หลังจากไดออนเดินจากไป ข้าวหอมนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ ซองจดหมายนั้นยังวางอยู่ตรงหน้าเธอไม่รู้ว่าควรเก็บไว้…หรือควรคืนเขา
สมองของเธอไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกได้อีกต่อไป หัวใจมันตีกลับ—เหมือนน้ำที่กระทบหินก้อนเดิมซ้ำ ๆ แต่ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโต๊ะ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง
เสียงที่ทำให้ไหล่เธอกระตุกโดยอัตโนมัติ
“มัจฉะนมอัลม่อน หวานร้อย...สั่งเหมือนเดิมเลยสินะ”
ข้าวหอมชะงัก เสียงนั้นนุ่ม ละเมียด…แต่แฝงแรงกดดันลึก ๆ เธอหันไปช้า ๆ — และพบรอยยิ้มบาง ๆ ของ พัคจองฮุน
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้ม สูทเรียบพอดีตัว แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าการแต่งตัว…คือสายตาที่มองเธอราวกับรู้ว่าเธอจะมา
“ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญเจอคุณที่นี่อีกครั้ง”
เธอพยายามควบคุมสีหน้า แต่มือที่วางบนหน้าขากระตุกเบา ๆ
“ไม่คิดว่าคุณยังอยู่ในประเทศไทย…”
“ผมไม่เคยออกไปไหนไกล ถ้ายังไม่เจอสิ่งที่ตามหา”
เขานั่งลงตรงข้ามเธอโดยไม่รอคำอนุญาต
ข้าวหอมขยับแก้วของตัวเองเล็กน้อย แต่ไม่ได้ลุกหนี เพราะเธอรู้…ยิ่งแสดงออกว่าไม่กลัว เขายิ่งไม่มีทางเข้าถึงเธอได้ง่าย
<แสงไฟภายในฮอลล์ค่อย ๆ ดับลงเหลือเพียงสปอร์ตไลต์ที่ฉายตรงกลางเวที เสียงดนตรีท่อนแรกของโชว์ดังขึ้น — จังหวะผสมระหว่างกลองจีนกับอิเล็กทรอนิกส์ที่ไดออน เป็นคนออกแบบร่วมกับทีมเสียงทุกอย่างดูพร้อมทุกคนดูนิ่ง แต่หัวใจบางคน…กลับไม่ได้สงบตามจังหวะเพลงข้าวหอมนั่งอยู่หลังฉาก คอยดูรายละเอียดการเคลื่อนไหวของนางแบบ ดวงตาเธอมองขึ้นเวทีอย่างมืออาชีพแต่ในใจ…กำลังฟังเสียงที่คุ้นเคยจากคนที่ยืนหลังไมค์ — ไดออนเสียงที่เคยกระซิบข้างหูในคืนที่ไม่มีใครอยู่ เสียงที่เธอเคยคิดว่าจะไม่มีวันได้ยินในชีวิตนี้อีกหลังจบซ้อมรอบแรก ทีมงานแยกย้ายปรับจุด เวทีว่างชั่วครู่ ไฟบนเวทีเปิดเพียงครึ่งเดียวข้าวหอมเดินขึ้นไปตรวจความเรียบร้อยบนรันเวย์ ในมือถือสมุดจดที่เต็มไปด้วยโน้ต แต่ยังไม่ทันตรวจเสร็จ ใครบางคนก็เดินขึ้นมาข้าง ๆ“ห่างไปนาน…แต่เธอยังเดินรันเวย์ได้คล่องเหมือนเดิมนะ”เธอหันขวับ พบว่าเป็นไดออนที่ยืนยิ้มบาง ๆ แสงจากข้างหลังเขาทำให้รอยยิ้มดูจาง...แต่ชัดพอให้ใจเธอสะดุดข้าวหอมพยักหน้าเบา ๆ“ฉันทำงานนี้ทุกวัน จะให้ลืมวิธีเดิ
สตูดิโอฮอลล์กลางของ K-One ถูกปรับให้เป็นพื้นที่ซ้อมใหญ่สำหรับงานโชว์ เวทีขนาดย่อมพร้อมจอ LED ด้านหลังตั้งอยู่กลางห้อง รอบข้างเต็มไปด้วยทีมงาน ฝ่ายแสงเสียง ดีไซเนอร์ และฝ่ายประสานงานที่เดินสวนกันให้วุ่น ไฟบางจุดยังค้างอยู่ในโหมดทดสอบ พื้นเวทีถูกตีเส้นเทปเพื่อกำหนดจุดยืนของนางแบบ นายแบบ และฝั่งขวาของห้องมีโต๊ะยาวสำหรับทีมดีไซน์เนอร์และเทคนิคเฉพาะทางวางเครื่องมือครบครัน ข้าวหอมเดินเข้ามาพร้อมมินยง ทั้งคู่ถือแฟ้มผ้าและโทนสีมาเต็มอ้อมแขน หน้าตาเอาจริงเอาจังแบบทีมที่จะมาตรวจคุณภาพสุด ๆ แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงมุมเตรียมงาน เสียงเจี๊ยวจ๊าวก็ดังมาจากกลางเวทีเสียก่อน “ยองบอม หยุดเต้นท่าคุกกี้เสี่ยงทายได้แล้ว มันคนละคิว!” คิมโฮตะโกนโวยวายแบบคนปลงตก “ไม่ได้! เราต้องฝึกประสานสมองกับขาให้พร้อมทุกสถานการณ์!” ยองบอม CEO ใหญ่ ยังคงเต้นไม่หยุด พร้อมหมุนตัวเหวี่ยงสุดแรง แต่การหมุนรอบสุดท้ายของเขาดูจะไม่แม่นนัก เพราะหมุนหลุดคิวจนพุ่งไปข้างเวทีในจังหวะที่—ใช่แล้ว—มาทางข้าวหอมกับมินยงพอดี ตูม! แฟ้มผ้าในมือสองสาวปลิวกระจายก
ห้องแต่งตัว ส่วนตัวของไดออนภายในสตูดิโอ BBOOM Entertainment กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ คลุ้งทั่วห้องปะปนกับกลิ่นกาแฟดำที่คริสต์วางทิ้งไว้โดยไม่แตะ ยองบอมกำลังนั่งเอนหลังพิงโซฟา ส่วนคิมโฮก็นอนตีพุงบนพรมหรูเหมือนเป็นบ้านตัวเอง“พวกนายว่าฉันหล่อขึ้นมั้ย?” ยองบอมถามเสียงจริงจัง ไดออนเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนตอบเรียบ ๆ“ผมชี้ฟูเหมือนไม้กวาดห้องเก็บของ”คริสต์เสริม “แต่ถ้าจะเอาไปใช้ถ่ายละครพีเรียดเป็นโจรกระจอกก็อาจจะพอได้นะ”“เฮ้ย! พวกนายมันไร้หัวใจ!” ยองบอมโวยวาย พร้อมยกหมอนฟาดคิมโฮที่นอนหัวเราะสะใจอยู่คิมโฮยิ้มกว้างแล้วหันมาทางไดออนที่นั่งอ่านสคริปต์เงียบ ๆ บนโซฟาอีกมุม“แล้วนายล่ะ...จะเอาไงกับ ‘เธอ’ คนเมื่อวาน?”ไดออนชะงักนิดเดียว ไม่เงยหน้า แต่พลิกหน้าสคริปต์ช้า ๆ“ไม่มีอะไรต้องเอาไง”“เราแค่มาทำงานด้วยกัน เท่านั้น”คริสต์ยักไหล่“แต่สายตานายตอนมองเธอมันไม่เท่านั้นเลยนะ”ยองบอมลุกขึ้นมาโวยพร้อมทำท่าเลียนแบบ“ถ้าเราจะเริ่มต้นใหม่...แม้ในฐานะคนแปลกหน้า...”“โอ๊ยยยยยย ไอ้ประโ
หลังจากไดออนเดินจากไป ข้าวหอมนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ ซองจดหมายนั้นยังวางอยู่ตรงหน้าเธอไม่รู้ว่าควรเก็บไว้…หรือควรคืนเขาสมองของเธอไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกได้อีกต่อไป หัวใจมันตีกลับ—เหมือนน้ำที่กระทบหินก้อนเดิมซ้ำ ๆ แต่ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโต๊ะ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังเสียงที่ทำให้ไหล่เธอกระตุกโดยอัตโนมัติ“มัจฉะนมอัลม่อน หวานร้อย...สั่งเหมือนเดิมเลยสินะ”ข้าวหอมชะงัก เสียงนั้นนุ่ม ละเมียด…แต่แฝงแรงกดดันลึก ๆ เธอหันไปช้า ๆ — และพบรอยยิ้มบาง ๆ ของ พัคจองฮุนเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้ม สูทเรียบพอดีตัว แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าการแต่งตัว…คือสายตาที่มองเธอราวกับรู้ว่าเธอจะมา“ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญเจอคุณที่นี่อีกครั้ง”เธอพยายามควบคุมสีหน้า แต่มือที่วางบนหน้าขากระตุกเบา ๆ“ไม่คิดว่าคุณยังอยู่ในประเทศไทย…”“ผมไม่เคยออกไปไหนไกล ถ้ายังไม่เจอสิ่งที่ตามหา”เขานั่งลงตรงข้ามเธอโดยไม่รอคำอนุญาตข้าวหอมขยับแก้วของตัวเองเล็กน้อย แต่ไม่ได้ลุกหนี เพราะเธอรู้…ยิ่งแสดงออกว่าไม่กลัว เขายิ่งไม่มีทางเข้าถึงเธอได้ง่าย
หลังจากวันนั้นที่ไดออนได้เจอกับข้าวหอม เขาดื่มจนเมาไร้สติ ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง บ้านพักตากอากาศที่ไหนสักแห่งที่เขาไม่คุ้นเคย ริมทะเลที่เงียบสงบเขาไม่รู้ว่าใครพามา แต่เหล้าขวดหนึ่งที่อยู่ข้างเตียงทำให้เขาคิดว่า ‘มันคงไม่ใช่ฝัน’ประตูห้องเปิดออก เสียงส้นรองเท้าแตะพื้นไม้สะท้อนเบา ๆ ก่อนที่ ‘ซอนา’ เข้ามา“ไดออน ยองบอมสั่งให้ฉันพานายมาพักที่นี่สักระยะ”“หึ ทำไมมีเหล้าแค่นี้” เขาถามเสียงแหบในสภาพเสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่“ดีที่ยังมีเหล้ามาด้วยตั้ง 1 ขวด ฉันให้เวลานายได้ย้อมใจได้เท่านี้ และมันจะสิ้นสุดลงแค่ขวดนี้ขวดเดียวเท่านั้น”“หากนายยังอยาก เริ่มต้นใหม่ นายอย่าทิ้งตัวตนของตัวเองไปแบบนี้สิ นายรู้ดีว่าความเมามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย”ซอนาวางขวดน้ำเปล่ากับยาแก้เมาค้างลงข้างเตียงก่อนจะเดินออกไป“นายก็อยู่ที่นี่ให้สบายใจก่อนก็แล้วกัน ฉันยกเลิกคิวงานให้หมดแล้ว วันนี้ถ้านายอยากจะล้ม... ก็ขอให้ล้มให้สุด แต่ถ้าจะลุก...ฉันจะรออยู่ข้างนอก” หลังพูดจบซอนาก็เดินออกไปจากห้องเสียงคลื่นเบา ๆ กระทบชายหาดยามเช้า ได
ทั้งหมดนั้นเป็นแค่จินตนาการของไดออนเท่านั้นไม่มีแสงเทียน ไม่มีกลีบกุหลาบโปรยปราย ไม่มีเสียงประตูเปิด ไม่มีคำว่า "เรากลับมาเริ่มกันใหม่ได้ไหม"มีเพียงความเงียบ...เขายืนอยู่กลางห้องเปล่า ๆ คนเดียว เสื้อเชิ้ตที่ใส่มาเริ่มยับย่นจากการทรุดนั่งลงหลายครั้งไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีแววตาที่เคยเชื่อใจ มีเพียงเสียงของความจริง...ที่กัดกินหัวใจเขาทุกวินาทีชายหนุ่มทรุดตัวนั่งอยู่ตรงกลางห้อง ร่างสูงใหญ่นั้นเคยสง่างามบนเวทีและหน้ากล้อง วันนี้กลับดูอ่อนแรง และบอบบางราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อเขาหลุบตาลงมองฝ่ามือตัวเอง—ฝ่ามือที่เคยจับเธอไว้ แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้หลุดไปอย่างโง่เง่าพรมสีครีมใต้ร่างให้สัมผัสอุ่น...แต่ความรู้สึกในใจกลับเย็นชาเกินกว่าจะรับรู้ได้‘เธอไม่ได้ห้าม…ไม่ได้วิ่งเข้ามา…ไม่ได้แม้แต่จะมองผมเลย…’เขาเงยหน้าขึ้น พยายามข่มน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่เปล่าเลย...น้ำตาลูกผู้ชายไม่ได้ช่วยให้หัวใจหายเจ็บ‘น่าสมเพชตัวเองชะมัด’เขาคิด ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างแห้งผาก เสียงหัวเราะที่เหมือนคนแพ้