จ้าวเสี่ยวเหลียนสาวจากยุคปัจจุบันย้อนเวลาไปอยู่ในร่างเด็กสาวชื่อเดียวกัน ทว่าหน้าตากลับดูไม่ได้เพราะเป็นคนชนบททั้งยังถูกบังคับให้แต่งงานกับน้องชายพ่อเลี้ยงแบบนี้จะไปยอมได้ยังไง ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง!
Voir plus1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง
“ปีนี้เสี่ยวเหลียนก็อายุย่าง 16 ปีแล้วสินะคะ” เสียงแหลมของอาสาม หลี่เซียน ซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้น ทำเอาทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นงงไปตามๆ กัน
จ้าวเสี่ยวเหลียน เด็กสาวอายุ 15 ปี อาศัยอยู่กับยายที่ชนบท แต่เพราะหมู่บ้านทางน้ำของพวกเธอถูกอุทกภัยพัดหายไปกับสายน้ำ หลิวซือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ ผู้หญิงที่อายุเพิ่งเข้าเลขสาม ทว่ายังคงความสวยตามแบบฉบับของผู้เป็นแม่ ซึ่งก็คือ ยายหลิว เจ้าของผมสีดำขลำแม้ว่าอายุจะล่วงเลยเข้าสู่เลขห้าแล้วก็ตาม ท่านเป็นคนเลี้ยงเสี่ยวเหลียนมาตั้งแต่แบเบาะ ถ้าจะพูดให้ถูกคือตั้งแต่คลอดออกมาเสียด้วยซ้ำ ทันทีที่ทราบข่าวก็รีบบอกให้ทั้งสองคนเร่งเดินทางมาอยู่กับตนและครอบครัวใหม่ยังอีกมณฑลหนึ่ง
โชคดีที่อยู่ในช่วงปิดภาคเรียนการศึกษา อีกทั้งจ้าวเสี่ยวเหลียนก็เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมต้น จากโรงเรียนมัธยมระดับ 17
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ย้ายมาอยู่กับผู้เป็นแม่ และถือว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าตาของคนในครอบครัวใหม่ที่แม่มอบให้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยากได้เลยก็ตาม
“ใช่แล้วล่ะ นี่ก็ว่าเปิดเทอมจะพาไปสมัครเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนในเขตนี่แหละ” หลิวซือพูดขึ้นยิ้มๆ
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เธอจัดการจับลูกสาวขัดตัว อาจเพราะอยู่ที่ชนบทมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งยังไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล ทำให้ผิวของลูกสาวกระดำกระด่าง ทั้งที่ตอนคลอดตัวแดงยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศ ใครเห็นก็บอกว่าโตขึ้นมาจะต้องผิวขาวมากแน่ๆ
“อาโหยว…พี่สะใภ้ อายุขนาดนี้แล้ว ใครเขาให้เรียนหนังสือกันละคะ” อาสามมองหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ของตัวเองด้วยความตกใจ พร้อมทั้งแทะเม็ดแตงไปด้วย อากาศเดือนสิงหาคม เดี๋ยวก็แดด เดี๋ยวฝน ทำให้ผู้คนปรับตัวไม่ถูก
“ทำไมล่ะ เกิดเป็นลูกผู้หญิงเรียนจบสูงสิดี” หลิวซือไม่เห็นด้วย
แม้ว่าตัวเธอเองจะเรียนจบถึงชั้นมัธยมต้น ในยุคนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่มีการศึกษาสูงแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมองว่าไม่พอ ต้องเรียนให้สูงขึ้นไปอีก
“จะว่าก็ว่าเถอะนะคะ ลูกผู้หญิงน่ะ เรียนแค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว โตขนาดนี้แล้วสมควรจะออกมาหางานทำช่วยพ่อแม่ส่งน้องให้เรียนสูงๆ เสี่ยวเฟินขของพวกเราน่ะ ได้ข่าวว่าเป็นนักเรียนดีเด่นประจำโรงเรียนอันดับหนึ่งอีกแล้วไม่ใช่เหรอคะ” เมื่อนึกถึงหลานสาว ผู้เป็นอาก็ยืดอกพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ใช่แล้วล่ะ” หลิวซือพยักหน้ายิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงผลการเรียนของลูกสาวคนเล็ก
หลี่เฟิน เด็กสาวอายุ 12 ปี เป็นลูกของหลิวซือกับสามีใหม่ ก็คือหลี่เจียง อายุ 32 ปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำ เพราะทำงานเป็นพนักงานประจำที่โรงงานเหล็กกล้า
จ้าวเสี่ยวเหลี่ยนเห็นแม่ของตัวเองพยักหน้ายิ้มๆ ก็เข้าใจผิดคิดไปว่าแม่เห็นด้วยที่จะไม่ให้ตัวเองเรียนต่อ ทั้งที่พูดกันก่อนหน้าที่จะย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่นี่แล้วว่าจะให้เธอเรียนต่อจนจบระดับชั้นมัธยมปลาย
“พี่สะใภ้ ฉันเองก็รับรู้เรื่องเสี่ยวเหลียนมาตั้งแต่พวกพี่ทั้งสองแต่งงานกันใหม่ๆ ยังเป็นคนยกมือสนับสนุนให้พีใหญ่แต่งงานกับพี่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหม้ายด้วยซ้ำ ทั้งที่พี่ชายของฉันเป็นหนุ่มโสดทั้งแท่งไม่เคยผ่านมือผู้หญิงมาก่อน แล้วก็รักและเอ็นดูเสี่ยวเหลียนเหมือนหลานในไส้คนหนึ่ง ถึงจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ถามข่าวคราวอยู่เสมอพี่ก็รู้”
“อือ” หลิวซือพยักหน้าคล้อย
“ใครจะหาว่าฉันไม่มีสมองหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะนะคะ แต่ฉันกลับมองว่าถึงวัยที่หลานสาวคนโตของบ้านควรแต่งงานได้แล้วล่ะ” อาสามเหลือบมองคนที่ตนเรียกว่าหลานสาวได้เต็มปากอยู่เป็นระยะๆ
“แต่งงานเหรอ” ผู้เป็นแม่ได้ยินคนพูดเรื่องแต่งงานของลูกสาวก็รู้สึกตกใจ เพราะในสายตาของเธอยังมองว่าลูกคนเล็กยังดูประสีประสามากกว่าลูกสาวบ้านนอกของตนเองคนนี้ด้วยซ้ำ
“ฉันก็มองๆ เอาไว้แล้วล่ะ รับรองว่าหายห่วง” อาสามจีบปากจีบคอเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญที่ตนเองปูทางมาเสียยืดยาว กว่าจะเข้าเรื่องได้
“ใครงั้นเหรอ” หลิวซือกะจะถามเล่นๆ ไปอย่างนั้น เพราะถึงยังไงตนก็ไม่มีทางตอบตกลงอย่างแน่นอน
“จะใครที่ไหนเสียอีกละคะ ก็เจ้าสี่ของเรายังไงล่ะ ปีนี้ก็เพิ่งจะอายุ 25 ปี ทั้งยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ในบรรดาพี่น้อง เจ้าสี่หน้าที่การงานดีกว่าคนอื่นๆ แว่วมาว่าสิ้นปีนี้ก็น่าจะได้ขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่ชำนาญการแล้ว อนาคตไกล สมัยนี้ใครๆ ก็มองหาสามีที่มีชามข้าวเหล็กในมือด้วยกันทั้งนั้น เรื่องอะไรที่เราจะปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาคาบเอาของดีบ้านเราไปละคะ ไม่สู้ยกให้หลานสาวของเราเสียดีกว่า”
“ระ เรื่องนี้” หลิวซือถึงกับพูดไม่ออก
ถ้ามองแค่เรื่องหน้าตา นิสัยใจคอ รวมถึงหน้าที่การงาน แน่นอนว่าอาสี่ หลี่เหวยกินขาด เขาสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ แต่ก็มีข่าวลลือเรื่องที่เขาเป็นพวกตัดแขนเสื้อไม่ใช่เหรอ
แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ อีกทั้งยังเจ้าสำอางจนผู้หญิงบางคนยังอาย ใบหน้าของเขาขาวเนียนกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก
จ้าวเสี่ยวเหลียนได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอึ้ง ร่างกายแข็งค้างไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่เดิมก็เป็นคนหัวอ่อนอยู่แล้ว แม้เรื่องนี้ตนจะไม่พอใจ แต่ทำได้มากสุดแค่เพียงกำหมัดแน่นแล้วแอบมานอนร้องไห้คนเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้แน่นอนว่าจะบอกให้ยายรู้ไม่ได้ เพราะท่านอายุเยอะแล้ว สาวเจ้ากลัวว่าท่านจะไม่สบายใจ เพราะแค่เรื่องที่มาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่เพียงไม่กี่วัน ท่านก็กระอักกระอ่วนใจแทบขาด ขืนเอาเรื่องนี้ไปให้ท่านรับรู้อีก มีหวังได้ล้มหมอนนอนเสื่อเพราะคิดมากเป็นแน่
สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็คิดไม่ตก แต่จะให้แต่งงานกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอา แน่นอนว่าเธอไม่ยินยอม ถึงแม้ว่าความเป็นจริงทั้งสองคนจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันทางสายเลือด และอาสี่ก็ดีกับเธอมากก็เถอะ แต่เธอยังอยากเรียนต่อ ความฝันคืออยากสอบเข้าพยาบาล เพื่อที่ว่าต่อไปภายหน้าจะได้ดูแลยายที่เริ่มแก่ชราลงไปทุกวันได้
เช้าวันถัดมา ฟ้ายังไม่สาง ทว่าใต้สะพานกลับได้เสียงหนึ่งตกลงไปยังแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว พร้อมทั้งน้ำในแม่น้ำที่กระเพื่อมเป็นวงกว้าง บ่งบอกว่ามีบางอย่างตกลงไปในน้ำ ทว่าพอลงไปแล้วกลับไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ขึ้นมาอีกเลย
“ช่วยด้วย มีคนตกน้ำ ใครก็ได้ช่วยที มีคนตกน้ำ” เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งทำงานออกกะมาร้องตะโกน เพราะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้น
ตุ้ม!
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนแบบเรื่อยๆ slice of life ไม่เครียด เพราะชีวิตจริงช่วงนี้เครียดชิบหาย กอปรกับสถานการณ์ตึงเครียดของบ้านเมืองยิ่งเครียดเข้าไปอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะชอบดึงไปดราม่าอยู่เรื่อย (อยากตีมือตัวเอง)
ปีนี้ออกผลงานไม่ต่อเนื่อง อันนี้ยอมรับและรู้ตัวเลย จะพยายามดึงตัวเองกลับมาให้เร็ว สาเหตุหลักๆ คือมันนั่งนานเหมือนเขียนแรกๆ ไม่ได้แล้ว พลาดตั้งแต่แรก เลยมาแสดงอาการทีหลัง ช่างเถอะ…รักษาตัวเองไป ไม่มีใครไม่เคยปวดหลัง เชื่อแบบนั้น อิอิ
พูดถึงเนื้อหาของเรื่องนี้แล้วกัน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละครของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่สุด พอแสบๆ คันๆ หัวใจแล้วกันเนอะ คงเส้นคงวาของความเป็นมนุษย์ในแต่ละรูปแบบที่ไรต์เจอแล้วเอามาจินตนาการต่อ ให้มันเหมาะสมกับเนื้อหาที่เราคิดมา
ไม่พูดเยอะ เพราะไม่มีเนื้อหาในหัว เอ้ย…ไม่ใช่ เพราะอยากให้ทุกคนติดตาม คนไหนมาแล้วก็รายงานตัวกันหน่อยนะคะ อย่าหลบมุมอ่าน กดใจเพื่อเป็นกำลังใจให้กันบ้าง จะได้รู้ว่าไม่ได้หนีไปไหน อิอิ
***นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตการของผู้แต่ง อาจเหมือนหรือคล้ายกับสกานการณ์ รมถึงเหตุการณ์ใดในอดีต ผู้แต่งไม่มีเจตนาบิดเบือนเนื้อหาหรือข้อเท็จจริง เพียงแต่เขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ไม่อนุญาตให้คัดลอก ดัดแปลง หรือเลียนแบบ หากพบเห็นจะดำเนินทางคดีจนถึงที่สุด ไม่มีการไกล่เกลี่ยยอมความทั้งสิ้น
รัก
SCINCE
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว
Commentaires