจะรับเรื่องนี้ได้อย่างไรในทันทีเดิมทีที่พระองค์ยอมรับให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวัง ก็เป็นเพราะต้องการชดเชยให้กับจวนฉู่กั๋วกง ใครจะคิดว่าเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้!หากเป็นเช่นนั้นจริง เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแม้จะถือว่าเป็นน้องสาวของพระชายาหลิ่ว แต่แท้จริงแล้วนางคือศัตรูของพระชายาหลิ่ว!เป็นศัตรูที่ทำให้มารดาของพระชายาหลิ่วตรอมใจตายพระองค์ที่ทรงตกพระทัยและพิโรธ เค้นถามฉู่กั๋วกงว่า “ฉู่กั๋วกง เรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่?!”กั๋วกงหลับตาลง ยกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะกับพื้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเช่นที่พระชายากล่าว…...”เขายอมรับแล้ว! เขายอมรับมันจริงๆ แล้ว!สีหน้าของพระชายาหลิ่วบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ “ท่านแม่ข้ามีแต่ความจริงใจให้ท่าน! นางถึงกับยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อตามท่านไปถึงเมืองจางโจว เพื่อท่านแล้วนางต้องแท้งลูกไปหลายครั้งจนสุดท้ายไม่สามารถมีลูกได้อีก! แต
เมืองหลวงแทบจะเกิดแผ่นดินไหว พระชายาหลิ่วที่หายตัวไปหลายปี ตอนนี้กลับมาอย่างปลอดภัย แล้วฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะทำเช่นไร?ตามกฎบรรพบุรุษ พระชายาหลิ่วเป็นชายาเอกโดยชอบธรรม และนางก็ไม่เคยกระทำผิด ดังนั้นบัดนี้เมื่อนางกลับมาแล้ว นางก็ควรได้รับตำแหน่งฮองเฮาอย่างถูกต้อง!สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ตระกูลเฝิง ต่างกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของรัชทายาทองค์ปัจจุบัน แต่เดิมทีฮงเฮาและรัชทายาทก็ไม่ได้รับความโปรดปรานอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะมีพระราชนัดดาที่เก่งกาจ เกรงว่าตำแหน่งมกุฎราชกุมารคงรักษาไว้ไม่ได้ตั้งนานแล้วแต่ตอนนี้พระชายาหลิ่วกลับมาแล้ว เช่นนั้นทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปใครบ้างไม่รู้ว่าอดีตตอนที่ฮ่องเต้หย่งชางยังอยู่ที่ดินแดนศักดินา ทรงผ่านความลำบากมาด้วยกันกับพระชายาหลิ่ว ทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา?ขณะเดียวกัน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาความโชคดีของตระกูลหลิ่วก่อนหน้านี้ตระกูลหลิ่วก็มีกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานอย่างสูง ถือเป็นเกียรติสูงสุดในช่วงหนึ่งและตอนนี้พระชายาหลิ่วก็กลับมาอีก มีแนวโน้มว่าจวนฉู่กั๋วกงอาจจะได้ฮองเฮาอีกองค์ นั่นหมายความว่าตระกูลหลิ่วจะมีทั้งฮ
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว